Show
หากเราแบ่งกิจกรรมหลัก ๆ ในชีวิตออกเป็นสองด้าน
การให้ความสำคัญกับชีวิตด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงานหนักเกินไป สุขภาพที่ถดถอย ความท้อแท้จากการไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต หรือการขาดความก้าวหน้า หากคุณรู้สึกว่า ชีวิตยังขาดด้านใดด้านหนึ่ง ก็พอจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงชีวิตที่ขาดสมดุล วันนี้เรามีวิธีสร้างความสมดุลของชีวิตและการทำงานมาฝากกันครับ 1. รู้ลำดับความสำคัญในชีวิตเพื่อที่จะใช้เป็นหลักเมื่อต้องตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง เช่น บางคนอาจให้ความสำคัญกับงานมากกว่าครอบครัว ในขณะที่บางคนให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่างาน 2. กำหนดเป้าหมายในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน หรือด้านชีวิตส่วนตัวเพื่อไม่ให้เราเผลอใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยจนเกินไป รวมทั้งวางแผนดูว่า เรามีขั้นตอนอย่างไรที่จะทำให้ถึงเป้าหมาย เช่น ตั้งใจทำธุรกิจขายของเล่นออนไลน์ โดยจะทำเว็บไซต์ และมีสินค้าลงขายชิ้นแรกให้ได้ภายใน 3 เดือน หรือตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักให้ได้เดือนละ 1 กิโลกรัมเป็นระยะเวลา 6 เดือนเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ลองอ่านบทความ การสร้างรายได้ทางอ้อมในยุคดิจิทัล เพิ่มเติมได้ครับ 3. ในด้านชีวิตการทำงาน ควรพูดคุยเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบกับเจ้านายรวมถึงเป้าหมายที่ต้องการจะทำให้สำเร็จในระหว่างปี ทั้งนี้ เพื่อความชัดเจนของการประเมินผลงาน หากมีความจำเป็นทางด้านครอบครัวที่อาจมีผลต่อการทำงาน ก็ควรชี้แจงล่วงหน้าและหาข้อตกลงร่วมกัน เช่น หากงานที่ทำมีความยืดหยุ่นในเวลาทำงาน เราอาจเสนอขอ work from home สำหรับบางวันในหนึ่งสัปดาห์ เป็นต้น 4. กำหนดเวลาสำหรับชีวิตส่วนตัวลงในตารางประจำวันด้วยหลาย ๆ คนเห็นว่ากิจกรรมในครอบครัวเป็นสิ่งที่ “ไว้ค่อยทำวันหลังก็ได้” หลายครั้งจึงตัดสินใจผิดนัดการรับประทานอาหารกับที่บ้าน เพราะมีงานเร่งด่วนเข้ามา หรือแม้แต่เลื่อนทริปกับครอบครัวออกไป เพราะมีเจ้านายมาเยี่ยมจากต่างประเทศโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า การผิดนัดนอกจากจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีกับคนในครอบครัวแล้ว เราเองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะรู้สึกกังวลตลอดเวลา สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีสักอย่าง ดังนั้นในกรณีนอกเวลางาน หรือได้มีการขอลางานล่วงหน้าไว้แล้ว หากมีงานเข้ามากะทันหัน อย่ารู้สึกผิดที่จะปฏิเสธ และอย่ากลัวที่จะถูกมองว่าไม่ทุ่มเทให้กับงาน เพราะทุกคนต่างต้องมีชีวิตส่วนตัวกันทั้งนั้น หากเราไม่ได้เบียดบังเวลางาน เราก็ไม่ควรให้งานมาเบียดบังเวลาส่วนตัวของเรา และเช่นเดียวกัน หากเราที่เป็นเจ้านายมีงานเร่งด่วนให้ลูกน้องที่อยู่ในช่วงวันลาทำ เราก็ควรให้ความเคารพกับเวลาส่วนตัวของเขาเหมือนกัน 5. เลิกงานแล้วก็ควรปล่อยวางจากงานบางคนนั่งเช็คอีเมลบริษัทตลอดเวลาแม้แต่นอกเวลางาน จนเลิกงานก็เอางานกลับไปที่บ้าน หลายครั้งที่เราต้องการแค่เปิดอีเมลมาดูเล่น ๆ แต่เนื้อหาในอีเมล กลับทำให้เราต้องมานอนคิดงานต่อ หรือแม้แต่ต้องเปิดคอมพิวเตอร์มานั่งทำงานกะดึก