เกณฑ์การวินิจฉัย Spondylosis หรือ กระดูกสันหลังเสื่อม หมายถึง การเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง และข้อต่อของกระดูกสันหลัง อาจใช้ศัพท์ทั่วไปว่า osteoarthritis of spine (OA spine) เป็นโรคที่พบบ่อย แต่มีความหลากหลายของวิธีการวินิจฉัย ตั้งแต่การตรวจทางคลินิก การถ่ายภาพรังสี และการตรวจพิเศษ ตัวผู้ป่วยเองมีปัญหาที่มาพบแพทย์ได้หลากหลาย ทั้งอาการปวดจากการกดทับหลอดเลือดแดง ไขสันหลังหรือรากประสาท หรือ instability มาตรฐานของ ICD-10 กำหนดให้แบ่งการวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ตามลักษณะปัญหาการกดทับหลอดเลือดแดงกระดูกสันหลัง ไขสันหลัง และรากประสาท หรือไม่มีการกดทับและแบ่งย่อยตามตำแหน่งของกระดูกสันหลังส่วนที่เสื่อม แนะนำให้แพทย์บันทึกการวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังเสื่อมเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. Spondylosis with myelopathy หมายถึง กระดูกสันหลังสื่อมร่วมกับโรคไขสันหลัง ที่พบได้บ่อยคือ cervical pondylotic myelopathy(CSM) 2. Spondylosis with radiculopathy หมายถึง กระดูกสันหลังเสื่อมร่วมกับโรครากประสาท 3. Spondylosis (without myelopathy or rediculopathy) หมายถึง กระดูกสันหลังเสื่อมที่ไม่พบโรคไขสันหลังหรือโรครากประสาท 4. Anterior spinal and vertebral artery compression syndrome หมายถึง กลุ่มอาการหลอดเลือดแดงไขสันหลังด้านหน้า และหลอดเลือดแดงกระดูกสันหลังถูกกดทับทำให้เกิด spinal cord infarction ,stroke หรือ vertebrobasilar insufficiency แพทย์จำเป็นต้องบันทึกตำแหน่งของกระดูกสันหลังส่วนที่มีพยาธิสภาพเพื่อให้สามารถให้รหัสที่ละเอียดและถูกต้อง อาจใช้อักษรย่อ(C=cervical , T=thoracic ,L=lumbar ,S=sacral) ร่วมกับหมายเลขลำดับกระดูกสันหลัง เช่น บันทึกว่า C3-C5 หมายถึง cervical spine ที่ 3 ถึงที่ 5 Myelopathy เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจาการกดทับประสาทไขสันหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการผิดปกติของประสาทไขสันหลัง เช่น ปวดร้าวตามแนวเส้นประสาท เดินเซ สูญเสีย ความสามารถในการทรงตัว ตัวเกร็ง ชา อ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ การทำงานของประสาทอัตโนมัติเปลี่ยนไป มักพบ reflex ผิดปกติ Radiculopathy เป็นอาการแสดงของการกดทับรากเส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal nerve root) เช่น ปวดร้าวตามแนวเส้นประสาทเส้นเดียวหรือหลายเส้นพร้อมกันก็ได้ Myelopathy มักมีอาการของ radiculopathy ร่วมด้วยเสมอ แพทย์ควรสามารถแยกผู้ป่วยที่มีอาการของ radiculopathy เพียงอย่างเดียวโดยไม่มี myelopathy ได้ เพราะความยุ่งยากในการรักษาต่างกัน เนื่องจากกระดูกสันหลังเสื่อมมีเหตุมาจากโรคของหมอนรองกระดุกสันหลัง ดังนั้นถ้าผู้ป่วยมีโรค degeneration of disc ร่วมกับ spondylosis แพทย์ควรบันทึกการวินิจฉัยทั้งสองโรค เกณฑ์การให้รหัส ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่า anteriror spinal and vertebral artery compression syndrome ให้ใช้รหัส