Individual differences ความ แตก ต่าง ระหว่างบุคคล

แผนบริการการสอนประจำวิชา

รายวิชา  จิตวิทยาความแตกต่างระหว่างบุคคล (Psychology of Individual Differences)              รหัส PG 1104

จำนวนหน่วยกิต-ชั่วโมง  3(3-0)                                                                                                                    ผู้สอน อ.สิริกาญจน์  สง่า

เวลาเรียน  16  สัปดาห์                                                                                                                                      3 ชั่วโมง / สัปดาห์

_____________________________________________________________________________________________

คำอธิบายรายวิชา

ศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านต่างๆ  รวมถึงสาเหตุของความแตกต่างและปัญหาที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างบุคคล

ความแตกต่างระหว่างบุคคล

Individual Differences

ผู้ช่วยศาตราจารย์นวรัตน์ หัสดี

ความแตกต่างระหว่างบุคคล หากผู้สอนสามารถจัดการเรียนการสอนให้
Individual Differences เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละบุคคล ให้เกิดการ
เรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทั้งด้าน
การศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคล ความรู้ ด้านเจตคติ และด้านทักษะ ก็จะ
เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่าง สามารถตอบสนองต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ของบุคคลทางเชาวน์ปัญญา ความคิด และพัฒนาศักยภาพผู้เรียนได้อย่างเต็มที่
สร้างสรรค์ ลีลาการรู้คิด รวมทั้งความแตก
ต่างทางบุคลิกภาพและความแตกต่างทาง วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ ความแตกต่าง
เพศ สำหรับเรื่องความแตกต่างระหว่าง ระหว่างบุคคล (Individual
บุคคลนี้จัดเป็นประเด็นพื้นฐานที่ผู้สอนควร Differences)
ให้ความตระหนักและทำความเข้าใจ 1.เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความ
แตกต่างระหว่างบุคคล
ในห้องเรียนประกอบไปด้วยผู้เรียนที่มี 2.เพื่อให้มีแนวทางในการจัดการเรียนใน
ความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย ความ ชั้นเรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่าง
แตกต่างเหล่านั้นเป็นตัวแปรสำคัญที่มี ระหว่างบุคคล
อิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการจัดการเรียน
การสอน ผู้สอนควรตระหนักถึงความ
แตกต่างระหว่างผู้เรียน ซึ่งมีปัจจัยที่สำคัญ
หลายด้าน เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความ
แตกต่างกันทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์
ด้านสังคม ด้านสติปัญญา

นักจิตวิทยาและนักการศึกษากล่าวถึง ทฤษฎีพัฒนาการของบรูนเนอร์ มีแนวคิด
ความแตกต่างระหว่างบุคคล ไว้ดังนี้ ว่าความพร้อมของเด็กสามารถจะปรับได้ แต่
จะต้องรู้จักการจัดเนื้อหาและวิธีการสอนที่
แนวความคิดเรื่องสิ่งเร้าและการตอบ เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเหล่านั้น ดัง
สนอง (stimulus-response) หรือทฤษฎี นั้นผู้สอนจึงจำเป็นจะต้องเข้าใจเด็ก และรู้จัก
เอส-อาร์ (S-R theory) และนำมา กระตุ้นโดยการจัดสภาพการเรียนการสอน
ประยุกต์ใช้ (Defleur, 1989, p. 173) ให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก
อธิบายว่า บุคคล มีความแตกต่างกัน
หลายประการ เช่น บุคลิกภาพ ทัศนคติ ทฤษฎีพัฒนาการของอิริคสัน มีแนวคิดว่า
สติปัญญา และความสนใจ เป็นต้น และ การพัฒนาการทางบุคลิกภาพย่อมขึ้นอยู่กับ
ความแตกต่างนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพทาง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างอินทรีย์กับสภาพ
สังคมและวัฒนธรรม ทำให้มีพฤติกรรม สังคมที่มีอิทธิพลมาเป็นลำดับขั้นของการ
การสื่อสารและการเลือกเปิดรับสารที่ พัฒนาและจะสืบเนื่องต่อๆไป เด็กที่มีสภาพ
แตกต่างกัน สังคมมาดีก็จะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ
ที่ดีด้วย
ทฤษฎีพัฒนาการของเพียเจท์ ได้
อธิบายว่าการพัฒนาสติปัญญาและความ ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล มีแนวคิดว่า
คิดของผู้เรียนนั้น เกิดจากการปรับตัวกับ พฤติกรรมของบุคคลจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการ
สิ่งแวดล้อม และผู้สอนควรจะต้องจัด ซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติเมื่อถึงวัย ในการ
สภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอนให้ จัดการเรียนการสอน ผู้สอนจะต้องคำนึงถึง
สอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียน ความพร้อม ความสามารถ ความสนใจ และ
ความต้องการของผู้เรียน

Kuzgun and Deryakulu 2004 กล่าวว่า อารี พันธ์มณี (2546) ได้กล่าวถึงความแตก
มีความแตกต่างระหว่างบุคคลจำนวนมากที่ ต่างระหว่างบุคคล หมายถึง ลักษณะของคน
มีผลต่อประสิทธิภาพและทัศนคติของผู้เรียน แต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน มีลักษณะที่ไม่ซ้ำ
ระหว่างการสอนและการเรียนรู้ ความแตก แบบใครและไม่เหมือนใครได้แก่ ความแตก
ต่างที่พบบ่อยที่สุดของผู้เรียนคือเพศ อายุ ต่างระหว่างบุคคลทางกาย อารมณ์ สังคม
สติปัญญา ความสามารถ ความสนใจ พื้น และสติปัญญา ซึ่งความแตกต่างระหว่าง
ความรู้ สไตล์การเรียน แรงจูงใจ การกำกับ บุคคล ทำให้บุคคลมีเอกลักษณ์ของตน
และควบคุมตนเองที่มีประสิทธิภาพและ
อิทธิพลทางความเชื่อของบุคคล จากแนวคิดและทฤษฏีของนักจิตวิทยาและ
นักการศึกษาสรุปได้ว่า ความแตกต่าง
สุรางค์ โค้วตระกูล (2544) กล่าวถึงความ ระหว่างบุคคลทั้งทางด้านร่างกาย ด้าน
แตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องต่อไปนี้ อารมณ์ ด้านสังคม ด้านสติปัญญา และด้าน
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคลทางเชาวน์ บุคลิกภาพอื่นๆ ความแตกต่างดังกล่าวล้วน
ปัญญา ส่งผลต่อการเรียนรู้ของบุคคลทั้งทางตรง
2. ความแตกต่างระหว่างบุคคลทางความ และทางอ้อม โดยกล่าวถึงลักษณะความ
คิดสร้างสรรค์ แตกต่างระหว่างบุคคลที่สำคัญของผู้เรียนจะ
3. ความแตกต่างระหว่างบุคคลทางลีลาการ ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนทั้งสิ้น
รู้คิด (Cognitive styles)
4. ความแตกต่างระหว่างบุคคลเกี่ยวกับลีลา
การเรียนรู้ (Learning styles)
5. ความแตกต่างระหว่างเพศ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างระหว่างบุคคล 2.1 สิ่งแวดล้อมภายในครรภ์ คือผลรวม
(กันยารัตน์ สอาดเย็น, 2558)กล่าวไว้ว่า ของสิ่งต่างๆที่มีผลต่อทารก ซึ่งเป็นระยะ
1.พันธุกรรม ( Heredity)หมายถึงลักษณะ ของการอยู่ในครรภ์มารดา ดังนั้น สุขภาพ
ต่างๆที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาสู่ลูกหลาน ร่างกายของมารดา การเจ็บป่วย การ
โดยผ่านทางยีน ลักษณะต่างๆที่ถ่ายทอดทาง บริโภคอาหารของมารดา สารอาหาร รวม
พันธุกรรม มีดังนี้ 1.ลักษณะบุคคลตามเชื้อ ถึงภาวะสุขภาพจิต เช่นความเครียด ความ
ชาติ 2.เพศ 3.อายุ 4.กลุ่มโลหิต 5.ความ วิตกกังวล เศร้า โกรธ หงุดหงิด ของมารดา
บกพร่องทางกายและโรคบางชนิด 6.การ จะส่งผลต่อทารกได้
เจริญเติบโตของร่ายกาย 7.บุคลิกภาพ.
8.สติปัญญา 2.2 สิ่งแวดล้อมภายหลังการเกิด เช่น การ
2.สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึงผล ตอบสนองความต้องการของทารกอย่างทัน
รวมของสิ่งต่างๆที่บุคคลได้รับตั้งแต่ปฏิสนธิ ท่วงที การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว การ
จนกระทั้งตาย และมีอิทธิพลทำให้บุคคลแตก ส่งเสริมให้เด้กมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
ต่างกัน เช่น การอบรมเลี้ยงดู ของครอบครัว ได้รับสารอาหารดี มีคุณค่า ปลอดภัยจาก
สังคม ศาสนา วัฒนธรรม การศึกษาและระบบ โรคต่างๆ และได้รับการอบรมสั่งสอนด้วย
เศรษฐกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อม ความรัก ความเอาใจใส่ การให้เด็กได้รับ
ภายในครรภ์และสิ่งแวดล้อมภายหลังการเกิด แนวคิดและปฏิบัติตนตามหลักของเหตุผล
ยังมีความสำคัญอีกด้วย ส่งเสริมประสบการณ์ที่เหมาะสมตามวัย มุ่ง
เน้นการส่งเสริมให้เด็กเป็นผู้มีการเจริญ
เติบโตทางกาย อารมณ์ สังคมและสติ
ปัญญาอย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อ 1.ความแตกต่างทางด้านร่างกาย
พัฒนาการของมนุษย์โดยทำให้มนุษย์แต่ละ สามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ
คนมีความแตกต่างกัน การส่งเสริมด้านการ 1.ลักษณะทางร่างกายซึ่งสามารถมองเห็น
ศึกษา จัดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเด็กที่ได้ ได้เด่นชัด เช่น รูปร่าง หน้าตา อายุ เพศ
รับโอกาสทางการศึกษา ย่อมเป็นคนที่มี ลักษณะของสีผิว เส้นผม เล็บฯลฯ และ
โอกาสพัฒนาด้านความรู้ ความสามารถ ดัง ลักษณะอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะ
นั้นผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ความรู้และปลูกฝังเกี่ยวกับค่านิยม วิถีการ 2.ลักษณะทางร่างกายซึ่งไม่สามารถมอง
ประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมและสอดคล้อง เห็นได้เด่นชัด เช่น การทำงานของระบบ
กับความต้องการของสังคม ต่างๆ ในร่างกาย การเต้นของหัวใจ
ความดันโลหิต กลุ่มเลือด ปฏิกิริยาที่มีต่อ
ลักษณะความแตกต่างที่สำคัญของผู้เรียน ยาและสารเคมีอื่นๆ ฯลฯ
ซึ่งมีผลต่อการจัดการเรียนการสอน
1. ความแตกต่างทางด้านร่างกาย 2ความแตกต่างทางด้านอารมณ์
2. ความแตกต่างทางด้านอารมณ์ อารมณ์ หมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อ
3. ความแตกต่างทางด้านสังคม บุคคลที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า ทั้งสิ่งเร้า
4. ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา ภายในและภายนอกและความรู้สึกที่เกิด
ขึ้นนี้ มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมของ
บุคคล

