ทฤษฎีการกำหนดรายได้ประชาชาติ เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ และความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (Desired Aggregate Expenditure: DAE) Show ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (DAE) คือ ความต้องการจะใช้จ่ายของภาคเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ครัวเรือน ธุรกิจ รัฐบาล ต่างประเทศ ในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายซึ่งผลิตขึ้นได้ในประเทศ ในระยะเวลาหนึ่ง ความต้องการใช้จ่ายมวลรวมประกอบ ไปด้วย
การบริโภค หมายถึง รายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการในรอบ 1 ปี จากการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่กำหนดการบริโภคและการออมมีหลายปัจจัย เช่น รายได้ประชาชาติ อัตราภาษี ระดับราคาสินค้าและบริการ ฯลฯ ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ กล่าวว่า รายได้ที่ใช้จ่ายได้ (Disposable Income) เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในการกำหนดรายจ่ายเพื่อการบริโภค ดังนั้นเมื่อสมมติให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ ฟังก์ชันการบริโภคจึงขึ้นอยู่กับรายได้ที่ใช้จ่ายได้แต่เพียงอย่างเดียว
ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการออม (Marginal Propensity to Save: MPS) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงในจำนวนเงินออม ต่อการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่ใช้จ่ายได้ นั่นคือ เป็นการวัดค่าของการออมที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงของรายได้ 1 หน่วย โดยที่ โดยปกติแล้วการบริโภคของคนเราทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพของสินค้าและบริการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้1.รายได้ของผู้บริโภค ในที่นี้หมายถึง รายได้สุทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นรายได้เมื่อหักภาษีออกแล้วรายได้ของผู้บริโภคนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดการใช้จ่ายสำหรับการบริภค ตามปกติ ถ้าเรามีรายได้น้อยก็จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการมาบริโภคได้น้อย เมื่อมีรายได้เพิ่มขั้นเราก็ใช้จ่ายเงินเพิ่อการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย แต่จะเพิ่มในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเงินออมมากกว่าเดิม 2.นิสัยการใช้จ่ายของผู้บริโภค คนเรามีนิสัยการใช้เงินแตกต่างกัน คนที่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย พอใจหรืออยากได้สิ่งใดก็รีบซื้อทันทีโดยไม่ได้พิจารณาถึงความจำเป็นและรายได้ของตนเอง และเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้คนประเภทนี้จะมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในอานาคต
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค (Corruption Expedition / C) 1.สินค้าประเภทถาวร (Durable goods) ได้แก่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคสินค้าที่มีอายุการใช้งานนาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์2.สินค้าประเภทไม่ถาวร (Nondurable goods) ได้แก่ ค่าใช้จ่าย ในการบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภค อาหาร 3.บริการ (Services) ได้แก่ค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งบริการต่าง ๆ เช่น การชมภาพยนต์ ดังนั้น C (เพิ่มขึ้น) > AD(เพิ่มขึ้น) > I (เพิ่มขึ้น) > จ้างงาน (เพิ่มขึ้น) > Y (เพิ่มขึ้น) ปัจจัยที่กำหนดการบริโภคมวลรวมและการออมมวลรวม 1.รายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income / DI / Yd)Yd (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) และ S (เพิ่มขึ้น) Yd (ลดลง) > C (ลดลง) และ S (ลดลง) 2 .การเปลี่ยนแปลงในอัตราภาษี (t) Dt (เพิ่มขึ้น) > Yd(เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) และ S (เพิ่มขึ้น) Dt (ลดลง) > Yd (ลดลง) > C (ลดลง) และ S (ลดลง) 3.อุปนิสัยของผู้บริโภค (h) นิสัยเป็นคนมัธยัสถ์ > C (ลดลง) นิสัยเป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย > C (เพิ่มขึ้น)4.