M47.0+ Anterior spinal and vertebral artery compression syndromes โดยให้รหัสหลักที่ 5 ตามตำแหน่งของกระดูกสันหลังที่มีพยาธิสภาพ ร่วมกับรหัส G99.2* Myelopathy in diseases classified elsewhere ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่า spondylosis with myelopathy ให้ใช้รหัส M47.1+ Other spondylosis with myelopathy โดยให้รหัสหลักที่ 5 ตามตำแหน่งของกระดูกสันหลังที่มีพยาธิสภาพร่วมกับรหัส G99.2* Myelopathy in diseases classified elsewhere เช่น แพทย์วินิจฉัยว่า cervical spondylotic myelopathy(CSM) ให้รหัส M47.12+ คู่กับ G99.2* ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่า Spondylosis with radiculopathy หรือ OA spine with radiculopathy ให้ใช้รหัส M47.2 Other spondylosis with radiculopathy โดยให้รหัสหลักที่ 5 ตาม ตำแหน่งของกระดูกสันหลังที่มีพยาธิสภาพ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่า spondylosis หรือ OA spine โดยไม่ระบุและไม่พบหลักฐานการกดทับไขสันหลังหรือรากประสาท ให้ใช้รหัส M47.8 Other spondylosis โดยให้รหัสหลักที่ 5 ตามตำแหน่งของกระดูกสันหลังที่มีพยาธิสภาพ ไม่ควรให้รหัส M47.9 Spondylosis, unspecified เพราะแพทย์ควรสามารถระบุการกดทับ และตำแหน่งที่มีพยาธิสภาพได้ไม่ยาก หากแพทย์ไม่ระบุควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้นก่อนให้รหัส ตัวอย่างที่19-13 ผู้ป่วยชาย อายุ 60 ปี มาด้วยอาการเดินเซ ล้มง่าย หยิบสิ่งของลำบาก บางครั้งมีอาการปวดร้าวลงแขนซ้าย และชา บริเวณหลังมือซ้าย ภาพถ่ายรังสีพบว่าช่องด้านหน้าระหว่างกระดูกคอท่อนที่ 5-6 แคบลง แพทย์วิจัยว่า cervical 5-6 Spondylotic myelopathy แพทย์สรุป Coder ให้รหัส การวินิจฉัยหลัก Cervical 5-6 Spondylotic myelopathy M47.12+ Other Spondylosis with myelopathy ,cervical region การวินิจฉัยร่วม - G99.2+ Myelopathy in diseases classified elsewhere ตัวอย่างที่20-13 ผู้ป่วยชาย อายุ 45 ปี มาด้วยอาการปวดร้าวลงแขนข้างซ้ายเกือบตลอดเวลา ชาบริเวณหลังมือซ้าย ไม่มีอาการเดินเซ ไม่มี reflex ผิดปกติ ภาพถ่ายรังสีพบว่าช่องว่างด้านหน้าระหว่างกระดูกคอท่อนที่ 4-5-6 แคบลง แพทย์วินิจฉัย cervical 4-5-6 Spondylotic radiculopathy แพทย์สรุป Coder ให้รหัส การวินิจฉัยหลัก Cervical 4-5-6 Spondylotic radiculopathy M47.22 Other spondylosis with radiculopathy ,cervical region การวินิจฉัยร่วม - - Chapter(บทที่) : Chapter13 โรคของระบบกล้ามเนื้อโครงร่าง และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน Group(กลุ่มของโรค) : M40-M54 โรคของหลัง โรคกระดูกต้นคอ กระดูกคอเสื่อม Cervical Spondylosis 颈椎病 Cr.Photo : abcphysiotherapy.com อาการของโรคที่เกิดขึ้นบริเวณไขสันหลัง รากประสาทและระบบไหลเวียนเลือดที่ระดับคอ เนื่องจากการงอกของกระดูกคอ หมอนรองกระดูกกดทับ หรือการหนาตัวของแผ่นเส้นเอ็น ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดบริเวณศีรษะ คอ หัวไหล่ แขน หรือหน้าอกได้ โดยโรคที่เกิดจากกระดูกคอ คือ บริเวณกระดูกคอ ข้อต่อหมอนรองกระดูก และบริเวณเนื้อเยื่อบาดเจ็บเสื่อมสภาพ Cr.Photo : www.painspa.co.uk สาเหตุการเกิดโรค จนในที่สุดก็กลายเป็น Osteophyte (ปุ่มกระดูกงอก หรือ กระดูกงอก) หมอนรองกระดูกที่ยื่นออกมาและกระดูกงอกจะไปกระตุ้นหรือไปกดทับ บริเวณรากประสาทไขสันหลัง (Nerve root) หลอดเลือดแดง (Vertebral artery) หรือไขสันหลัง (Spinal cord) ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ การอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เกิดปฏิกิริยาการซ่อมแซมตัวเอง เป็นต้น และเป็นผลทำให้เกิดอาการของโรคกระดูกต้นคอตามมาได้ นอกจากนี้แล้วการที่มีโพรงกระดูกต้นคอตีบแคบหรือมีรูปร่างผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด ในคนสูงอายุที่หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพ มีการสึกหรอจากการทำงานหนัก หรือการได้รับอุบัติเหตุ ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น สรุปแบบย่อ ถึงสาเหตุการเกิดโรค
ประเภทและอาการทางคลินิก ลักษณะทางกายภาพ กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอจะตึง แข็ง การเคลื่อนไหวติดขัดที่บริเวณข้างกระดูกต้นคอหรือกล้ามเนื้อข้างคอ (Sternocleidomastoid), กล้ามเนื้อสามเหลี่ยมหลังคอ (Trapezius) มีจุดกดเจ็บ ภาพถ่าย Plain Film X-Rays พบว่าแนวโค้งของกระดูกต้นคอเป็นแนวตรงโดยมีระดับการเสื่อมสภาพของกระดูกคอ อยู่ใน ระดับเบาและระดับกลาง2. ประเภทรากประสาทถูกกดทับ (神经根型- Nerve Root Type) ประเภทนี้พบได้ค่อนข้างบ่อยในทางคลินิก เนื่องจากของเหลวในหมอนรองกระดูก (Nucleus pulposus) ยื่นออกมาข้างนอกทางด้านหลัง หรือมีกระดูกงอกยื่นเข้าไปในโพรงกระดูก บริเวณข้อต่อ Uncovertebral Joint (Luschka’s joint) ทำให้ไปกระตุ้นหรือกดทับรากประสาท อาการเด่นทางคลินิกคือ มีอาการปวดตามรากประสาท และพลังหรือกำลังของกล้ามเนื้อ (Muscle power) ผิดปกติ เนื่องจากรากประสาทถูกกดทับอาการ คอ ไหล่ แขนข้างหนึ่ง จะมีอาการปวด ชา เป็นๆหายๆบ่อยครั้ง อาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อเงยหน้า หรือไอ มีอาการชาที่ปลายนิ้วมือ การเคลื่อนไหวไม่คล่อ งการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine movement) ค่อนข้างลำบาก ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด มักเกิดจากการทำงานหนัก เหน็ดเหนื่อย ถูกอากาศหนาวเย็น การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือท่านอนไม่เหมาะสมลักษณะทางกายภาพ กล้ามเนื้อคอตึง การเคลื่อนไหวติดขัด พบว่า Interspinous space และด้านข้างของกระดูกสันหลังถูกกดทับ จะมีอาการปวดร้าวไปที่แขน เมื่อทำการทดสอบด้วยวิธีการดึงรั้งแขนพร้อมกับผลักศีรษะออก (Distraction test) และทดสอบดวยการกดศีรษะ (Pressure head test) พบว่าใหผลตรวจเป็น positive คือจะมีอาการปวดหรือชาร่วมด้วย) ภาพถ่าย Plain Film X-Rays พบว่าแนวโค้งของกระดูก ต้นคอผิดไปจากปกติ โพรงกระดูกสันหลังแคบลง ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังแคบลง ตัวกระดูกสันหลังมีกระดูกงอก มักพบมากที่กระดูกต้นคอข้อที่ 5 ถึง 73 .