โดยทั่วไปอารมณ์จะมีลักษณะอารมณ์ด้านบวก ความแตกต่างทางด้านสังคม
คือ อารมณ์ดี พอใจ สบายใจ สุขใจฯลฯ และ บุคคลแต่ละบุคคลมีพฤติกรรมด้านสังคมแตก
อารมณ์ด้านลบ คือ อารมณ์ไม่ดี ไม่พอใจ ต่างกัน นับตั้งแต่ลักษณะการพูดจาสื่อสาร
หงุดหงิด ทุกข์ใจ ฯลฯ คนแต่ละคนมีอารมณ์ การแต่งกาย การคบเพื่อน และบุคลิกภาพ
แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีความสามารถใน ทางสังคมอื่นๆ ทั้งนี้เพราะแต่ละบุคคลมาจาก
การควบคุมอารมณ์ได้แตกต่างกันด้วย ซึ่ง สังคมที่แตกต่างกัน เช่น มาจากครอบครัวที่
ลักษณะดังกล่าวอาจจะช่วยส่งเสริมให้บุคคลมี แตกต่างกัน ซึ่งหมายถึงได้รับการอบรมเลี้ยง
ชีวิตที่มีความสุขหรืออาจเป็นตัวบั่นทอนความ ดูที่แตกต่างกัน บิดามารดามีอาชีพการศึกษา
สุขในชีวิตก็ได้ ฐานทางเศรษฐกิจและลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่าง
กัน ย่อมส่งผลให้บุคคลมีลักษณะสังคมที่ไม่
นักจิตวิทยาเชื่อว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่สามารถ เหมือนกัน นอกจากครอบครัวแล้วยังมีหน่วย
ปลูกฝังให้เกิดขึ้นได้ เพราะสาเหตุที่ทำให้คน สังคมอื่นๆ ที่มีอิทธิพลทำให้บุคคลมีความ
เราเกิดอารมณ์ต่างๆ นั้น เป็นผลจากการที่ แตกต่างกันทางด้านสังคม เช่น กลุ่มเพื่อน ผู้
บุคคลเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิด เช่น วิธีการอบรม ร่วมงาน โรงเรียน ชุมชนที่บุคคลอาศัยอยู่
เลี้ยงลูก ในวัยเด็ก ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ และความแตก
ลักษณะอารมณ์ของบุคคล นอกจากนี้ยังมีสิ่ง ต่างทางด้านสังคมดังกล่าวจะส่งผลให้บุคคล
แวดล้อมอื่นๆ ที่มีอิทธิพลทำให้บุคคลมีอารมณ์ มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะของความสนใจ
แตกต่างกัน ได้แก่การศึกษาจากครอบครัว ความต้องการ ค่านิยมและแรงจูงใจในการ
โรงเรียน สภาพของสังคมที่บุคคลอาศัยอยู่ ทำพฤติกรรมต่างๆ แตกต่างกันไปด้วย
ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม ฐานะทาง
เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนสื่อมวลชนต่างๆ

ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา แต่ในความเป็นจริงในห้องเรียนหนึ่งๆ มักจะมี
ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา ได้แก่ ผู้เรียนสติปัญญาระดับสูง และระดับต่ำกว่า
ความสามารถของบุคคลในการจำ การคิด ปานกลางรวมอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งผู้เรียนทั้งสอง
การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และ ประเภทนี้ต้องการความช่วยเหลือจากครูเป็น
การกระทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งความสามารถใน พิเศษ เพราะการสอนรวมกับผู้อื่นตามปกติเป็น
การปรับตัว ถ้าบุคคลใดทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี อุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งสอง
แสดงว่าบุคคลนั้นมีสติปัญญาสูง ประเภท กล่าวคือ ผู้เรียนระดับสติปัญญาสูงจะ
เกิดความเบื่อหน่ายและอาจแสดงออกในรูป
นักจิตวิทยาและนักการศึกษาค้นพบว่า คน แบบต่างๆ เช่น ขาดความสนใจในบทเรียน ทำ
เรามีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน ตั้งแต่ พฤติกรรมก่อกวนชั้นเรียนเนื่องจากทำงาน
ระดับสูง-ต่ำ ซึ่งมีผลทำให้เกิดความแตกต่าง เสร็จและไม่มีอะไรทำ ขาดแรงจูงใจในการ
ในด้านประสิทธิภาพของบุคคล ทั้งในแง่ของ เรียน เพราะงานที่ครูให้ทำ ง่ายเกินไปและไม่
การทำงานและการทำพฤติกรรมอื่นๆในชีวิต ท้าทาย ดังนั้นครูจึงควรจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อ
ความสามารถทางสติปัญญาเป็นตัวแปร ส่งเสริมผู้เรียนประเภทนี้ให้มีโอกาสได้พัฒนา
สำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ตนเองอย่างเต็มที่ และเพื่อป้องกันการเกิด
ของบุคคล ระดับสติปัญญาของคนเรามี พฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์ในการเรียน
ความแตกต่างกันตั้งแต่ระดับสูง (อัจฉริยะ)
จนถึงระดับต่ำ (เชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปาน
กลาง) ในการเรียนการสอนครูส่วนมากจะ
คิดถึงผู้เรียนทั้งห้องเป็นภาพรวม และคาด
หวังให้ผู้เรียนส่วนมากซึ่งมีสติปัญญาระดับ
ปานกลางเกิดการเรียนรู้

