เมืองใดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น ครั้งที่

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงการเสด็จประพาสต้นของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2447 (ร.ศ. 123) ซึ่งเป็นการเสด็จประพาสต้นครั้งแรก และครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2449 (ร.ศ.125) ความบางตอนว่า

“พระพุทธเจ้าหลวงไม่ใคร่จะทรงสบาย...แพทย์หลวงเห็นว่า จะต้องเสด็จประพาสไปให้พ้นความรำคาญโดยไม่ต้องกังวลเรื่องธุระใดๆ สักคราวหนึ่ง...การเสด็จเช่นนั้น ห้ามไม่ให้จัดการรับเสด็จเป็นทางราชการใดๆ เพราะประสงค์จะไปเงียบๆ ได้ทรงออกเดินทางจากบางปะอินเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ร.ศ. 123... จากนั้นในระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ร.ศ. 125 เสด็จขึ้นไปประพาสเมืองสระบุรี แล้วขึ้นทางลำแม่น้ำใหญ่จนถึงเมืองกำแพงเพชร”

เมืองใดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น ครั้งที่

"คนงามเมืองกำแพงเพชร" ถ่ายเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ร.ศ. 125 เข้าใจว่าเป็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในรัชกาลที่ 5

วารสารเมืองโบราณได้อัญเชิญภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้านายที่ตามเสด็จ เมื่อคราวเสด็จประพาสต้นยังเมืองกำแพงเพชรมาให้รับชมในบทความเรื่องเสด็จประพาสต้นที่กำแพงเพชร  โดยได้รับความอนุเคราะห์อัดจากต้นฉบับฟิล์มกระจกให้นำมาเผยแพร่ได้จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ติดตามอ่านบทความนี้ได้ในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (ธันวาคม 2523-มีนาคม 2524) หน้า 19-26 คลิก https://issuu.com/muangboranjournal/docs/0701-2524/20

เมืองใดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น ครั้งที่

บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด กรุณาช่วยปรับปรุงบทความนี้ โดยเพิ่มการอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ เนื้อความที่ไม่มีแหล่งที่มาอาจถูกคัดค้านหรือลบออก (เรียนรู้ว่าจะนำสารแม่แบบนี้ออกได้อย่างไรและเมื่อไร)

การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการเสด็จพระราชดำเนินไปยังต่างประเทศในทวีปยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสานสัมพันธไมตรีแก่ประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป เพื่อให้ประเทศที่พระองค์เสด็จประพาสเหล่านั้นมองเห็นว่าประเทศสยามเป็นประเทศที่มีการพัฒนาตนเองและไม่ได้ล้าหลังป่าเถื่อน และเพื่อโอกาสในการร่วมกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงและส่งเสริมความเป็นเอกราชของประเทศสยาม แม้จะอยู่ในช่วงท่ามกลางยุคล่าอาณานิคมก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะมีมูลเหตุมาจากกรณีพิพาทระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือในปี พ.ศ. 2437 ที่ทำให้สยามเสียดินแดนมากที่สุดเท่าที่มีการเสียดินแดนให้แก่ชาติตะวันตก ผลจากการเสด็จพระราชดำเนินดังกล่าวนั้นทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่มาจากทวีปเอเชียที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรปอย่างจริงจังโดยทรงรู้จักแฝงแนวความคิดจิตวิทยาและการปฏิบัติตามธรรมเนียมยุโรปอีกด้วย[ต้องการอ้างอิง]

สำหรับประเทศที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินจากทั้งสองครั้ง มีดังต่อไปนี้

  • ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
  • ราชอาณาจักรนอร์เวย์ (เฉพาะครั้งที่สอง)
  • ราชอาณาจักรเนเธอแลนด์ (เฉพาะครั้งที่หนึ่ง)
  • สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์
  • ราชอาณาจักรเบลเยียม
  • ราชอาณาจักรโปรตุเกส (เฉพาะครั้งที่หนึ่ง)
  • สาธารณรัฐฝรั่งเศส
  • ราชรัฐโมนาโก
  • จักรวรรดิเยอรมนี
  • จักรวรรดิรัสเซีย
  • ราชอาณาจักรสเปน (เฉพาะครั้งที่หนึ่ง)
  • สมาพันธรัฐสวิส
  • สหราชอาณาจักรสวีเดนและนอร์เวย์ (เฉพาะครั้งที่หนึ่ง)
  • จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (เฉพาะครั้งที่หนึ่ง)
  • ราชอาณาจักรอิตาลี

สำหรับรายละเอียดแต่ละครั้ง มีดังต่อไปนี้

ครั้งที่หนึ่ง[แก้]

การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมืองใดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น ครั้งที่

พระบรมฉายาลักษณ์จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี 2440

วันที่7 เมษายน – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2440 (253 วัน)

การเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 การเสด็จประพาสแบบส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เพื่อเป็นการแสดงให้บรรดาประเทศมหาอำนาจในยุโรปเห็นว่าสยามมิได้ล้าหลังและป่าเถื่อน โดยทรงบรรยายความในพระทัยลงในพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ที่มีถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ (ที่พระองค์ตรัสเรียกอย่างลำลองว่า ‘แม่เล็ก’) ครั้งเสด็จฯ เยือนฝรั่งเศสว่า

ถึงแม่เล็ก,

ด้วยตั้งแต่ฉันออกมาครั้งนี้ ยังไม่เคยได้ความคับแค้นเดือดร้อนเหมือนอย่างครั้งนี้เลย การที่แม่เล็กรู้สึกหนักในเรื่องที่ฉันจะมาเมืองฝรั่งเศสประการใด ขอให้เข้าใจว่าฉันหนักกว่าสิบเท่าอยู่แล้ว เพราะเป็นผู้ที่มาเอง

เนื่องจากสยามต้องเจ็บช้ำน้ำใจจากกรณีพิพาทครั้งสำคัญกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์วิกฤติการณ์ปากน้ำหรือวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112[1]

พระองค์พร้อมคณะได้เสด็จพระราชดำเนินประทับเรือพระที่นั่งมหาจักรีออกจากท่าราชวรดิษฐ์เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2440 และในการนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรคราชเทวีเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ โดยสมเด็จพระนางเจ้าได้ถูกเรียกขานพระนามในยุคนั้นว่า สมเด็จรีเจนท์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งสำคัญในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งนี้คือการได้เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมกับฉายพระรูปเพื่อส่งไปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในยุโรป เพื่อเป็นการตอบแทนที่พระเจ้าซาร์เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นมกุฎราชกุมารได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนสยามเมื่อ พ.ศ. 2433 โดยมีบรรดาพระราชโอรสที่เจริญพระชนมายุแล้วรวมถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารร่วมเดินทางไปด้วย

พระองค์พร้อมคณะได้เสด็จนิวัติพระนครพร้อมกับพระราชทานพระราชดำรัสแก่ปวงชนชาวสยามเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2440 รวมเวลาที่เสด็จประพาสทั้งสิ้น 253 วันหลังจากนั้นพระองค์ได้สถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรคราชเทวีขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกของสยาม

ครั้งที่สอง[แก้]

เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เป็นการเสด็จประพาสแบบส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2450 เพื่อรักษาพระวรกายแบบสปาบำบัดตามคำแนะนำของแพทย์ส่วนพระองค์ชาวต่างชาติที่เมืองบาเดิน-บาเดินและบาทฮ็อมบวร์ค ประเทศเยอรมนี

นอกจากนี้พระองค์ยังได้เสด็จประพาสยุโรปเพื่อทรงลงพระนามเป็นสัตยาบันในสนธิสัญญาฉบับ พ.ศ. 2450 กับฝรั่งเศสที่กรุงปารีสเมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2450 เพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนจันทบุรีและตราดกับพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ เพราะดินแดนที่ต้องเสียให้แก่ฝรั่งเศสไปนั้นเป็นดินแดนที่พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ กษัตริย์กัมพูชาซึ่งทรงอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสมีพระประสงค์ให้มาขึ้นอยู่กับพระองค์ เนื่องจากเมืองดังกล่าวมีชาวเขมรอาศัยเป็นจำนวนมาก และเพื่อทรงติดต่อโรงหล่อซุสแฟร์เพื่อหล่อพระบรมรูปทรงม้า ต่อจากนั้นได้เสด็จประพาสอังกฤษในการเจรจาเรื่องการกู้เงินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟจากประจวบคีรีขันธ์ไปยังหัวเมืองมลายู หลังจากนั้นได้เสด็จประพาสเพื่อเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของชาวยุโรปและเพื่อทอดพระเนตรสถานที่สำคัญและศิลปวัฒนธรรม

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระนครพร้อมด้วยผู้ตามเสด็จเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2450 ที่ท่าราชวรดิฐและเสด็จประพาสประเทศในยุโรปถึง 10 ประเทศ ใช้เวลานานถึง 7 เดือน รวมทั้งสิ้น 225 วัน ก่อนจะเสด็จนิวัติพระนครเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450

ซึ่งตลอด 225 วันพระองค์ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระราชธิดาซึ่งทรงทำหน้าที่เป็นราชเลขานุการิณีจำนวนทั้งสิ้น 43 ฉบับซึ่งต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระราชหัตถเลขาทั้งหมดไปตีพิมพ์โดยโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ชื่อว่า ไกลบ้าน

อ้างอิง[แก้]

  1. "ตามรอยพระบาทรัชกาลที่ 5 เสด็จฯ เยือนหอไอเฟลเมื่อ 120 ปีก่อน". The Cloud. 16 กรกฎาคม 2561. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2561. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)

เมืองใดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น ครั้งที่
บทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล
ดูเพิ่มที่ สถานีย่อย:ประวัติศาสตร์