ประเภทไขสันหลังถูกกดทับ (脊髓型 - Myeloid Type) สาเหตุ : โดยมากมักจะมีโพรงกระดูกต้นคอแคบที่เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital Stenosis of the Cervical Spinal Canal) เป็นพื้นฐาน หมอนรองกระดูกส่วนต้นคอยื่น ออกไปแนวกลางด้านหลัง หรือตัวกระดูกสันหลังส่วนคอด้านหลังมีปุ่มกระดูกงอกขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลให้การรับรู้ความรู้สึกและการเคลื่อนไหวทำงานผิดปกติ อาการ : จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ชา โดยค่อยๆ เริ่มเป็นจากปลายมือปลายเท้าขึ้นมา ขาทั้งสองข้างจะรู้สึกตึง หนักๆ ท่าทางการเดินงุ่มง่ามผิดปกติ เดินขากะเผลก รู้สึกแน่นหน้าอก โดยปกติจะพบว่าจะเริ่มเป็นจากส่วนขาลามไปส่วนแขนสามารถแบ่งได้เป็น ชนิดกดทับแนวกลาง (Central type - ชนิดมีอาการเริ่มเป็นจากส่วนแขน), ชนิดกดทับโดยรอบ (Peripheral type - ชนิดมีอาการเริ่มเป็นจากส่วนขา) ชนิดกดทับเส้นเลือดแนวกลาง ลักษณะทางกายภาพ : ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (muscle tension) เพิ่มมากขึ้น พบ Hyperreflexia ของรีเฟล็กซ์ของเอ็น หรือรีเฟล็กซ์เอ็นลึก (Deep tendon reflexes) รีเฟล็กซ์พยาธิสภาพ (Pathologic reflexes) ให้ผลเป็น positive การทดสอบ รีเฟล็กซ์ที่ข้อเท้าและสะบ้า (Patellar and Ankleclonus reflex) ให้ผลเป็น positive การทดสอบให้งอพับต้นคอ (Linder’s Sign) ให้ผลเป็น positiveภาพถ่าย Plain Film X-Rays พบว่ากระดูกสันหลังแนวด้านหน้าและหลังมีปุ่มกระดูกงอกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ช่องว่างหมอนรองกระดูกแคบลง แนวโค้งของกระดูกสันหลังเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ ภาพถ่าย CT หรือ MRI พบว่าโพรงกระดูกส่วนคอมีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กลง, มักมีขนาด เล็กกว่า 14-12 มม. 4. ประเภทเสนเลือดแดงที่มาเลี้ยงไขสันหลังถูกกดทับ อาการ : เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะ ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณไขสันหลังไม่เพียงพอ ทำให้พบอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ การมองเห็นผิดปกติ มีเสียงในหู หูหนวก เป็นต้น อาการปวดศีรษะมักจะปวดตุ๊บๆหรือปวดแบบเข็มทิ่มเพียงข้างเดียว หรือเรียก อีกอย่างว่า อาการปวดศีรษะจากกระดูกต้นคอ (Cervicogenic headache) เมื่อมีการ เคลื่อนไหวศีรษะอย่างฉับพลัน อาจจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะหรือจะเป็นลมได้ และ เมื่อปรับเปลี่ยนอิริยาบทอาการต่างๆข้างต้นก็จะสามารถหายได้เอง ลักษณะทางกายภาพ : อาจจะมีจุดกดเจ็บบริเวณเส้นเลือดที่มาเลี้ยงไขสันหลัง ภาพถ่าย Plain Film X-Raysพบว่า ข้อต่อกระดูกส่วนคอ Luschka’s joint มีกระดูกงอก โพรงกระดูกต้นคอ Intervertebral foramen แคบลง (Oblique Film) ภาพถ่ายเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงไขสันหลัง (Spinal arteriography) พบว่า เส้นเลือดแคบลงและมีการบิดเบี้ยว ภาพ อัลตร้าซาวน์เส้นเลือดในสมอง (Transcranial Doppler Ultrasounds, TCD) พบว่า เส้นเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ส่วนภาพถ่าย