โปรแกรมที่นักการศึกษาจัดให้เด็กที่มีสติ สุรางค์ โค้วตระกูล (2544) ได้เสนอหลักใน
ปัญญาสูงมี 3 ประเภท คือ การสอนเด็กเรียนช้าไว้ดังนี้
1. การข้ามชั้น 1.ครูจะต้องแสดงให้นักเรียนทราบว่า ครู
2. การจัดโปรแกรมพิเศษเพื่อส่งเสริมการ เต็มใจที่จะช่วยนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้
เรียนรู้ 2.หลีกเลี่ยงสภาวะที่ก่อให้นักเรียนที่เรียนช้า
3. การแบ่งเรียนเป็นกลุ่ม สอนตามความ เกิดความคับข้องใจ โดยการจัดบทเรียนให้
สามารถ เหมาะสม กับความสามารถเช่น เลือกงานที่
ง่ายและมอบหมายให้ทำงานน้อยกว่าเพื่อน
สำหรับผู้เรียนที่มีสติปัญญาต่ำกว่าปาน 3.ครูควรเลือกถามคำถามที่นักเรียนสามารถ
กลางหรือเด็กเรียนช้า ซึ่งมักมีพฤติกรรม ตอบได้ และให้เวลาในการตอบ
แตกต่างไปจากเด็กปกติ คือ ขาดความ 4.จัดหน่วยเรียนให้สั้นและจบได้ในตัว
มั่นใจในตนเอง มีความจำระยะสั้น มีความ 5.ครูควรทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วทุก
สนใจสั้น ไม่สามารถสำรวมความคิดและ ครั้ง ก่อนจะเริ่มบทเรียนใหม่
พฤติกรรมได้นาน และเมื่อเผชิญกับสภาพที่ 6.ให้ข้อมูลย้อนกลับทันทีจะช่วยให้นักเรียนรู้
เป็นปัญหามักจะเกิดความท้อถ้อยหรือคับ ถึงความก้าวหน้าทางการเรียนของตนเอง
ข้องใจ การสอนเด็กเรียนช้าที่ได้ผลดีก็คือ เพื่อให้มีกำลังใจ
การสอนเป็นรายบุคคล แต่อาจมีข้อจำกัด
ในทางปฏิบัติ

ความแตกต่างทางด้านบุคลิกภาพอื่นๆ ในห้องเรียนหนึ่งๆ ประกอบด้วยนักเรียนที่มี
นอกจากบุคคลจะแตกต่างกันในด้านต่างๆ ความแตกต่างกันอย่างหลากหลายปละ
ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีความแตกต่างกัน ความแตกต่างเหล่าเป็นตัวแปรสำคัญที่มี
ด้านบุคลิกภาพอื่นๆ เช่น ความถนัดตา อิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการจัดการเรียน
ธรรมชาติ ความสนใจ ทัศนคติ แรงจูงใจ การสอน ถ้าครูตระหนักถึงความแตกต่าง
ความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ วิธี ระหว่างผู้เรียนอย่างจริงจัง ก็สามารถจัดการ
คิดและแบบของการเรียนรู้ ฯลฯ ซึ่ง เรียนการสอนเพื่อตอบสนองผู้เรียน และ
ลักษณะดังกล่าวมีผลต่อการเรียนทั้งสิ้น พัฒนาศักยภาพผู้เรียนอย่างเต็มที่
โดนเฉพาะอย่างยิ่งแบบการเรียนรู้ซึ่งจะ การจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับผู้เรียน
แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่น คนบาง ในแต่ละวัย ควรคำนึงถึงความแตกต่าง
คนเรียนรู้ได้ดีด้วยการใช้สายตาหรือการ ระหว่างบุคคล ในเรื่องของความคิด การ
สังเกต (Visual) บางคนเรียนรู้ได้ดีด้วยการ เรียนรู้ ความสามารถ แรงจูงใจ สมรรถภาพ
ฟัง (Auditory) บางคนเรียนรู้ไดดีด้วยการ ทางกายหลายๆเรื่องประกอบกัน ซึ่งความ
พูด (Talking) และบางคนเรียนรู้ได้ดีโดย แตกต่างนี้ถ้าเรามองในเรื่องของช่วงวัย เช่น
การใช้มือหรือการสัมผัส (Touching) วัยเด็ก วัยรุ่น ก็จะมีความแตกต่างระหว่าง
นอกจากนี้ผู้เรียนบางคนเรียนรู้ได้ดีถ้ามี วัยเกิดขึ้น เราอาจจะใช้ในเรื่องของทฤษฏี
การกำหนดเวลาที่แน่นอน แต่บางคนจะ ทางพัฒนาการเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมองใน
ทำได้ไม่ดี บางคนต้องการให้คอยดูหรือ เรื่องของพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์
จ้ำจี้จ้ำไช แต่บางคนชอบอิสระ เป็นต้น สังคมและสติปัญญา 4 อย่างนี้มาประกอบ
กัน

