หัวเมืองใดที่เป็นดินแดนกันระหว่างพม่ากับธนบุรี

เมื่อ กองทัพพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยานั้น พระยาตากสินซึ่งเป็นเจ้าเมืองตากถูกเรียกระดมพล ให้เข้ามาป้องกันพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาตากสินได้สู้รบกับกองทัพพม่า และได้รับชัยชนะหลายครั้ง แต่ดังที่ได้กล่าวแล้ว ถึงความเสื่อมโทรมภายในราชอาณาจักรหลายประการที่ทำให้พระยาตากสินเห็น ว่า กรุงศรีอยุธยาไม่สามารถที่จะรอดพ้นเงื้อมมือกองทัพพม่าอย่างแน่นอน ดังนั้น ก่อนเวลาที่กรุงศรีอยุธยา จะเสียเอกราชให้แก่กองทัพพม่าประมาณ ๓ เดือน พระยาตากสินพร้อมกับนายทหารหัวเมือง ที่ร่วมรบมาด้วยกันจำนวนประมาณ ๕๐๐ คน ได้ยกกำลังตีฝ่าทัพพม่าออกไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปสู่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ซึ่งกองกำลังทัพพม่าไม่สามารถเข้าไปรุกรานได้ ในที่สุด เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่กองทัพพม่าแล้ว กอง กำลังของพระยาตากสินก็ยึดเมืองจันทบุรีที่ตั้งตัว เป็นอิสระอยู่ และได้ใช้เมืองจันทบุรีเป็นที่รวบรวม กำลังคนแถบหัวเมืองใกล้เคียง ทั้งโดยวิธีการ เกลี้ยกล่อม และใช้กำลังปราบปราม ในช่วง เวลานั้น มีข้าราชการกรุงศรีอยุธยาได้เข้ามาร่วมด้วย คนสำคัญคือ นายสุดจินดา มหาดเล็ก หุ้มแพร ซึ่งภายหลังคือ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชการที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี

เมื่อพระยาตากสินสามารถรวบรวมกำลังคน สะสมอาวุธ และต่อเรือ ที่เมืองจันทบุรีได้มากพอแล้ว เมื่อสิ้นฤดูฝน จึงได้ยกกองทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา และรบชนะพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น ในที่สุดก็สามารถเอาชนะกองกำลังพม่าที่มีสุกี้ คุมกำลังอยู่ได้ สุกี้ตายในที่รบ พระยาตากสิน จึงยึดกรุงศรีอยุธยาที่เหลือแต่ซากปรักหักพังคืนมาได้ หลังจากที่ต้องเสียกรุงศรีอยุธยานานถึง ๗ เดือน พระยาตากสินเห็นว่า ยังไม่มีกำลังเพียงพอ ที่จะบูรณะ และรักษาเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ได้ จึงรวบรวมผู้คนกลับไปตั้งมั่นที่เมืองธนบุรี

พระยาตากสินทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ ขณะมีพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ อันเป็นการ แสดงเจตนารมณ์สืบพระสมมติวงศ์แห่งกษัตริย์ กรุงศรีอยุธยาโดยพระนาม แต่คนทั่วไปนิยม ขนานพระนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชก่อนเข้ารับราชการนั้น ค่อนข้างคลุมเครือ ส่วนมากที่ทราบกันอยู่นั้น เป็นเรื่องที่เขียนขึ้น ในภายหลังโดยปราศจากหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะการเขียนพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในสมัย นั้น เพื่อมุ่งเทิดพระเกียรติพระองค์เป็นสำคัญ มิได้มีแนวคิด เพื่อการเสนอข้อเท็จจริงเหมือนเช่นในปัจจุบัน หลักฐานอันเป็นข้อเท็จจริงที่ ศาสตราจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้นำเสนอประกอบการวิเคราะห์ ในหนังสือ การ เมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น จึงมีเพียงว่า พระองค์มีพระนามเดิมว่า สิน ทรงมีเชื้อสายทางบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว แซ่แต้ ทรงพระราชสมภพ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๗ ในต้นรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ก่อนเข้ารับราชการ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีอาชีพเป็นพ่อค้าเกวียน คือ มีกองเกวียนบรรทุกสินค้าขึ้นไปแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า ที่เมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองชายเขตขนาดเล็กของกรุงศรีอยุธยา พระองค์อาจจะคุมกองเกวียนติดต่อกับเมืองชายเขตแถบเมืองเหนือ เช่น พิษณุโลก พิชัย ฝาง ด้วย ดังนั้น พระองค์จึงเข้าใจภูมิประเทศ และฤดูกาลของบ้านเมืองในถิ่นนั้นได้เป็น อย่างดี การค้าระหว่างเมืองชายเขตกับส่วนกลาง ที่กรุงศรีอยุธยาช่วยสร้างความมั่งคั่งให้แก่พระองค์ จนทำให้สามารถเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกับขุนนาง ชั้นสูงในส่วนกลาง ดังนั้น เมื่อเมืองตากซึ่งเป็น เมืองชายเขตขนาดเล็ก และไม่ค่อยมีความสำคัญ เกี่ยวกับความมั่นคงภายในราชสำนัก ขาดเจ้าเมือง เพราะเจ้าเมืองคนเก่าถึงแก่กรรม เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีระบบขุนนางที่ล้มเหลว พระเจ้าตากสิน ซึ่งเป็นพ่อค้า ที่สามารถเข้าถึงวงในของระบบราชการของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตาก โดยที่การเป็นเจ้าเมืองตากสามารถอำนวยผลประโยชน์ให้แก่การค้าของพระองค์ ได้