ภาวะแวดล้อมทางสังคม (So) สังคมใดเลียนแบบการบริโภคสูง > C (เพิ่มขึ้น) สังคมใดรู้สึกว่าการประหยัดมัธยัสถ์เป็นสิ่งที่ดี S (เพิ่มขึ้น) C (ลดลง) Y e (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) ปัจจุบัน และ S (ลดลง) P e (ลดลง) > C (ลดลง) ปัจจุบัน และ S (เพิ่มขึ้น) Asset มีสภาพคล่องมาก > ฐานะการเงินมั่นคง > C (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง) Asset มีสภาพคล่องน้อย > เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ยาก > C (ลดลง) *** Asset มีสภาพคล่องมาก ได้แก่ ใบหุ้น, เงินสด, เงินฝากประจำ *** สินค้าคงทนถาวร (Fixed Asset : FA) เช่น รถยนต์, ทีวี เป็นต้น - อาจซื้อ FA (ลดลง) ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากมีใช้อยู่แล้ว - อาจซื้อ FA สินค้าและบริการที่ใช้ทดแทนกัน (Substitute goods) ลดลงก็ได้ เช่น การซื้อ T.V / การชมภาพยนต์ - อาจจำให้รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ ที่ใช้ประกอบกัน เพิ่มขึ้น เช่น การซื้อรถยนต์ > น้ำมัน (เพิ่มขึ้น) ค้าอัดฉีด (เพิ่มขึ้น) ค่าซ่อมแซม (เพิ่มขึ้น) แต่ทำให้ S (ลดลง) # ผ่อนต่ำ ดาวน์ต่ำ และ i ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) Q เป็นการเพิ่มอำนาจ ซื้อ แก่ผู้มีรายได้ต่ำ # i (กู้) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) ; i (ฝาก) สูง > C (ลดลง) i (กู้) สูง > C (ลดลง) ; i (ฝาก) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) 8.การกระจายรายได้ในสังคม (d ) d ทั่วหน้าทุกคน > C (เพิ่มขึ้น) Pop (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) ถ้า Pop วัยเรียน (เพิ่มขึ้น) > C เครื่องเขียนชุดนักเรียน (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง) อุปนิสัย ของ Pop ก็ต่างกันเช่น คนกลางคนนิยมออม คนแก่ และเด็ก ชอบมีนิสัย ในการใช้จ่าย \ ถ้าประเทศไหนมีคนกลางคนมาก > S (เพิ่มขึ้น) และ C (ลดลง) ดังนั้น สรุป C = f (Yd , t, h, So, e, A, Cr, I, d, Pop…) ฟังก์ชั่นการบริโภค (Consumption Function) C = a + bY C = f (Yd) เราใช้คำว่า ฟังก์ชัน (function) เพราะว่าการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคผันแปรไปตามระดับรายได้หลังจากหักภาษีแล้ว แสดงว่าเมื่อ C (ลดลง) Yd (เพิ่ม) ® C (เพิ่ม) ; Yd (ลด) ®C (ลด) C = ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค a = การใช้จ่ายบริโภคขณะที่รายได้เท่ากับศูนย์ เป็นอัตโนมัติ ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ (มนุษย์เกิดความต้องการบริโภค แม้ขณะยังมิได้มี Y หรือ S = 0) b = ความโน้มเอียงที่จะใช้จ่ายอุปโภค บริโภค เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น 1 หน่วย (Marginal Propensity to Consume / MPC) Y =รายได้ประชาชาติ (National Income) ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภค และความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายของการบริโภค (Average Propensity to Consume / APC) หมายถึง แนวโน้มที่ประชาชนจะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคจากเงินได้ที่มีอยู่ ในแต่ละระดับ
เนื่องจาก MPC = b = slope ของเส้นการบริโภค ดังนั้น b ก็คือ ความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภคด้วย ** การออม (The Saving)** เนื่องจาก การออม (Saving) เป็นส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของ Pop เมื่อมี Yd จำนวนหนึ่ง**ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการออม** 1. รายได้ที่เป็นตัวเงิน (Yd) > Yd = Y – tyถ้า t (เพิ่ม) > S (ลดลง) ถ้า t (ลดลง) > S (เพิ่ม) Y e (เพิ่ม) >S (ลด) Y e (ลด) >S (เพิ่ม) ผู้บริโภคนิยมวัตถุ > C (เพิ่ม) > S (ลดลง) **ฟังก์ชั่นการออม (The Saving Function)** โดย –a คือ การออมในอดีตที่ถูกใช้ในการบริโภค เมื่อรายได้ที่อยู่ในมือบุคคล = 0 ความสัมพันธ์ระหว่าง S และ Yd ก็ เช่นเดียวกับ C นั้นคือ S a Yd **ความโน้มเอียงเฉลี่ยที่จะออมทรัพย์ (The Average Propensity to save) เป็นอัตราส่วนระหว่างเงินออมกับรายได้ Yd การบริโภค **ความสัมพันธ์ระหว่างความโน้มเอียงในการบริโภค กับความโน้มเอียงในการออม** จากรูป (ก) และ (ข) มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้ 2. ณ Yd1 < Yd2 มี C > Yd ดังนั้น จึ้งต้องกู้ยืมหรือนำเงินออมในอดีตมาใช้ \ S ติดลบ เท่ากับ d, f 3. ณ Yd1 > Yd2 > C ส่วนหนึ่งเหลือ S = bc 4. ณ Yd2 : APC = 1 , Yd1 : APC > 15. ณ Yd3 : APC < 1 จากการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคตามกฎว่าด้วยการบริโภคในระยะสั้นของเคนส์ เท่าที่เราได้ศึกษามาตั้งแต่ต้น พอสรุปได้ดังนี้ 1. APC และ MPC จะมีค่าเพิ่มในสัดส่วนลดลงเรื่อง ๆ เมื่อรายได้สูงขึ้น เพราะการบริโภคจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วน APS, MPS จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น2. APC + APS = 1 เสมอ หมายความว่า การที่เรามีรายได้อยู่ก้อนหนึ่งจะใช้บริโภคเสียส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะเก็บออมไว้ 3. MPC + MPS = 1 เสมอ หมายความว่า DY = DC + DS4. MPC (ลดลง) (เส้นการบริโภคจะโค้งลง) และ MPS (เพิ่ม) เมื่อ Yd (เพิ่ม) Q DC < DY 5. 