พัฒนาการทางกาย พัฒนาการทางด้านสังคม
เราต้องมีการสังเกต ในฐานะผู้สอนว่าผู้เรียน เด็กในวัยนี้จะมีความอยากรู้อยากเห็น การ
ในแต่ละวัยนี้มีพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยเป็น ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าเผชิญโลก
อย่างไร เช่นผู้เรียนระดับในระดับประถม การ กว้าง โดยผู้สอนควรเป็นผู้สังเกตหรืออยู่
เคลื่อนไหวของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญจะไม่หยุด ในความดูแลของผู้สอนเพื่อไม่ให้เกิด
นิ่ง อยู่กับที่ เพราะฉะนั้นในการจัดการเรียน อันตรายกับตัวเด็กนั่นเอง สิ่งสำคัญผู้เรียน
การสอนคงจะต้องมีการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ จะสามารถเรียนรู้ในการปรับตัวสร้าง
แสดงออก มีการเคลื่อนไหว ออกมาหน้าชั้น มนุษย์สัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น แม้ว่าจะเป็น
เรียนพูดสื่อสารหรือได้ทำกิจกรรมร่วมกับ เพื่อนต่างเพศหรือเพื่อนเพศเดียวกันก็ตาม
เพื่อนๆ
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ พัฒนาการทางสติปัญญา
จะมีภาวะที่เปลี่ยนแปลงต่อสภาพแวดล้อมได้ ผู้เรียนในวัยระดับประถมศึกษา เรื่องของ
ง่าย เช่น มีความวิตกกังวล มีความคิด กังวล ความคิดในเชิงนามธรรมหรือการคิด
ใจในเรื่องต่างๆ เช่น เค้าจะปฏิบัติตัวต่อเพื่อน วิเคราะห์ในเชิงลึกอาจจะยังไม่สมบูรณ์
อย่างไร สิ่งสำคัญในฐานะผู้สอน จะต้องเสริม มากนัก ผู้สอนอาจจะต้องกระตุ้นให้คิดใน
สร้างให้ผู้เรียนมีความกล้าแสดงออก มีความ ระดับแรกเริ่ม เช่น มีสื่อประกอบให้เห็น
มั่นใจ สามารถทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆได้ เป็นรูปธรรมมากขึ้นเพื่อเชื่อมโยงระบบ
เป็นอย่างดี ความคิดของผู้เรียนได้อย่างชัดเจน เพื่อ
พัฒนาช่วงวัยต่อไป

ผู้เรียนวัยรุ่นในเรื่องของความคิดเชิง ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือแม้แต่ระบายความใน
นามธรรมก็จะพัฒนาการเกิดขึ้นแบบต่อ ใจก็จะเป็นกับกลุ่มเพื่อนด้วยกันเอง อารมณ์
เนื่อง ผู้สอนควรพิจารณาว่าผู้เรียนแต่ละ ของผู้เรียนในช่วงวัยรุ่นจะมีความ
คนจะมีความแตกต่างกันในด้านใด บาง เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย เป็นวัยที่มีอารมณ์
คนเรียนรู้ได้เร็ว บางคนอาจจะเรียนรู้ได้ช้า แปรปรวนง่าย เนื่องจากจะต้องเผชิญกับ
การจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน ก็ สภาวะการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งกับ
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กๆมีความ ภายในตัวและภายนอกตัว ครู พ่อแม่ เป็น
มั่นใจ พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น บุคคลที่จะส่งเสริมหรือเป็นคนสำคัญที่คอย
ในช่วงวัยได้อย่างเข้มแข็ง ความคิดใน อยู่เบื้องหลัง และก็สนับสนุนให้ตัวเด็ก และ
ลักษณะเป็นการคิดวิเคราะห์ การคิดเชื่อม วัยรุ่นที่เราเรียกโดยรวมว่าผู้เรียน สามารถ
โยง สามารถที่จะจัดการรับมือกับปัญหา เผชิญกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้
ต่างๆได้อย่างมีเหตุมีผล พร้อมทั้งส่งเสริม
ในเรื่องของการคิด สติปัญญาเหล่านี้ที่ให้ การศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคล นำ
เขาได้ร่วมสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ ไปสู่การศึกษาหลักวิธีการสอน กระบวนการ
สามารถที่จะแสดงออกหรือว่าวางแผนสิ่ง สอน และทำความเข้าใจธรรมชาติของผู้
ต่างๆได้ด้วยตัวเอง เพื่อนจะเป็นบุคคลที่มี เรียนเพื่อให้เป็นประโยชน์ในการจัดการ
อิทธิพลสูงกับวัยรุ่น เช่น เวลาเผชิญปัญหา เรียนการสอนต่อไป
ต่างๆบุคคลแรกที่จะนึกถึงก็คือเพื่อนที่
อยากจะพูดคุย ปรึกษา

