การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2453) Show
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีพระราชปรารภว่า เงินภาษีอากรอันเป็นผลประโยชน์ของแผ่นดิน จัดเก็บกันไม่เป็นระเบียบกระจัดกระจายรั่วไหลไปมากมาย ในปี พ.ศ. 2416 จึงได้ตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช 1235 และได้โปรดเกล้าตั้งสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อเป็นสำนักงานกลางสำหรับเก็บเงินผลประโยชน์รายได้ภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้ในที่แห่งเดียว มิให้แยกย้ายกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อน ให้หน่วยงานราชการทุกแห่ง นำส่งเงินผลประโยชน์เข้าสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์เป็นรายได้แผ่นดิน ให้มีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีผลประโยชน์แผ่นดิน และตรวจตราการเก็บภาษี อากรของหน่วยงานต่างๆให้เป็นไปอย่างรัดกุม ไม่รั่วไหลดังแต่ก่อน ซึ่งนับเป็นต้นกำเนิดของกระทรวงการคลังในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2418ได้โปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237 ตั้งกรมพระคลังมหาสมบัติ แยกงานการคลังออกจากงานการต่างประเทศ ซึ่งเวลานั้นรวมกันอยู่เป็นราชการในกรมท่า และต่อมาในปี พ.ศ. 2433 ได้ยกฐานะกรมพระคลังมหาสมบัติ เป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตามพระธรรมนูญ หน้าที่ราชการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติรัตนโกสินทร์ศก 109 ในด้านการจัดเก็บภาษี ได้โปรดให้เปลี่ยนแปลงวิธีการเก็บภาษีอากรเสียใหม่ จากระบบเจ้าภาษีนายอากร มาเป็นทางราชการเป็นผู้เก็บเอง โดยในช่วงแรกได้ทดลองให้เทศาภิบาลบางแห่งจัดเก็บภาษีอากรเอง ปรากฏว่าได้ผลดี สามารถจัดเก็บภาษีอากร ได้เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จึงโปรดให้เลิกวิธีการเรียกประมูลรับเหมาผูกขาดเก็บภาษีอากรจากราษฎรโดยสิ้นเชิง และให้เทศาภิบาลเก็บเองเหมือนกันหมดทุกมณฑล ในด้านรายจ่าย พระองค์ได้ทรงวางพิกัดอัตราเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตามตำแหน่งเป็นที่แน่นอนแทนเงินเบี้ยหวัดที่จ่ายแต่เดิม และยังพระราชทานเบี้ยบำนาญแก่ข้าราชการ เพื่อเป็นเครื่องเลี้ยง เมื่อรับราชการไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2439 พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรกอันเป็นแบบฉบับที่จะต้องทำงบประมาณแผ่นดินขึ้น นอกจากการปฏิรูปตามที่กล่าวมาข้างต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกเลิกภาษีชนิดที่เป็นโทษแก่ราษฎร และภาษีอากรบางประเภทที่ทำรายได้ให้กับรัฐบาลไม่มากนัก และเป็นภาระแก่คนยากจน เช่น ภาษีอากรภายใน อากรบ่อนเบี้ย เป็นต้น (อากรบ่อนเบี้ย ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเลิกอากรบ่อนเบี้ย จ.ศ. 1249 (พ.ศ. 2430) โดยลดจำนวนบ่อนเบี้ยลงทุกปี และ ในที่สุดก็เลิกได้หมดทั่งราชอาณาจักร เมื่อปี พ.ศ. 2460 ในสมัยรัชกาลที่ 6) สำหรับบทบัญญัติของภาษีอากรที่ได้มีการตราขึ้นในรัชสมัยนี้ เป็นเพียงการแก้ไขปรับปรุงภาษีอากรที่มีอยู่เท่าเดิมนั้น มิได้มีการเพิ่มประเภทภาษีขึ้นใหม่แต่อย่างใด ที่มา :: หนังสือที่ระลึกในการเปิดอาคารกรมสรรพากร 2 กันยายน 2540 ��û���ٻ����֡����Ѫ���¾�кҷ���稾�Ш�Ũ���������������Ǡ �.�.2411-2453 �����������������û���ٻ����֡����Ѫ��ŷ�� 5 �Ѻ������繡�û���ٻ����Ӥѭ�ա��С��˹�� �����ʴ���������� �Ѫ��ŷ�� 5 �ç�����繤����Ӥѭ�ͧ����֡�� ��觨�����ǹ㹡�û�Ѻ��ا��������ѹ���µ��Ẻ���ѹ���������ҧ�� �����繡�û���ٻ����֡������ʹ���ͧ�Ѻ�к�����֡�Ңͧ���ѹ�� ����դ�����ԭ���������ҡ���� 1.�������Ңͧ����֡�����ʹյ 2.���˵ط��������Դ��û���ٻ����֡��������Ѫ��ŷ�� 5 3.�ش�������㹡�û���ٻ����֡�� 4.��ô��Թ�ҹ����ٻ����֡�� 5.���ҷ�ͧ���ʧ��㹡�èѴ����֡�ҵ����º�¡�û���ٻ����֡�� 6.�Ţͧ��û���ٻ����֡�� Ref : http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/Pa-tirup-Education.htm 05/06/2008 ใครเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปกฎหมายและศาลไทยในสมัยรัชกาลที่5 จนได้รับการยกย่องเป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย"1.จัดตั้งโรงเรียนสอนกฎหมาย(ภายหลังได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรี ดิเรกฤทธิ์หรือพระนาม เดิมคือ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นผู้ทรงจัดตั้งภายหลังได้รับการยกย่องว่า เป็น พระบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย 2.ตั้งคณะกรรมการตรวจช าระและร่างกฎหมายลักษณะอาญา ประกาศใช้ใน พ.ศ.2451 จัดเป็น ...
ใครเป็นบุคคลสำคัญที่ปฏิรูปกฎหมายและการศาลของไทยให้ทันสมัย *เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการปรับปรุงประเทศเข้าสู่สมัยใหม่ โดยจำเป็นต้องปฏิรูปทั้งโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน ปฏิรูปการศาลและระบบกฎหมาย บุคคลผู้หนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงบ้านเมือง ได้แก่ มองสิเออร์ คุสตาฟ โรลัง ยัคมินส์ หรือเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ
การปฏิรูปกฎหมายและการศาลเกิดขึ้นในรัชกาลใดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินจึงทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้อง ปรับปรุงระบบกฎหมายไทยให้มีความเหมาะสมและทันสมัยมากขึ้น อันจะนำไปสู่การขอยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ในที่สุด
ชนชาติใดที่เข้ามายึดครองประเทศราชของไทยในสมัยรัชกาลที่ 4พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4. ดังนั้น เมื่อฝรั่งเศสได้ญวนเป็นเมืองขึ้นแล้ว ดินแดนต่อไปที่จะนำไปสู่แคว้นยูนนานทางตอนใต้ของจีนก็คือเขมร ซึ่งช่วงเวลานั้นเขมรยังอยู่ในฐานะประเทศราชของสยาม แต่ปัญหาคือเขมรแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายเหนือขึ้นอยู่กับสยาม แต่ฝ่ายใต้กลับฝักใฝ่ฝ่ายญวน
|