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นเจ้าเมืองตากอยู่ได้ไม่นาน ก็เกิดสงครามพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้ถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยป้องกันพระนคร ในฐานะเจ้าเมืองตาก พระองค์พร้อมกับทหารจำนวน ๕๐๐ คน จึงเข้ามาเป็นกองกำลังป้องกันพระนครอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาคงไม่รอดจากเงื้อมมือกองทัพพม่าแน่นอนแล้ว พระองค์พร้อมไพร่พลคู่พระทัย ทั้ง ๕๐๐ คน ก็ได้ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกไปตั้งหลัก เพื่อต่อสู้กับพม่าต่อไป

เมื่อได้ปราบดาภิเษกเสวยราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้กลับคืนมาสู่ราชอาณาจักรสยามที่ย้ายมาตั้งอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยทรงปราบปรามเมืองต่างๆ ให้ยอมรับพระราชอำนาจของพระองค์ ซึ่งบางเมืองต้องใช้กำลัง บางเมืองก็สามารถเกลี้ยกล่อมจนยอมสวามิภักดิ์ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๑๓ เมื่อพระองค์สามารถปราบก๊กของเจ้าพระฝางได้เป็นก๊กสุดท้าย ก็สามารถรวบรวมอาณาเขตเดิมของกรุงศรีอยุธยา กลับคืนมาได้ดังเดิม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุง ธนบุรี เมืองหลวงแห่งใหม่ของราชอาณาจักรสยาม

นอกจากการรวมอาณาเขตบ้านเมืองได้ กลับคืนมาเป็นปึกแผ่นดังเดิมแล้ว พระองค์ก็ได้ส่งกองทัพไปปราบปรามเมืองประเทศราชอื่นๆ คือ เขมร และลาว ให้เข้ามาอยู่ในพระราชอำนาจอย่างที่เคยเป็นในสมัยพระนครศรีอยุธยา ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นล้านนาที่พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาไม่เคยได้เข้าครอบครองอย่าง ถาวร นอกจากยกทัพไปเอาชนะได้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อยกทัพกลับ เจ้าเมืองทั้งหลายของล้านนาก็กลับเป็นอิสระปกครองตนเองกันต่อไป ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้ทรงสนับสนุนชาวล้านนาตระกูลหนานทิพย์ช้าง ให้ต่อสู้ขับไล่พม่าออกจากดินแดน ล้านนาจึงเป็นดินแดนที่เข้าร่วมอยู่กับกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ในลำดับต่อมาอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี แห่งการเสวยราชสมบัติที่กรุงธนบุรีนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องทรงตรากตรำอย่างมาก ต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ การที่ทรงมีชาติกำเนิดจากครอบครัวพ่อค้า อีกทั้งเมื่อรับราชการ ก็เป็นเพียงเจ้าเมืองขนาดเล็กชายเขต และได้เข้ามากรุงศรีอยุธยา ก็ต่อเมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขันแล้ว ดังนั้น เมื่อต้องทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์ผู้สืบสมมติวงศ์แห่งราช อาณาจักรสยาม จึงสร้างความลำบากพระทัยให้แก่พระองค์อยู่มิใช่น้อย การที่ทรงประสบความสำเร็จจากการรบ หรือการที่ทรงพยายามฟื้นฟูเศรษกิจของบ้านเมือง จนราชสำนักจีนยอมรับการเป็นพระมหาษัตริย์ของพระองค์ และให้มีการติดต่อค้าขายด้วย หรือการที่ทรงเป็นพุทธมามกะอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ก็มิได้ทำให้สถานภาพการเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามของ พระองค์ มีความสมบูรณ์ได้เลย

