ทำ อย่างไร จึง เรียนจบ ป. ตรี

พ่อแม่ที่ทำงานด้วยความลำบากลำบน บางคนต้องแลกด้วยแรงงาน หยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อหาเงินให้ลูกเรียนหนังสือ จะเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้ลูกเรียนสูงได้รับปริญญาเพื่อจะได้ทำงานดี ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่ แม้แต่พ่อแม่ที่เป็นชนชั้นกลางหรือคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูงก็เชื่อในเรื่องการศึกษาเหมือนกันว่าเป็นสิ่งจำเป็น จะเรียนเก่งหรือไม่เก่งอย่างไรไม่ว่า แต่อย่างน้อยก็ต้องเรียนให้จบ ก็เพราะใบปริญญาเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้เบิกทางในการเริ่มต้นชีวิตการทำงานของทุกคนที่ต้องการความมั่นคง

คนที่มีการศึกษาย่อมต้องดีกว่าคนที่ไม่มีหรือมีน้อยอย่างแน่นอน เพราะการศึกษาและความรู้ทำให้คนเราฉลาด รอบรู้ ทันคน และไม่โดนหลอกได้ง่าย ขบวนการและขั้นตอนในการเรียนกว่าจะจบปริญญาตรีก็มีเรื่องราวของตัวมันเอง นอกจากเราจะได้ความรู้และใบปริญญาที่จริงก็มีอะไรอีกมากมายที่เราได้จากชีวิตการเป็นนักเรียนและนักศึกษาเช่นเดียวกัน

อ่านเพิ่มเติม : ปริญญาตรี พอหรือไม่ สำหรับการทำงาน ?

ไม่ใช่ทุกคนที่จะเก่งและสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตกลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างบิล เกตต์ หรือ สตีฟ จ๊อบส์ ที่แม้เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ไม่มีใบปริญญาแต่ก็ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จได้อย่างที่ทุกคนเห็นและเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้ มีเด็กบางคนที่ไม่รักเรียนแล้วชอบอ้างบิล เกตต์หรือสตีฟ จ็อบส์ เด็กพวกนั้นไม่รู้หรอกว่าแม้ทั้งสองจะเรียนไม่จบแต่เขาต้องใช้ความมุ่งมั่นและพยายามมากแค่ไหนถึงจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกได้เช่นนี้

ทำ อย่างไร จึง เรียนจบ ป. ตรี

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใบปริญญาเพราะตราบใดที่ค่านิยมของคนในสังคมเรายังคงต้องการคนที่จบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อยเพื่อรับเข้าทำงาน เราก็คงต้องดิ้นรนกันต่อไป สิ่งที่สำคัญคือความรู้และประสบการณ์ที่เราได้รับต่างหากที่สำคัญ ใบปริญญาแม้สำคัญแต่ก็ไม่ได้บอกว่าคนสองคนเก่งหรือมีความรู้เท่ากัน บางคนเรียนเก่งทำคะแนนได้ดีก็ไม่ได้แปลว่ารู้เยอะกว่าคนที่เรียนไม่เก่งหรือได้คะแนนน้อยกว่า ดังนั้นใบปริญญาที่เราได้มาจะมีความสำคัญหรือสร้างความภาคภูมิใจให้เราได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความพยายามขวนขวายในระหว่างทางก่อนที่จะถึงเป้าหมายเป็นใบปริญญานั้นด้วยเช่นกัน

ดร.เทียม โชควัฒนาได้เคยเขียนไว้ในหนังสือถึงเรื่องชีวิตการศึกษาที่แตกต่างจากชีวิตการทำงานไว้ว่า คนที่เรียนจบใหม่ ๆ มักยึดติดกับความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมากับอาจารย์ ทำให้เข้ากับผู้อื่นได้ยาก ในการทำงานมันมีอะไรที่มากกว่าความรู้ นั่นก็คือประสบการณ์ เราต้องพัฒนาให้ตัวเราเข้ากับผู้อื่นให้ได้ ดร.เทียมได้เปรียบเด็กจบใหม่เหมือนมีความคิดเป็นเหลี่ยม พอเริ่มทำงานประสบการณ์จะค่อย ๆ ลบเหลี่ยมนั้นให้ค่อย ๆ กลายเป็นกลม รี และแหลมในที่สุด ทรงแหลมจะเป็นทรงที่สามารถสอดแทรกไปในสิ่งอื่นได้ง่ายที่สุด ก็เปรียบเหมือนการรู้จักปรับตัวเข้าหาคนอื่นนั่นเอง