0 < MPC < 1 6. 0 < MPS < 1 **การลงทุน (Investment)** It = I nt + I rt **ปัจจัยที่กำหนดการลงทุน** อัตราดอกเบี้ย (Rate of Interest) i เป็น cost การผลิตรวม i (เพิ่ม) > I (ลด); i(ลด) > I(เพิ่ม) กำไรที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Profit) กำไร e มากกว่า ต้นทุน > I(เพิ่ม) ราคาสินค้า Pf > IRR > I(ลด) Pc < IRR > I(เพิ่ม) ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี Tech ก้าวหน้า > ผู้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ > ครองตลาดทำให้มี I ใหม่อยู่ตลอดเวลา นโยบายของรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมือง t (เพิ่ม) และ t ซ้ำซ้อน > cost (เพิ่ม) > ไม่สามารถแข่งขัน ในตลาดได้ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ฟังก์ชั่นการลงทุน I = f(Yd, A, B, C, D)I = ปริมาณการลงทุน Yd = รายได้ที่เป็นตัวเงิน B = กำไรคาดว่าจะได้รับ A = อัตราดอกเบี้ย C = ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ลักษณะของการลงทุน แบ่งออกเป็น การลงทุนโดยอิสระ (Autonomous Investment) เป็นการลงทุนไม่ D ตาม Yd เส้น I ขนานกับแกนนอนซึ่งวัดตาม Yd การลงทุน การลงทุนโดยถูกจูงใจ (Induced Investment) จะแปรผันตามระดับเงินได้ **สิ่งที่กำหนดการลงทุน** การตัดสินใจเพื่อการลงทุนจะต้องเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเรียกว่า ประสิทธิภาพของเงินลงทุนหน่วยที่เพิ่มขึ้น (Marginal Efficiency of capital /MEC) ถ้า I < IRR หรือ MEC > ตัดสินใจลงทุน I > IRR หรือ MEC > ระงับการลงทุน เช่น S = R1 + R2 + … + Rn (1+i)n (1+i)2 (1+i) S = (Supply Price) = สินทรัพย์ทุน R1, R2, …, Rn = รายรับของแต่ละปีอันเกิดจากใช้สินทรัพย์ทุน i = MEC ถ้า MEC > หรือ = ด/บ ตลาด ตัดสินใจลงทุน ถ้า MEC < ด/บ ตลาด ระงับการลงทุน **การซื้อสินทรัพย์ทุนหน่วยหลัง ๆ > MEC (ลดลง) ** -รายรับ (เพิ่ม) จากการใช้สินทรัพย์ หน่วยหลัง ๆ < รายรับ (เพิ่ม)จดการใช้สินทรัพย์หน่วยแรก ประสิทธิภาพการผลิตน้อยกว่า ปัจจัยในการบริโภคได้แก่อะไรบ้าง6 ปัจจัย ที่ผู้บริโภคใช้ในการเลือกซื้อสินค้า 'ราคา' มาก่อน. อันดับ 1 Price ราคา 76% ... . อันดับ 2 Reliability ความน่าเชื่อถือ 70% ... . อันดับ 3 Return Policy นโยบายการคืนสินค้า 68% ... . อันดับ 4 Delivery Time ระยะเวลาในการจัดส่ง 68% ... . อันดับ 5 Convenience ความสะดวกสบาย 68% ... . อับดับ 6 Delivery options 67%. ข้อใดเป็นปัจจัยที่กำหนดการบริโภคของผู้บริโภคมากที่สุดรายได้เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความจำเป็นในการบริโภคของผู้บริโภค รวมทั้งความสามารถในการบริโภค หากผู้บริโภคประกอบอาชีพที่มีรายได้สูง ย่อมต้องการบริโภคสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดี เช่น ซื้อบ้านหลังใหญ่ใช้รถยนต์ราคาแพง เป็นต้น แต่ผู้ที่มีรายได้น้อยก็จะบริโภคเฉพาะสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น
การบริโภคมีความสําคัญอย่างไรความสำคัญของการบริโภค การบริโภค เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนต้องบริโภค เพื่อการดำรงชีวิต และการบริโภคยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน ทำให้มีรายได้ทั้งผู้ผลิต และเจ้าของปัจจัยการผลิต มีสินค้าและบริการบริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น
ปัจจัยอะไรบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค2.3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค. การรับรู้ (perception) ... . การจูงใจ (motivation) ... . การเรียนรู้ (learning) ... . ความเชื่อและทัศนคติ (belief and attiude) ... . บุคลิกภาพและแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (personality and self-concept) ... . แบบการดำเนินชีวิต (lifestyle). |