���¸����ͧ����繾����ͧ�� Show �����ͧ�� ���� 1) �������ѡ�ѡ�յ�ͪҵ� ��ʹ� �����ҡ�ѵ���� ���¶֧ ��õ��˹ѡ㹤����Ӥѭ�ͧ�����繪ҵ��� ����ִ������ѡ��Ÿ����ͧ��ʹ� ��С�è��ѡ�ѡ�յ�;����ҡ�ѵ���� 2) ����������º�Թ�� ���¶֧ ����ִ���㹡�����������ѹ���ִ����º�Թ�� ���ͤ���������º���º������ѧ�� 3) �������ҷҧ���¸��� ���¶֧ ���������ҭ㹷ҧ���١����� 4) �����Ѻ�Դ�ͺ ���¶֧ ���������¼Ż���ª����ǹ�����ͼ����� �����ѧ����������Ѻ����ª���ҡ��á�зӢͧ�� 5) ���������� ���¶֧ ���������¼Ż���ª����ǹ�����ͼ����� �����ѧ����������Ѻ����ª��ҡ��á�зӢͧ�� 6) ��õç������� ���¶֧ ��÷ӧҹ�ç������ҷ�����Ѻ�ͺ���������������������蹻�ԺѵԵ��繾����ͧ�� ��÷��ؤ�Ż�ԺѵԵ��繾����ͧ����Զջ�ЪҸԻ������ ���ʹѺʹع����������ؤ����蹻�ԺѵԵ��繾����ͧ����Զջ�ЪҸԻ�´��� �����Ƿҧ��û�ԺѵԴѧ��� 1. ��û�ԺѵԵ�����繾����ͧ����Զջ�ЪҸԻ�� ���ִ���㹤س�������¸�����ͧ��ʹ������ѡ��âͧ��ЪҸԻ��������Զա�ô�ç���Ե��Ш��ѹ������Ẻ���ҧ�����褹�ͺ��ҧ 2. ����� ͺ�� ���������ؤ��㹤�ͺ���� �����ҹ ����ѧ�� �������ѡ��÷ҧ��ЪҸԻ������鹰ҹ㹡�ô�ç���Ե��Ш��ѹ 3. ʹѺʹع����������ͧ�������ǡѺ��û�ԺѵԵ����١��ͧ��������� �¡�ú͡���� ��¹�������������ҹ������Ū� 4. �ѡ�ǹ ����ʹѺʹع�����դ�������ö㹡������ǹ�����Ѻ�Ԩ�����ҧ������ͧ���͡Ԩ�����Ҹ�ó����ª��ͧ����� 5. �����繵����Ѻ�Ѱ����˹��§ҹ�ͧҹ�Ѱ㹡��ʹѺʹع���� ��СӨѴ���������¡Ѻ�ѧ�� ���ʹѺʹع�������蹻�ԺѵԵ��繾����ͧ����Զջ�ЪҸԻ�� ����繨Ե�ӹ֡���ؤ�ž֧��Ժѵ���������Դ��ЪҸԻ�����ҧ���ԧ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ความเป็นพลเมือง คือ สถานภาพของบุคคลที่จารีตประเพณีหรือกฎหมายของรัฐรับรองซึ่งให้แก่สิทธิและหน้าที่แห่งความเป็นพลเมืองแก่บุคคล (เรียก พลเมือง) ซึ่งอาจรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง การทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศ สิทธิกลับประเทศ สิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์ การคุ้มครองทางกฎหมายต่อรัฐบาลของประเทศ และการคุ้มครองผ่านกองทัพหรือการทูต พลเมืองยังมีหน้าที่บางอย่าง เช่น หน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ จ่ายภาษี หรือรับราชการทหาร บุคคลอาจมีความเป็นพลเมืองมาก และบุคคลที่ไม่มีความเป็นพลเมือง เรียก ผู้ไร้สัญชาติ (stateless) สัญชาติมักใช้เป็นคำพ้องกับความเป็นพลเมืองในภาษาอังกฤษ ที่สำคัญในกฎหมายระหว่างประเทศ แม้คำนี้บางครั้งเข้าใจว่าหมายถึงการเป็นสมาชิกชาติ (กลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่) ของบุคคล ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สัญชาติและความเป็นพลเมืองมีความหมายต่างกัน คำนิยามของคำว่า ความเป็นพลเมือง[แก้]คำว่า พลเมือง มาจากภาษาลาตินว่า (พลเมือง) ซึ่งเคยใช้ในยุคโบราณซึ่งเกี่ยวกับประชาธิปไตยในกรีกและโรมัน ต่อมายุคกลางไม่ได้นำมาใช้แต่คำว่าพลเมืองก็ได้มีการนำกลับมาใช้อีกครั้งในช่วงของการปฏิวัติในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศสในปลายศตวรรษที่ 18 การเป็นพลเมืองมีหลายมิติการที่จะเป็นพลเมืองนั้นต้องมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ มีเอกลักษณ์ที่มาจากความเป็นสมาชิกของชุมชนทางการเมือง
