โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาหาร

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาหาร

หลอดเลือดหัวใจตีบ ดูแลตัวเองดี ต่อชีวิตได้อีกไกล

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุของคนไข้ให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • เจ็บแน่นหน้าอก
  • เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
  • หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและเรื้อรัง
  • ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
  • หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น

ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

1. ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

  • อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
  • เพศชายเป็นได้มากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
  • ประวัติครอบครัว

2. ปัจจัยที่ควบคุมได้

  • สูบบุหรี่
  • ไขมันในเลือดสูง
  • ความดันโลหิตสูง
  • ไม่ออกกำลังกาย
  • น้ำหนักมากหรืออ้วน
  • โรคเบาหวาน
  • กินอาหารไม่มีประโยชน์
  • ความเครียด

ผลกระทบหลอดเลือดหัวใจตีบ

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หรือรู้ตัวช้า ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามเวลา เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง ไขมันจะเริ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้หลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด เกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 คนไข้จะเริ่มมีอาการแสดง

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ

หากคนไข้พบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอก  หรืออาการอื่นที่กล่าวมาข้างต้น คนไข้จะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที และเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากสูงขึ้นแสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ร่วมกับซักประวัติคนไข้ สอบถามระยะเวลาที่เจ็บแน่นหน้าอก หากมากกว่า 20 นาที อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • หากหลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน รักษาด้วยยา
  • หากหลอดเลือดตันมาก รักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ
  • หากไม่สามารถทำบอลลูนหัวใจได้ รักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ

การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง (ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดน้ำหนักตัว)
  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  • กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
  • กินอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอก
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
  • ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
  • ไม่สูบบุหรี่

การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
  • กินอาหารที่มีไขมันน้อย
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

ข้อมูลโดย
ผศ. ดร.อภิญญา ศิริพิทยาคุณกิจ
อาจารย์พยาบาล โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล


คลิกชมคลิปรายการ “การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีวิธีการอย่างไร : Rama Square ช่วง นัดกับ Nurse” ได้ที่นี่

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด

                โรคหลอดเลือดหัวใจ หมายถึง โรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารีที่ตีบแคบอุดตันทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบแคบลง จากไขมันคอเลสเตอรอลจับบริเวณเซลล์กล้ามเนื้อเรียบในหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตัน จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก

                ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

      1. ความดันโลหิตสูง
      2. โรคเบาหวาน
      3. โรคอ้วน
      4. สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
      5. กรรมพันธุ์
      6. ความเครียด
      7. ภาวะหมดประจำเดือน
      8. ไม่ค่อยออกกำลังกาย
      9. ผู้ชายอายุ > 45 ปี ผู้หญิงอายุ > 55 ปี

                อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด

      1. จำกัดไขมันและอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง

การควบคุมอาหารประเภทไขมันจะช่วยลดและชะลอการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจได้

1.1 รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวลดลง กรดไขมันอิ่มตัวพบมากในไขมันสัตว์ และไขมันจากพืชบางชนิด เช่น ปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ และพบได้ในนม เนยชนิดต่างๆ และผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีไขมันสูง เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ แฮม กุนเชียง

1.2 รับประทานกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้เพียงพอ ควรจะรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด

1.3 รับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงลดลง อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงมักพบในไขมันสัตว์ ขาหมู ข้าวมันไก่ หนังสัตว์ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารแปรรูป ไข่แดง อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม ยกเว้นปลาทะเล เนื่องจากไขมันต่ำ อาหาร Fast food เช่น พิซซ่า เบอร์เกอร์ รวมถึงเบเกอรี่ต่างๆ เช่น คุ้กกี้ เค้ก

      1. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด หวานจัด โดยการเลี่ยงหรืองดอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ผงชูรส ซอสปรุงรส อาหารรสจัด หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดองเค็ม เช่น เนื้อเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ ปลาเค็ม ผักดองเค็ม ผลไม้ดอง
      2. รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงเป็นประจำ อาหารที่มีกากหรือใยอาหารสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากช่วยลดการดูดซึมไขมัน ป้องกันท้องผูก ช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และการเกิดโรคหัวใจ ข้าวที่มีใยอาหารมาก ได้แก่  ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว
      3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทชา-กาแฟ น้ำอัดลม เนื่องจากมีสารคาเฟอีน ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น
      4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์