MRI สามารถพบตำแหน่งของเส้นเลือดที่มีพยาธิสภาพของโรคได้5. ประเภทเส้นประสาทซิมพาเทติคถูกกดทับ ( 交 感 型 - Sympathetic Type) เนื่องจากกระดูกต้นคอมีปุ่มกระดูกยื่นออกมากดทับหรือกระตุ้นเส้นประสาท Sympathetic ที่อยู่ด้านข้างกระดูกต้นคอ แล้วส่งผลให้เกิดอาการต่างๆเนื่องจากมีความผิดปกติของการ ทำงานของระบบประสาทAutonomicอาการ : จะรู้สึกปวดตื้อๆบริเวณคอไหล่ระดับลึก ในขณะเดียวกันก็มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ แขนเย็น ผิวเขียวคล้ำ บวมน้ำ ผิวหนังบางลงการกระจายตัวของต่อมเหงื่อผิดปกติ อาการจะค่อยๆสะสมไปตามบริเวณศีรษะ คอ ไหล่ แขน หน้าอก หลัง (หรือบริเวณต่างๆที่มีเส้นประสาท Sympathetic กระจายอยู่) ในบางทีอาจจะมีอาการหัวใจเต้นไมเปนจังหวะ เจ็บหน้าอกบริเวณหัวใจรวมด้วย ถึงแม้จะกินนยากลุ่ม Nitroglycerin ก็ไม่สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ ผลการตรวจคลื่นหัวใจ EKG พบว่าไม่มีการขาดเลือด เรียกอีก อย่างหนึ่งว่า อาการเจ็บหน้าอกจากกระดูกต้นคอ (Cervical angina) อาจจะมีลักษณะ ทางกายภาพของโรคกระดูกต้นคอประเภทอื่นๆร่วมด้วยลักษณะทางกายภาพ : กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณคอและไหล่เมื่อกดลงไปจะปวดเป็นบริเวณกว้าง กล้ามเนื้อตึง บริเวณที่ปวดอาจจะเป็นบริเวณที่มี Peripheral nerve trunk วิ่งผ่าน ภาพถ่าย Plain Film X-Rays พบว่ากระดูกต้นคอ หรือบริเวณกระดูกสันหลัง ช่วงอกส่วนบนมีการเสื่อมสภาพ ผิวบริเวณที่มีอาการจะเย็นลงอย่างชัดเจนหลักการวินิจฉัยโรค ผู้ป่วยที่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป หรือกลุ่มคนที่ทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวผ่อนคลายส่วนคอและไหล่ จะมีอาการแสดงที่ค่อนข้างเด่นชัดคือ ปวด หรือ รู้สึกไม่ค่อยสบายบริเวณคอ ไหล่ แขน ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น ประกอบกับ ภาพถ่าย X-ray ที่มีลักษะเปลี่ยนแปลงไป ในผู้ป่วยโรคกระดูกต้นคอบางรายภาพถ่าย CT หรือ MRIจะสามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำและถูกต้องหลักการรักษา : อุ่นหยาง ทะลวงเส้นลมปราณ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ระงับปวด จุดหลัก :โฮ่วซี (HouXi) คุนหลุน (KunLun) ฉงกู่ (ChongGu) เทียนจู้ (TianZhu) จุดเสริม : เจียนเจิน (jianZhen) เน่าซู (NaoShu) เทียนจง (TianZong) ปิ่งเฟิง (BingFeng) ฉวีหยวน (QuYuan) เจียนไว่ซู (JianWaiShu) เจียนจงซู (JianZhongShu) ปี้เน่า (BiNao) โส่วอู๋หลี่ (ShouWuLi) โส่วซานหลี่ (ShouSanLi) เหอกู่ (HeGu) ปาเสีย (BaXie) ถ้ามีอาการวิงเวียนศีรษะให้เพิ่มจุด จงเฟิง (ZhongFeng) หยางฝู่ (YangFu) ไท่ชง (TaiChong) เฟิงฉือ (FengChi) หวานกู่ (WanGu) เทคนิคการปักเข็ม จุดโฮ่วซี คุนหลุน แทงเข็มตรง กระตุ้นเข็มโดยใช้เทคนิคซาวซานหั่ว ( 烧 山 火 ) จนรู้สึกถึงชี่วิ่งไปยังตำแหน่งพยาธิสภาพ บริเวณต้นคอและสะบักไหล่จะรู้สึกอุ่นๆจุดเทียนจู้ จะแทงเข็มตรง ปักลึก 1-1.5 ชุ่น จากนั้นกระตุ้นเข็มโดยวิธีถีชา เหนียนจ่วน 1 นาที เมื่อบริเวณไหล่จะรู้สึกร้อนๆแล้วจะสามารถระงับปวดได้ จากนั้น คาเข็มทิ้งไว้ 20-30 นาที จุดเสริมทั้งหมดให้แทงเข็มตรงปักลึก 0.5-1 ชุ่น, จากนั้นให้กระตุ้นเข็มโดยวิธี ถีชาเหนียนจ่วน 1 นาที โดยใช้กระตุ้นไฟฟ้าร่วมด้วย วิธีการรักษาอื่นๆ วิธีการครอบแก้ว ใช้วิธีส่านหั่ว (闪火) แล้วครอบแก้วค้างไว้ 5-10 นาที นอกจากนี้ใช้วิธีทุยก้วน(推罐) โดยครอบแก้วแล้วเคลื่อนไปตามแนวเส้นลมปราณตูม่าย เส้นลมปราณเท้าไท่หยางกระเพาะปัสสาวะ โดยเคลื่อนแก้วจากคอ ไปตามแนวหลังทงแนวที่ 1 กับ 2 ของเส้นลมปราณเท้าไท่หยางกระเพาะปัสสาวะ และเส้นลมปราณมือไท่หยาง ลำไส้เล็ก โดยเคลื่อนแก้วไปตามแนวไหล่ด้านหลังพยากรณ์โรค ประเภทปวดต้นคอ ใช้เวลาในการรักษา 1 คอร์ส สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ ประเภทรากประสาทถูกกดทับ ในทางคลินิกพบว่าต้องใช้เวลาในการรักษา 2-3 คอร์ส สามารถรักษาให้หายได้ สำหรับโรคกระดูกต้นคอประเภทที่มีหลายอาการผสม (ตั้งแต่ 2 ประเภทขึ้นไป) ในทางคลินิกพบว่าต้องใช้เวลาในการรักษา 2-3 คอร์ส หรือนานกว่านั้นถึงจะสามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ อาการแสดงออกของโรคกระดูกคอเสื่อม อาการที่แสดงออกของโรคกระดูกคอเสื่อมมักค่อนข้างจะซับซ้อน แต่อาการที่เห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุด ก็คือ อาการปวดต้นคอ หลัง และแขนไม่มีแรง นิ้วมือชา ขาอ่อนแรง เดินลำบาก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน แม้กระทั่งการมองเห็น จะเป็นภาพมัว ๆ หัวใจเต้นเร็วไปจนถึงกลืนอาหารลำบากเลยก็มี โรคกระดูกคอเสื่อมชนิดกดทับรากประสาท
โรคกระดูกคอเสื่อม ชนิดกดทับไขสันหลัง
โรคกระดูกคอเสื่อม ชนิดกดทับหลอดเลือดแดง
โรคกระดูกคอเสื่อม ชนิดกดทับประสาทซิมพาเธติก โรคกระดูกคอเสื่อม
ชนิดหลอดอาหารกดเบียด โรคกระดูกคอเสื่อม
ชนิดกล้ามเนื้อตึงตัว อาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับคอ เอว และกระดูกสันหลัง ปวดหน้าอกด้านซ้ายบน แน่นหน้าอก ปวดหน้าอก หอบ ไอ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ปวดต้นแขนด้านหลัง ปวดกระดูกสะบัก เจ็บหน้าอก ปวดเต้านม ปวดชายโครง ปวดนิ่วในถุงน้ำดี (Cholelithiasis) การขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะผิดปกติ ความผิดปกติของสะโพก ปวดขาด้านใน ความยาวของขาไม่เท่ากัน เดินช้าปวกเปียก ปวดชาต้นขาด้านนอก ปวดต้นขาด้านหน้า ปวดท้องบริ เวณกระเพาะอาหาร ปวดแน่นท้องส่วนบน ปวดท้องประจำเดือน ท้องอืด ท้องผูก อุจจาระร่วง ปวดเอวเนื่องจากมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากอักเสบ อาการฝันเปียก เป็นต้น สาเหตุของการเกิดโรคกระดูกคอเสื่อม 2. ได้รับบาดเจ็บ 3. ปัจจัยทางกายวิภาคของหมอนรองกระดูกที่ถือเป็นจุดอ่อน 4. ปัจจัยทางพันธุกรรม 5. ความผิดปกติแต่กำเนิดของกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ (lumbosacral) 6. ปัจจัยเสี่ยง สาเหตุและกลไกการเกิดโรคกระดูกคออเสื่อม การวินิจฉัยแยกกลุ่มอาการโรค ลิ้น พบบางและขาว 2. การอุดตันของชี่และเลือด ลิ้น บางและขาว ลิ้นหนา 3. ความเสื่อมของตับและไต ลิ้น บาง ปวดบริเวณลิ้น แนวทางการรักษาโรคกระดูกคอเสื่อม
|