ประวัติศาสตร์ของความเป็นพลเมือง[แก้]ยุคสมัยโบราณกาล ความเป็นพลเมืองเป็นเอกสิทธื์ของชนชั้นสูงซึ่งมีอิสระทางด้านเศรษฐกิจความคิดและเวลาเพื่อปฏิบัติหน้าที่พลเมือง เช่น การสมัครรับการเลือกตั้ง การเป็นทหาร เป็นต้น ในสมัยนั้นประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิในความเป็นพลเมืองโดยเฉพาะสตรี ทาสหรือคนป่าเถื่อน ยุคสมัยกลาง เป็นุยคของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุโรป แนวคิดแบบพลเมืองก็ได้สูญหายไปเน้นความจงรักภีกดีต่อพระมหากษัตริย์ เท่านั้น พลเมืองไม่มีสิทธิเข้ามามีบทบาททางการเมือง ไม่มีสัญญาประชาคมระหว่างประชาชนกับรัฐ มีแต่ความจงรักภักดีระหว่างกษัตริย์และประชาชน ดังคำพูดที่ว่า “รัฐคือผมเอง”(พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส,1674) ตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา กระแสนิยมก่อให้เกิดแนวคิดที่ว่าประชาชนต้องนับถือรัฐมากกว่าตัวบุคคลที่ปกครองรัฐ จึงทำให้เกิดความเป็นพลเมืองที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ ดังนั้น ความจงรักภักดีต่ออุดมคติทางการเมืองจึงมาแทนความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 อุดมคติเสรีนิยมทำให้คำนิยามของความเป็นพลเมืองกลายเป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งเป็นอุดมคติของความเสมอภาคและเสรีภาพ พลเมืองทุกคนมีเหตุผลและมีทางเลือกที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชนชั้นหรือเพศแต่อย่างไรก็ตาม ในสมัยนี้ความเสมอภาคก็เป็นได้แค่ความเสมอภาคในประเด็นทางกฎหมายเท่านั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมืองและสิทธิทางสังคมได้พิสูนจน์ว่าความเสมอภาคด้านกฎหมาย ไม่ได้ทำให้เกิดความเสมอภาคอย่างแท้จริงดังนั้นรัฐมีหน้าที่คุ้มครองพลเมืองทางด้านสังคมด้วย ด้วยเหตุผลนี้รัฐสวัสดิการจึงเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อทัศนคติของประชาชน จะทำให้ประชาชนเห็นว่าไม่ต้องตอบแทนอะไรแก่รัฐ จากเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าประชาชนในยุโรปและอเมริกาไม่ค่อยไปเลือกตั้งหรือเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนเท่าที่ควร เพราะอาจคิดว่า การเมืองในระดับชาตินั้นไม่ได้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงในสมัยโลกาภิวัฒน์แล้ว ดั้งนั้น อนาคดของความเป็นพลเมืองอาจกลายเป็น"พลเมืองโลก" ซึ่งในยุโรปมีสภาวการณ์ของความเป็นพลเมืองของยุโรปแล้ว(European Citizenship)[1] แนวคิดเกี่ยวกับการเป็นพลเมือง[แก้]แนวคิดการสร้างความเป็นพลเมืองเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เป็นวิธีการที่องค์การสหประชาชาติให้ความสนใจมาก เพื่อที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันมีความมั่นคงและปลอดภัยสำหรับสังคมตะวันตกให้ความสำคัญกับความเป็นพลเมืองเป็นอย่างมาก และพลเมืองก็รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดได้อย่างชัดเจน พลเมือง (Citizen) หรือ ความเป็นพลเมือง (Citizenship) ในยุคสังคมกรีกและโรมันถือเป็นต้นแบบของประชาธิปไตย และมีพัฒนาความเป็นเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนเข้าใจสภาพการณ์ทางสังคมกว้างมากขึ้น ผลจากการติดต่อสื่อสารกันทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ดังนั้นศตวรรษที่ 