อย่างนี้เรียกว่าเแยกตัวเองออกจากงานไม่ได้ ลองฝึกดูนะครับ จบเวลางาน คือ จบ ในตอนต่อไป ผมจะขอพูดถึงแนวคิดอีก 5 ข้อ ซึ่งผมอยากให้ผู้อ่านนำมาปรับใช้เพื่อชั่งน้ำหนักความสมดุลของการทำงาน และการใช้ชีวิต เพราะในหนึ่งวันมีเวลาจำกัดเพียง 24 ชั่วโมง ทุก ๆ อย่างที่เราคิดจะใช้เวลาไปกับมัน จึงควรเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจแล้วว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่ามันจะมีสาระหรือไม่มีสาระบ้างก็ตาม วันนี้ลองหันกลับมามองดูตัวเองกันครับว่า เราจัดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวได้ดีแค่ไหน และที่สำคัญ เรามีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่แล้วหรือยัง
ประเด็นสำคัญ ในยุคก่อนนั้นค่านิยมยิ่งทำงานหนักยิ่งดี ทำให้ทุกคนทุ่มเทกับการทำงานแบบไม่คิดชีวิต ไม่รู้วันรู้เวลา เพื่อทำทุกอย่างให้กับองค์กรอย่างไม่ลืมหูลืมตา นั่นทำให้คนคนนั้นประสบความสำเร็จในงานก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วชีวิตส่วนตัวกลับล้มเหลวและสูญหายไป ซ้ำยังสุขภาพย่ำแย่แบบที่ไม่มีใครมาดูแลแทนคุณได้ ยุคนี้จึงเริ่มมีการปรับตัวเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิตกันใหม่ด้วยแนวคิด Work Life Balance ที่ทุกคนควรจะชั่งน้ำหนักแบ่งเวลาให้ดีระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานให้เกิดความสมดุลให้มากที่สุด 8 : 8 : 8 8 ชั่วโมง > สำหรับการการทำงาน 8 ชั่วโมง > สำหรับการการผ่อนคลาย-สันทนาการ 8 ชั่วโมง > สำหรับการนอนหลับ-พักผ่อน ใน 1 วัน คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่จะทำอย่างไรให้บริหารเวลาได้คุ้มค่าที่สุด … สูตร 8 : 8 : 8 นี้ คือสูตรสร้างสมดุลให้กับชีวิตที่มีการแบ่งเวลาได้ดีและเหมาะสมที่สุดเลยก็ว่าได้ เป็นการบริหารจัดการชีวิตที่มีประสิทธิภาพทีเดียว แต่ใครจะคาดคิดว่าสูตรยอดนิยมนี้จะเป็นสูตรคลาสสิกอมตะที่เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว ซึ่งแนวคิดการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1810 โดยผู้ที่คิดค้นหลักการนี้ขึ้นมาก็คือ โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) นักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปทางสังคมชาวอังกฤษ โดยเขาได้ตั้งสโลแกนในการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพไว้ว่า “Eight hours labour, Eight hours recreation, Eight hours rest – ทำงาน 8 ชั่วโมง, สันทนาการ 8 ชั่วโมง, พักผ่อน 8 ชั่วโมง” ซึ่งมันกลายมาเป็นมาตรฐานของการสร้างสมดุลให้กับชีวิตตลอดจนการแบ่งเวลาในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน 20 เคล็ดลับกับการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงานการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานนั้นไม่เพียงแค่มีประโยชน์ต่อองค์กรเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อตัวบุคลากรเองด้วย ทั้งในด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ ซึ่งเมื่อพนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีก็ย่อมส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพได้มากขึ้นเช่นกัน และผลดีก็จะเกิดขึ้นกับองค์กรในที่สุด เราลองมาดูเคล็ดลับในการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานทั้งในมุมของพนักงาน และมุมขององค์กร ที่จะร่วมสร้างแนวคิด Work Life Balance ที่ดีให้เกิดขึ้นกับองค์กรได้อย่างไร เคล็ดลับสำหรับพนักงาน