1.ช่วยให้รู้จักลักษณะนิสัย (Characteristics) 6.ช่วยในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน
ของนักเรียนที่ต้องสอนโดยทราบหลัก เพื่อทำให้การสอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้
พัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ นักเรียนทุกคนเรียนรู้ตามศักยภาพของแต่ละ
สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม บุคคล โดยคำนึงหัวข้อต่อไปนี้
2.ช่วยให้มีความเข้าใจพัฒนาการทาง 6.1 ช่วยเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคำนึง
บุคลิกภาพบางประการของนักเรียน เช่น อัต ถึงลักษณะนิสัยและความแตกต่างระหว่างบุคคล
มโนทัศน์ (Self concept) ว่าจะเกิดขึ้นได้ ของนักเรียนที่จะต้องสอน และสามารถที่จะเขียน
อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่ วัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งที่ครูคาดหวัง
จะช่วยนักเรียนให้มี อัตมโนทัศน์ ที่ดีและถูก ให้นักเรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุประสงค์
ต้องได้อย่างไร ของบทเรียนคือสิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนทราบว่า
3. ช่วยให้มีความเข้าใจในความแตกต่าง เมื่อจบบทเรียนแล้วนักเรียนจะสามารถทำอะไรได้
ระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็นราย บ้าง
บุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล 6.2 ช่วยในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่
4.ช่วยให้รู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียน เหมาะสม โดยคำนึงถึงลักษณะนิสัยของนักเรียน
ให้เหมาะสมแก่วัย และขั้นพัฒนาการของ และวิชาที่สอนและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
นักเรียน เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจ 6.3 ช่วยในการประเมินผล ไม่เพียงแต่เฉพาะเวลา
และอยากจะเรียนรู้ ครูได้สอนจนจบบทเรียนเท่านั้นแต่ใช้ประเมิน
5.ช่วยให้ทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อ ความพร้อมของนักเรียนก่อนเรียน ระหว่างเรียน
การเรียนรู้ของนักเรียน เช่น แรงจูงใจ และ และหลังจากเรียนแล้ว เพื่อจะทราบว่านักเรียนมี
การตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน ความก้าวหน้าหรือมีปัญหาในการเรียนรู้อะไรบ้าง

7.ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการ ครูและนักเรียนมีความรักและไว้วางใจซึ่งกัน
เรียนรู้ที่นักจิตวิทยา ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี และกัน นักเรียนต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เช่น การเรียนรู้จากการสังเกตหรือการเลียน ทำให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุข
แบบ (Observational learning หรือ และนักเรียนรักโรงเรียน อยากมาโรงเรียน
Modeling) จากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น ช่วยให้ผู้สอน
8.ช่วยให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มี สามารถนำไปใช้ในการออกแบบหรือวางแผน
ประสิทธิภาพ รวมทั้งพฤติกรรมของครูที่มีการ การสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ
สอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามีอะไรบ้าง เช่น สิ่งนี้ย่อมส่งผลต่อรูปแบบและวิธีการเรียนการ
การใช้คำถาม การให้แรงเสริม และการทำตน สอนที่เหมาะสม ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้
เป็นต้นแบบ เรียน
9.ช่วยให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดี 1.การจัดหลักสูตรการเรียน (Curriculum)
ไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่าง เพื่อให้ผู้สอนเข้าใจว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีความ
เดียว แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น แรงจูงใจ แตกต่างกันทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและ
(Motivation) ทัศนคติ ความเข้าใจของ สติปัญญา ผู้สอนควรมีการประเมินความ
นักเรียนและความคาดหวังของครูที่มีต่อตัว ต้องการ ความสนใจ ทักษะและความสามารถ
นักเรียน ของผู้เรียน จึงตัดสินใจว่าจะจัดการเรียนการ
10.ช่วยให้การดูแลในชั้นเรียนและการสร้าง สอนโดยใช้กิจกรรมอะไรกับผู้เรียนและผู้สอน
บรรยากาศของห้องเรียนเอื้อต่อการเรียนรู้ ต้องคำนึงถึงเรื่องของสภาพแวดล้อม ท้องถิ่น
และเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน ที่อาศัย วิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณี เป็น
ควรนำมาพิจารณาประกอบการจัดการเรียน
การสอนด้วย