21 มีผู้นำรัฐต่างๆหยิบเอา “ความเป็นพลเมือง” เป็นเครื่องมือพัฒนาการอยู่ร่วมกัน และส่งเสริมระบบการเมืองการปกครองก้าวไปสู่ความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิไตย และประเทศนั้นๆต้องปลูกฝังรากฐานความรู้ความเป็นพลเมือง ให้สืบทอดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน[2] ความหมายของคำว่า พลเมือง[แก้]คำว่า พลเมือง ไม่ใช่คำที่อยู่อย่างโดดๆ แต่เป็นคำที่คู่กับคำว่า ชุมชนการเมือง ที่กรีกเรียกว่า (Polis) และคนปัจจุบันเรียกว่ารัฐ (State) พลเมืองเป็นสมาชิกของชุมชนการเมืองหรือรัฐซึ่งหมายความว่าที่ใดก็ตามที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกัน มีการใช้อำนาจจัดการบริการกิจกรรมต่างๆ ภายในน้อยมากที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่สุงสิงกับใคร การเป็นคนจึงเท่ากับเป็นเรื่องการเมือง (To be human is to be political) พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คนเป็นสัตว์การเมือง (Man is a political animal) ความเป็นพลเมืองก็คือการเข้าร่วมส่วนในชุมชนการเมือง กล่วงอีกอย่างหนึ่งไม่มีพลเมืองก็ไม่มีชุมชนการเมืองหรือไม่มีรัฐ กล่าวโดยสรุป ในสมัยที่ระบอบประชาธิปไตยมีบทบาทและได้รับการยอมรับไปทั่ว คำว่า พลเมือง ก็ได้กลายเป็นคำที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น เช่น กันประชาชนที่อพยพมาจากรัฐของตนเข้าไปอยู่ในรัฐใหม่ ก็เรียกร้องขอสิทธิความเป็นพลเมืองของรัฐใหม่ทั้งนี้ก็เพื่อการได้รับสิทธิผลประโยชน์ต่างๆ ในฐานะที่เป็นพลเมือง ส่วนองค์กรที่สนันสนุนการเรียกร้องครั้งนี้โดยการย้ำถึงสิทธิมนุษยชนที่คนๆหนึ่งได้รับ และสิทธิมนุษยชนนั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ความเป็นพลเมืองในที่สุด[3] พื้นฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย[แก้]สิ่งหนึ่งที่จะทำให้สังคมไทยมีความสงบสุขได้ คือ คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีหลักประชาธิปไตยในการดำรงชิวิต ปฏิบัติตามกฎหมายและทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งการสร้างความเป็นพลเมืองไม่ใช่การทำให้ประชาชนรู้สึกถึงสิทธิและหน้าที่ของตัวเองมีแต่สิ่งที่จะต้องทำให้ประชาชนได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง สิ่งแรกคือ "พื้นฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย" มี 3 ประการ คือ
ดังนั้น หากประชาชนได้เข้าใจในหลักพื้นฐานความเป็นพลเมืองทั้ง 3 หลักการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้ก็จะทำให้สังคมไทยพัฒนาเป็นสังคมประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง[4] เพลโต้และอริสโตเติ้ลว่าด้วยการศึกษาและความเป็นพลเมือง[แก้]เพลโต้กับแนวคิดเรื่องพลเมือง ในงานเขียนของเพลโต้ชื่อ “กฎหมาย” (Laws) เพลโต้ได้กล่าวถึงความสำคัญของการศึกษาและได้นิยามพลเมืองไว้ด้วย เพลโต้ได้เสนอแนวคิด พลเมืองที่สมบูรณ์ (Perfect Citizen Concept) จากงานเขียนของเพลโต้ สามารถสรุปสาระสำคัญของเพลโต้ได้ ดังนี้