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระองค์ไม่ได้มีเชื้อสายของพระราชวงศ์ หรือขุนนางแห่งราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ผู้ที่ช่วยส่งเสริมอำนาจให้แก่พระองค์ จนขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้นั้น ก็ล้วนเป็นทหารและขุนนางหัวเมืองทั้งสิ้น แม้เมื่อภายหลัง จะมีขุนนางจากอดีตราชสำนักส่วนกลางกรุงศรีอยุธยา มาเข้าร่วมกับพระองค์ เพื่อช่วยฟื้นฟูบ้านเมือง และจารีตราชประเพณีทั้งหลายบ้างก็ตาม ระยะเวลาที่ไม่อำนวยก็คงไม่สามารถเสริมสร้างความเป็นสถาบันให้แก่ พระองค์ได้ และพระองค์เองก็อาจมองไม่เห็นความสำคัญในด้านนี้ หรือทรงมองแตกต่างออกไปด้วยก็ได้ ดังจะเห็นได้จากขอบเขตพระราชฐานเล็กๆ ที่พระราชวังเดิมของพระองค์ ท้องพระโรงขนาดเล็ก เป็นอาคารโถงธรรมดา มิได้มียอดปราสาทแสดงความยิ่งใหญ่ แห่งพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เหมือนกับกรุงศรีอยุธยา หรือแม้แต่จะเทียบกับกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อแรกสถาปนาในภายหลัง พระตำหนักที่ประทับก็เป็นเพียงเก๋งจีนเล็กๆ ทึบ และคับแคบ อีกทั้งพระราชจริยวัตรของพระองค์ ที่ทรงเปิดเผย อาจจะเป็นลักษณะของผู้ที่มาจากครอบครัวชาวจีนที่สมถะก็ได้

ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏหลักฐานที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของพระองค์ต่ออาณาประชาราษฎร์ และขุนนางทั้งหลายว่า ทรงประพฤติปฏิบัติเยี่ยงพ่อกับลูก แต่การเป็นพ่อของพระองค์นั้น ทรงเป็นพ่อตามแบบฉบับชาวจีน ที่ลูกจะต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ในขณะที่ความเป็นลูกของขุนนางทั้งหลายนั้น มิใช่ลูกอย่างที่เป็นในครอบครัวชาวจีน พฤติกรรมของพระองค์ ที่แตกต่างไปจากราชประเพณีของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกรุง ศรีอยุธยา ที่เคยมีมา ในขณะที่พระราชอำนาจแห่งความเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ของพระองค์ยังไม่ สมบูรณ์ ย่อมเป็นความเปราะบางแห่งราชบัลลังก์ ดังจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงปลายรัชกาล ที่กล่าวว่า พระองค์ทรงเสียพระสติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข่าว เพื่อทำลายพระองค์ หรือทรงเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ตาม แต่มูลเหตุที่มา ย่อมมาจากพฤติกรรมของพระองค์ ที่แตกต่างไปจากขนบธรรมเนียมราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ ที่สืบมาแต่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาเป็นสำคัญ

ข่าวเรื่องการวิกลจริตของพระองค์ แพร่ออกมาได้ โดยไม่มีผู้ใดออกมาปกป้องเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า พระองค์ขาดบุคคลที่ใกล้ชิด ซึ่งมีอำนาจ และสามารถไว้ใจได้ แตกต่างจากบุคคลใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ในอดีตที่ผ่านมา จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนมาก จะเป็นญาติพี่น้องของพระมหากษัตริย์ หรือพระราชินี

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องสูญเสียอำนาจ และถูกปลงพระชนม์ในที่สุด เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ซึ่งถือกันว่า พระองค์ทรงหมดบุญญาธิการแล้ว ตามแนวคิดของคนในสมัยนั้น กรุงธนบุรีที่มีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรสยาม และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเพียงพระองค์ เดียวตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี จึงได้สิ้นสุดลง