เด็ก ๆ หรือนักศึกษาควรได้เลือกเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองรักโดยไม่โดนบังคับ ที่จริงทุกคนเข้าใจว่าหากเราได้ทำสิ่งที่เรารัก เราก็จะสามารถทำมันได้อย่างดีที่สุด นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะเราทำมันออกมาจากใจ หากเราได้เลือกเรียนในสิ่งที่เรารัก ใบปริญญาที่เราได้รับก็จะเป็นการปูทางไปสู่การทำงานที่เรารักได้ด้วยเช่นกัน คนที่ค้นหาสิ่งที่ชอบและใช่ที่เป็นตัวของเราได้เร็วก็จะได้เปรียบ แต่บางคนเรียนจนถึงมัธยมปลายแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองรักชอบอะไร อยากไปทางไหน อยากทำงานอะไร หากเป็นแบบนั้นถึงแม้เราทนเรียนไปจนจบปริญญาได้งานทำ เราก็อาจไม่มีความสุขกับการทำงานก็ได้

วิธีที่จะทำให้เราค้นพบสิ่งที่เรารักก็คือให้เราลองสำรวจตัวเองว่าเราชอบกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ทำเรารู้สึกมีความสุขและไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หากเราหาเจอนั่นอาจเป็นทางของเรา เช่น บางคนชอบเจอผู้คน การได้พูดคุยกับคนอื่น ๆ ทำให้เรามีความสุข เราก็พอจะคาดเดาได้ว่าเราน่าจะชอบทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ต้องเจอพบปะและพูดคุย หากเราสำรวจตัวเองและหาตัวเองเจอได้เร็ว เลือกเรียนในสาขาอาชีพที่ตรงกับความชอบและความถนัดของเรา ก็จะทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาเปลี่ยนแปลงในภายหลัง เหมือนกับบางคนที่เรียนจบปริญญาทำงานไปซักพัก กลับเพิ่งรู้สึกว่าไม่ชอบและไม่ใช่ ทำให้ต้องมาใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนชีวิตกันอีก แต่ที่ทนทำไปก็มีให้เห็นเยอะเช่นกัน

พ่อแม่บางคนหวังดีอยากให้ลูกได้เรียนและทำงานในสาขาอาชีพที่พ่อแม่คาดหวังไว้โดยเชื่อว่าอาชีพนั้นจะทำให้ลูกสบายมีความมั่นคงไม่ลำบาก โดยที่ลืมนึกไปว่าลูกชอบสิ่งนั้นจริงหรือไม่ ทั้งที่ชีวิตเป็นของลูก ลูกควรจะเลือกทางเดินในชีวิตของเขาเองโดยมีพ่อแม่เป็นแค่คนคอยแนะนำเท่านั้น ไม่ใช่คนตัดสินใจให้ ดังนั้นพ่อแม่ควรเป็นผู้สนับสนุนในการตัดสินใจเรื่องเรียนและแนวทางการใช้ชีวิตในการทำงานของลูกมากกว่า เด็กที่มีพ่อแม่คอยแนะนำให้คำปรึกษาก็จะสามารถเรียนจบและได้ทำงานที่ตนเองถนัดและรักอย่างมีความสุขได้

น้อง ๆ ทราบหรือไม่คะว่าการเก็บออมเงินมีประโยชน์หลายอย่างมาก ๆ เพราะนอกจากจะไม่ต้องรบกวนเงินพ่อแม่ในการซื้อสิ่งของที่อยากได้แล้ว ยังฝึกนิสัยการประหยัดให้กับตนเองก่อนเข้าสู่วัยทำงาน เพื่อที่ว่าเมื่อเราทำงานและมีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว เราสามารถวางแผนการเงินได้ดีกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงหลังจากเรียนจบระหว่างรองานทำ เราจะได้ใช้เวลาและเงินที่เราออมตลอด 4 ปีไปเดินทางท่องเที่ยว เช่นเดียวกับวัยรุ่นต่างชาติมักใช้ช่วงเวลา Gap Year นี้ไปค้นหาตัวตนก่อนสมัครงานว่าตนเองอยากทำงานอะไร อยากทำอาชีพไหน ผ่านการเดินทางท่องเที่ยวเปิดโลกกว้าง อาจจะเริ่มต้นจากการออมเงินที่ได้ในแต่ละวันอย่างน้อยสัก 10-50 บาทก็ยังดีค่ะ

ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย พี่เองก็เคยเก็บออมเงินที่เหลือในแต่ละวันเพื่อเก็บเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อบ้านตามที่ต้องการ เนื่องจากจำเป็นต้องซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาใช้ในการเรียนและการทำงานส่งอาจารย์ ซึ่งสาขาที่พี่เรียนจะต้องใช้โปรแกรม Photoshop และ InDesign ในการทำหนังสือสำหรับเด็กหลายวิชา โดยเฉพาะวิชาสำคัญ ๆ อย่างวิชาวรรณกรรมสำหรับเด็กนิพนธ์ แต่พี่ก็รู้สึกภูมิใจที่เก็บเงินซื้อโน้ตบุ๊กเองเป็นครั้งแรกโดยไม่รบกวนเงินของพ่อแม่ และสิ่งนี้เองที่ทำให้พี่ติดนิสัยประหยัดอดออม ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย (นอกจากเรื่องกินและเรื่องเที่ยวต่างจังหวัด) จนสามารถเก็บเงินแสนแรกได้ในการทำงาน 3 ปีแรกค่ะ

4. ฝึกพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

4. ฝึกพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

การที่น้อง ๆ ฝึกพัฒนาตนเองอยู่เสมอในช่วงเป็นนิสิตนักศึกษาได้เร็วเท่าไหร่ก็จะส่งผลดีต่อตัวของน้องเมื่อสำเร็จการศึกษาได้ดีมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะทักษะทางด้านภาษาทั้งภาษาอังกฤษและภาษาที่สามอื่น ๆ อย่างเช่น ภาษาจีน, ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาเกาหลี, ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน เป็นต้น ยิ่งน้องเรียนรู้หลายภาษาก็ยิ่งมีโอกาสดี ๆ ในการทำงาน และสามารถทำงานในบริษัทต่างชาติที่มีเงินเดือนดี สวัสดิการเลิศ นอกจากนั้นทักษะทางคอมพิวเตอร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งในโลกปัจจุบันเข้าสู่ยุคดิจิทัลด้วยแล้ว น้อง ๆ ก็สามารถสร้างตัวตนในโลกโซเชียลด้วยการสร้างผลงานดี ๆ ในแบบไม่เหมือนใครลงใน Tik Tok หรือ Youtube ให้ผู้คนได้ติดตามกันได้อีกด้วย ไม่แน่นะน้อง ๆ อาจจะกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืนก็ได้ แต่ถ้าน้องคนไหนเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบออกสื่อก็อาจทำงานเบื้องหลังอย่างการตัดต่อคลิป, ทำภาพกราฟิกเจ๋ง ๆ ขายในเว็บ shutter stock ก็ดีงามไม่แพ้กันค่ะ

ขอยอมรับเลยว่าข้อนี้พี่ไม่ค่อยมีเวลาทำเท่าไหร่นัก ทั้งทักษะทางด้านภาษาและทักษะทางคอมพิวเตอร์ เพราะส่วนมากจะใช้เวลาในการอ่านหนังสือวรรณกรรมและหนังสืออื่น ๆ ทั่วไปซะมากกว่า ทำให้เสียดายเวลาและโอกาสดี ๆ หลายอย่างในชีวิต หากใครไม่อยากเสียดายโอกาสแบบพี่ แนะนำให้เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ

5. เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

5. เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

การเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้าเป็นเรื่องดีเสมอ เพราะจะช่วยให้เราได้ไขว่คว้าโอกาสและเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ก่อนคนอื่น ดังนั้นทางที่ดีน้องควรเตรียมตัวเองให้พร้อม คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าประดุจว่าเราใกล้เรียนจบแล้ว จะเป็นบัณฑิตแล้ว จบไปจะทำงานอะไรดีนะ หรือจะเรียนปริญญาโทต่อดี และถ้าเรียนปริญญาโทจะเรียนในไทยหรือสอบชิงทุนต่างประเทศ ซึ่งการเตรียมพร้อมในทุกเรื่องถือเป็นหลักการสำคัญของการตั้งเป้าหมายและการประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง เรียกว่าเป็นการวางแผนชีวิตล่วงหน้าไปในตัวเลยล่ะค่ะ

ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่เช่นกัน เนื่องจากวางแผนชีวิตไม่ค่อยดีนักและไม่ค่อยเตรียมตัวสักเท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างประมาทเกินไป ทำให้พลาดโอกาสเรื่องการทำงานที่จะได้ทำงานในบริษัทต่างชาติดี ๆ สวัสดิการเยอะ ๆ อยู่ในตำแหน่งสูง ๆ เหมือนคนอื่นเขา ดังนั้นหากน้องต้องการมีความสำเร็จในชีวิตจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ วางแผนชีวิตให้ดี ตั้งใจและแน่วแน่กับเส้นทางที่จะเลือกเดิน และที่สำคัญต้องมีระเบียบวินัยด้วยนะคะ

ถ้าหากน้อง ๆ ทำตามที่พี่แนะนำได้ทั้งหมด 5 ข้อนี้ รับรองได้ว่าน้อง ๆ จะต้องสำเร็จในชีวิตไปได้ไกลจากที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอนค่ะ 😊😊😊