จากที่กล่าวมา จะต้องให้การศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาล - ประถม เป็นการปลูกฝังความดีงาม (Virtue) ให้แก่ประชาชน หมายความว่าปรารถนาที่จะเป็นพลเมืองที่ดีในสังคมนั้นเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งเป็นพลเมืองสมบูรณ์ที่รู้ทั้งวิธีการปกครองและวิธีการเป็นผู้ถูกปกครองนั้นย่อมแสดงว่าพลเมืองแต่ละคนจะพลัดเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศสลับกันไปมา ไม่มีใครอยู่ในอำนาจอย่างถาวรนี่คือความคิดแบบประชาธิปไตยของเพลโต้ อริสโตเติ้ลกับแนวคิดเรื่องพลเมือง ต่อจากเพลโต้ ก็คืออริสโตเติ้ล (Airstotle , 384-323 B.C.) นักคิดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักรัฐศาสตร์คนแรกของโลก อริสโตเติ้ลเป็นศิษย์ของเพลโต้ที่ผ่านมา ความเข้าใจของสังคมไทยที่มีต่อนักคิดผู้นี้เกี่ยวกับการเมืองมีเพียงประเด็นเดียว คือ “มนุษย์เป็นสัตว์การเมืองโดยธรรมชาติ คนที่อยู่ของรัฐหากไม่ใช่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ (หมายถึงเทวดา) ก็ต้องต่ำกว่ามนุษย์” (หมายถึงสัตว์) การพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์การเมือง อาจทำให้คนจำนวนหนึ่งเข้าใจมนุษย์หลีกไม่พ้นอิทธิพลของการเมืองไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นใด แต่หลีกไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีบทบาทมากไปกว่านั้นแต่ความจริงแล้วอริสโตเติ้ลเห็นมากกว่านั้นคือ มนุษย์จะไปถึงศักยภาพเต็มที่ชองชีวิตของเขาได้ (To reach the full potential of his life and personality) ก็ด้วยการเข้าไปแล้วมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโพลิส ( Polis - ชุมชนการเมืองหรือที่แปลกันทั่วไปว่า “ นครรัฐ ” ) หรือกิจกรรมสาธรณะเท่านั้น (Only by participation in the affairs of a polis) อริสโตเติ้ลเห็นว่าคนที่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านั้นก็ คือ พลเมือง (Citizens) พลเมือง คือ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความยอดเยี่ยมของพลเมืองดีก็คือ ความรู้ในการปกครองเหนือเสรีชนทั้งหลายและความรู้ที่ถูกพวกเสรีชนทั้งหลายปกครองเรา[5] ความเป็นพลเมืองในประเทศไทย (Citizenship)[แก้]ความเป็นพลเมือง ( Citizenship ) เป็นคำที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เพียงมีรัฐธรรมนูญที่ดีเท่านั้น แต่ประชาชนจะต้องเป็นพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยด้วย (วรากรณ์ สามโกเศศ , 2554) กล่าวคือ มีสมาชิกของสังคมที่ใช้สิทธิเสรีภาพโดยมีความรับผิดชอบ เคารพสิทธิผู้อื่น เคารพความแตกต่าง เคารพกติกา ในต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเยอรมนี จัดให้มีการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง (Civic Education) ขึ้นมา และประสบความสำเร็จในการวร้างพลเมือง จนเป็นตัวอย่างให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประเทศไทยจัดว่าพัฒนากระบวนการประชาธิปไตยมาร่วมกว่า 80 ปี แต่ยังคงมีปัญหาของการถอยกลับไปสู่ยุคที่เรียกว่า ขาดความเป็นประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลหลายประการ อย่างไรก็ตามหากประชาธิปไตยมีความเป็นพลเมืองในแนวคิดที่จะช่วยพัฒนาประเทศไปอย่างสันติได้ ก็น่าจะส่งผลต่อการเสริมสร้างความก้าวหน้าของกระบวนการประชาธิปไตยมากขึ้น คุณสมบัติของความเป็นพลเมือง แบ่งได้ ดังนี้
|