2.วิธีการสอน (Method of Teaching) 5.การจัดกิจกรรมพิเศษ(Extra Activities)
เพื่อให้เหมาะกับหลักสูตรการสอนที่จัด ผู้สอน ผู้สอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้
ควรพิจารณาวิธีการสอนที่เหมาะสมกับหัวข้อ ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ เช่นการเข้า
เรื่องที่สอนและเหมาะสมกับผู้เรียน เช่นวิธีการ ร่วมกิจกรรมนอกชั้นเรียน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน
สอนโดยใช้การบรรยาย การสาธิต การทดลอง รู้จักการทำงานร่วมกัน รู้จักการวางแผน การ
การแสดงบทบาทสมมติ การใช้สถานการณ์ คิดอย่างมีเหตุผล สามารถแสดงความคิดเห็น
จำลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย ซึ่งในการเลือก และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักเป็นผู้นำ
วิธีการสอน ควรคำนึงถึง ควาแตกต่างระหว่าง และผู้ตาม เป็นต้น การส่งเสริมการเรียนรู้เป็น
บุคคลของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นที่มีความ รายบุคคลหรือรายกลุ่ม ผู้สอนควรพิจารณาถึง
แตกต่างกันด้วย ความถนัดและความสามารถของผู้เรียนเป็นราย
3.อุปกรณ์และสิ่งช่วยสอน (Teaching Aids) บุคคล ความสามารถพิเศษในด้านอื่นๆ เช่น
ควรมีอุปกรณ์ช่วยสอนอย่างเพียงพอและเปิด ความถนัดทางด้านดนตรี กีฬา ศิลปะ เป็นต้น
โอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกใช้อย่างเต็มที่ อุปกรณ์ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสามารถของผู้เรียน
การสอนต้องเหมาะกับวัยของผู้เรียน ในด้านนั้นๆอย่างเต็มตามศักยภาพ
4.การวัดผล (Evaluation) บทบาทของครูผู้สอนควรได้ช่วยส่งเสริม
การวัดผลควรใช้วิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้ สนับสนุนผู้เรียนในด้านความสนใจ แรงจูงใจ
ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงและให้ ในการเรียน และความสามารถของผู้เรียนแต่ละ
ความเป็นธรรมกับผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอน คนตามศักยภาพที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
เข้าใจสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน จึง เพื่อเป็นประโยชน์ในแนวทางการพัฒนาผู้เรียน
สามารถหารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ ต่อไป
เหมาะสมกับผู้เรียนได้

อ้างอิง ออนไลน์
ภาษาไทย https://www.journals.elsevier.com
กันยารัตน์ สอาดเย็น, 2558 ความแตกต่างระหว่าง /learning-and-individual-differences
บุคคล, ระบบออนไลน์ สำนักงานคณะกรรมการ
การอุดมศึกษา https://link.springer.com/referenceworkentry
สุรางค์ โค้วตระกูล, 2544 จิตวิทยาการศึกษา /10.1007%2F978-1-4419-1428-6_370
สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย,กรุงเทพมหานคร

ภาษาอังกฤษ
Buss,D.M.,& Greiling,H.(1999). Adaptive
individual differences. Journal of
Personality, 67, 209–243

Journal of Psychology and Education 2020
“Learning and Individual Differences” See
also Elsevier Educational Research
Programme home Editor: P. Cirino ISSN:
1041-6080

Kuzgun, Y., & Deryakulu, D. (Eds.). (2004).
Egitimde bireysel farkliliklar [Individual
differences in education]. Ankara: Nobel.