เคล็ดลับสำหรับองค์กร
Coffee & Meeting เทรนด์ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ก็คือการประชุมนอกสถานที่ตามร้านกาแฟ แต่เป็นการประชุมแบบจริงๆ จังๆ ที่มีสถานที่และอุปกรณ์พร้อมรองรับการปะชุม แน่นอนว่าผู้นำ ผู้สร้างเทรนด์ และเจ้าตลาดด้านนี้ก็คือ Starbucks นั่นเอง โดยหลายสาขา (โดยเฉพาะสาขาใหญ่ๆ) จะมีบริการโซนห้องประชุมไว้ให้ใช้บริการฟรีด้วย (ไม่เสียค่าเช่าห้องประชุม แต่มีการกำหนดจำนวนคนขั้นต่ำ และทุกคนจะต้องซื้อกาแฟ+อาหารของทางร้าน) ห้องประชุมนี้จะแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน เป็นห้องส่วนตัวมีประตูเข้าออก ใช้เสียงได้เต็มที่ โดยสามารถลงจองเวลาไว้ล่วงหน้ากับพนักงานได้ ภายในห้องจะมีโต๊ะประชุมยาว มีทีวี กระดานเขียน ปากกาเขียนกระดาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แล้วแต่มีบริการในแต่ละสาขา ไว้รองรับการประชุมนอกสถานที่นี้อย่างสะดวกสบายด้วย ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่ไม่ใช่เฉพาะบริษัทเล็กๆ ของคนรุ่นใหม่นิยมเท่านั้น แต่บริษัทใหญ่ๆ ก็นิยมการประชุมในรูปแบบนี้เพิ่มมากขึ้นด้วย
ความสมดุลสร้างศักยภาพให้องค์กรได้มากกว่าที่คุณคิดทำงานหนักหน่วงทำให้องค์กรมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ก็จริง แต่ระยะยาวแล้วศักยภาพจะลดลงตามประสิทธิภาพของร่างกายและจิตใจที่ย่ำแย่ลง หากสร้างสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างลงตัวแล้วนั้น นั่นคือวินัยในการทำงานที่ยอดเยี่ยม
บทสรุปSupports Corporate Growth by PEOPLE สนับสนุนการเติบโตขององค์กรผ่านผู้คน เพราะเราเชื่อว่าคนคือหัวใจหลักขององค์กร นำเสนอคอนเทนต์คุณภาพเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เทคโนโลยี HR และกรณีศึกษาที่น่าสนใจจากองค์กรชั้นนำ ความสมดุลในชีวิต คืออะไรการใช้ชีวิตอย่างสมดุล คือ การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่สูงจนเกินไป หรือต่ำจนเกินไป การเฉลี่ยเวลาในชีวิตออกไปอย่างเหมาะสมในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งเวลาที่ใช้ในการทำงาน เวลาที่ให้กับครอบครัว เวลาที่ใช้ในการพักผ่อน เวลาที่จะอุทิศตนเพื่อสังคม และเวลาที่ใช้ดูแลพัฒนาตนเอง
ทำอย่างไรให้ Work Life BalanceWork-Life Balance ปรับแนวคิดเพื่อสมดุลชีวิตกับการทำงาน (ตอนที่ 1). 1. รู้ลำดับความสำคัญในชีวิต ... . 2. กำหนดเป้าหมายในชีวิต ... . 3. ในด้านชีวิตการทำงาน ควรพูดคุยเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบกับเจ้านาย ... . 4. กำหนดเวลาสำหรับชีวิตส่วนตัวลงในตารางประจำวันด้วย ... . 5. เลิกงานแล้วก็ควรปล่อยวางจากงาน. Work Life Balance สําคัญอย่างไรWork-life Balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ ประโยชน์ ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น
หากชีวิตไม่สมดุลจะเกิดอะไรขึ้น– รู้สึกหดหู เศร้าซึม – รู้สึกเหนื่อยล้า ขาดพลังและกำลังใจ – ขาดความมั่นใจในตนเอง – ขาดแรงบันดาลใจและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่กล้าที่จะคิดถึงหรือลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ
|