Bio-PVC เป็นพลาสติกชีวภาพที่ผลิตจากสารชีวภาพบางส่วน (Partially bio-based) และเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil fuel-based) จัดอยู่ในกลุ่มชนิดย่อยสลายไม่ได้ทางชีวภาพ (Nonbiodegradable) การสังเคราะห์ Bio-PVC สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนแรก คือ การผลิตเอทิลีนชีวภาพ สามารถผลิตได้จากวัตถุดิบทางธรรมชาติ เช่น อ้อย ข้าวโพด และถั่วเหลือง เป็นต้น ส่วนที่สอง คือ การผลิตคลอรีน สามารถผลิตได้จากการแยกสลายด้วยไฟฟ้า (Electrolysis) ของสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ในเชิงพาณิชย์สามารถทำได้ 3 กระบวนการ คือกระบวนการแบบอะมัลกัม (Amalgam process) กระบวนการแบบไดอะแฟรม (Diaphragm process) และกระบวนการแบบเมมเบรน (Membrane process) ซึ่งกระบวนการแบบเมมเบรนจะนิยมนำมาใช้มากที่สุด เนื่องจากมีการใช้กระแสไฟฟ้าน้อยที่สุดทำให้ลดต้นทุนการผลิต) โดยแผนผังการสังเคราะห์ Bio-PVC แสดงดังภาพที่ 2 ส่วนที่สาม คือ การพอลิเมอร์ไรเซชันเพื่อผลิตเป็น Bio-PVC โดยปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันที่นิยมทำในเชิงพาณิชย์ ได้แก่ พอลิเมอร์ไรเซชันแบบแขวนลอย (Suspension polymerization) นิยมทำมากที่สุดคิดเป็น 80% พอลิเมอร์ไรเซชันแบบอีมัลชัน (Emulsion polymerization) คิดเป็น 12% และพอลิเมอร์ไรเซชันแบบบัลค์ (Bulk polymerization) คิดเป็น 8% “เครื่องมือที่ใช้ในการขึ้นรูป Bio-PVC สามารถใช้เครื่องมือเดียวกับกระบวนการขึ้นรูป PVC ได้ เนื่องจากคุณสมบัติของ Bio-PVC และ PVC ใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงที่มาของมอนอเมอร์เพียงเท่านั้น” PVC หมายถึง พอลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinylchloride) ซึ่งเป็นพลาสติกที่สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติได้ด้วยการเติมสารเคมี โดยทั่วไปแล้ว PVC มีความนิยมใช้ในกลุ่มงานอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์น้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น เนื่องจาก PVC ประกอบไปด้วยสารเคมีปรุงแต่งจึงทำให้เกิดการตกค้างของสารเคมีในบรรจุภัณฑ์ แต่ก็มีบรรจุภัณฑ์บางชนิดผลิตจาก PVC สามารถนำมาใช้ได้โดยไม่มีสารเคมีตกค้าง เช่น ฟิล์มยืดสำหรับห่อเนื้อสัตว์และผลไม้สด ถาดบรรจุอาหารแห้ง ถาดหรือกล่องบรรจุอาหารสด และขวดบรรจุน้ำมันพืชเป็นต้น ในประเทศทางฝั่งยุโรปและอเมริกา พีวีซี บางครั้งถูกเรียกว่า "ไวนิล" ไวนิล มักจะนำไปใช้พูดกับพลาสติกที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงเช่น การทำพื้น และ หนังเทียม พีวีซี เป็น Thermoplastic ที่ประกอบด้วย คลอรีน 57% ซึ่งเป็นผลผลิตจากเกลืออุตสาหกรรม และ 43%มาจากคาร์บอนซึ่งสกัดมาจากน้ำมันและก๊าซ เมื่อเทียบปริมาณน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในการผลิตพลาสติกแต่ละชนิด พีวีซีเป็นพลาสติกที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าพลาสติกประเภท PE, PP, PET และ PS พีวีซียังมีคุณสมบัติทนไฟและดับไฟได้จากคุณสมบัติของสารประกอบคลอรีน PVC, PE, PPและ PS เป็นพลาสติกที่ใช้งานได้ทั่วไป ส่วนประกอบและโครงสร้างของโมเลกุลของพลาสติกจะเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติการใช้งานพลาสติกแต่ละชนิด โครงสร้างโมเลกุลของพลาสติก PVCซึ่งมีคลอรีนเป็นส่วนประกอบ มีรูปร่างไม่แน่นอน อะตอมของคลอรีนจะอยู่ติดกับโครงสร้างเนื้อพลาสติก ถึงแม้ว่าพลาสติกหลายชนิดจะถูกนำใช้แทนกันได้ในชีวิตประจำวันแต่ พีวีซีมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในด้านประสิทธิภาพและการใช้งานที่แตกต่างเมื่อเทียบกับพลาสติกอื่นที่โครงสร้างมีแต่คาร์บอนและไฮโดรเจน โครงสร้างของพลาสติก PVC PVC, PE, PPและ PS เป็นพลาสติกที่ใช้งานได้ทั่วไป ส่วนประกอบและโครงสร้างของโมเลกุลของพลาสติกจะเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติการใช้งานพลาสติกแต่ละชนิด โครงสร้างโมเลกุลของพลาสติก PVCซึ่งมีคลอรีนเป็นส่วนประกอบ มีรูปร่างไม่แน่นอน อะตอมของคลอรีนจะอยู่ติดกับโครงสร้างเนื้อพลาสติก ถึงแม้ว่าพลาสติกหลายชนิดจะถูกนำใช้แทนกันได้ในชีวิตประจำวันแต่ พีวีซีมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในด้านประสิทธิภาพและการใช้งานที่แตกต่างเมื่อเทียบกับพลาสติกอื่นที่โครงสร้างมีแต่คาร์บอนและไฮโดรเจน พอลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinylchloride : PVC) พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) เป็นพอลิเมอร์ที่สำคัญที่สุดในกลุ่มไวนิลด้วยกัน มักเรียกกันทั่วไปว่า พีวีซี เนื้อพีวีซีมักมีลักษณะขุ่นทึบแต่ก็สามารถผลิตออกมาให้มีสีสันได้ทุกสีเป็นฉนวนไฟฟ้าอย่างดี ตัวมันเองเป็นสารที่ทำให้ไฟดับจึงไม่ติดไฟ มีลักษณะทั้งที่เป็นของแข็งคงรูปและอ่อนนุ่มเหนียว เรซินมีทั้งที่เป็นเม็ดแข็งหรืออ่อนนุ่ม และเป็นผงจึงสามารถนำไปใช้งานได้อย่างกว้างขวาง สมบัติทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพอลิไวนิลคลอไรด์ โพลิเอทธิลีนเทเรฟทาเลต (Poly Ethylene Terephthalate, PET) คุณสมบัติทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจาก PET นิยมใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ของน้ำดื่ม น้ำมันพืช และเครื่องสำอาง ยิ่งไปกว่านั้นขวด PET มีคุณสมบัติป้องกันการแพร่ผ่านของก๊าซได้เป็นอย่างดี จึงใช้เป็นภาชนะบรรจุน้ำอัดลม |