The Yinyang Master: Dream Of Eternity Show สรุป หนังจีนแฟนตาซีดราม่า ดัดแปลงจากนิยายชุดองเมียวจิของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักว่าคือเรื่องของ อาเบะโนะ เซย์เมย์ ซึ่งเวอร์ชั่นจีนก็ทำออกมาได้สนุก ดูเพลิน และยังจงใจทำออกมาเพื่อขายสาววาย ที่มีพระเอกและพระรองให้จิ้นกันด้วย User Review4.17 (23 votes) Pros
Cons
The Yinyang Master Dream Of Eternity Netfix รีวิว หยินหยาง ศึกมหาเวทสะท้านพิภพ สู่ฝันอมตะ ภาพยนตร์จีนแฟนตาซีดราม่า ดัดแปลงจากต้นฉบับนิยายชุด องเมียวจิ ผลงานคลาสสิกชื่อดังของญี่ปุ่น โดยเวอร์ชั่นภาพยนตร์จีนชุดนี้ได้นักแสดงดังอย่าง จ้าวโหย่วถิง เติ้งหลุน เจสซี่หลี่ และ หวังจื่อเหวิน ร่วมแสดงนำ ภาพยนตร์เริ่มฉายลง Netflix ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พอดีกับการต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ถือว่าเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์จีนที่สร้างมาเพื่อฉายทาง Netflix โดยเฉพาะเป็นเรื่องแรก สามารถรับชมได้เลยครับ ตัวอย่าง The Yinyang Master Dream Of Eternity หยินหยาง ศึกมหาเวทสะท้านพิภพThe Yinyang Master Dream Of Eternity เรื่องย่อเรื่องราวย้อนไปในยุคสมัยโบราณกึ่งเทพตำนาน ในยุคที่ปีศาจยังมีชีวิตปะปนอยู่ในสังคมมนุษย์ เหล่าปรมาจารย์หยินหยาง (หรือองเมียวจิ) ต่างก็มีหน้าที่สำคัญในการฝึกวิชาคาถาอาคมเพื่อปราบปีศาจและป้องกันไม่ให้ปีศาจอสรพิษที่ร้ายกาจที่สุดหลุดออกมาสู่โลก ซึ่งในนครหลวง ที่มีผู้คนอาศัยคับคั่งที่สุดนั้น จะมีการทำพิธีสำคัญที่เชิญปรมาจารย์หยินหยางทั้งสี่สำนักใหญ่มาร่วมกันทำพิธีกรรม แต่ในครั้งล่าสุดกลับเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เมื่อ ฉิงหมิง (รับบทโดย จ้าวโหย่วถิง) หนึ่งในสี่ปรมาจารย์ได้เดินทางมานครหลวงและได้ร่วมสร้างมิตรภาพกับ ป๋อหย่า (รับบทโดย เติ้งหลุน) องครักษ์ของนครหลวงและเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ ถึงแม้ว่าบุคลิกนิสัยของพวกเขาจะแตกต่างกันสุดขั้วก็ตาม ต่อมาพวกเขากลับพบว่าหนึ่งในปรมาจารย์ถูกสังหารอย่างลึกลับ ทำให้พวกเขาต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาฆาตกรที่แฝงตัวอยู่ รวมถึงหาทางจัดการกับปีศาจร้ายที่ต้องการเล่นงานองค์จักรพรรดินีและองค์หญิง โดยต้องร่วมมือกับ ปรมาจารย์อีกสองคนคือ อาหลอ และ เฮ่โส่วเยว่ ที่แต่ละคนต่างก็ไม่สามารถไว้วางใจกันได้ แล้วบางคนยังมีความลับซุกซ่อนไว้อย่างคาดไม่ถึงด้วย The Yinyang Master Dream Of Eternity รีวิวสำหรับภาพยนตร์จีนแนวแฟนตาซีดราม่าเรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายแฟนตาซีญี่ปุ่นชื่อดัง เรื่อง “องเมียวจิ” (Onmyōji) เป็นผลงานของ บาคุ ยูเมะมาคุระ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 บอกเล่าเรื่องราวของ อาเบะ โนะ เซย์เมย์ ซึ่งเป็นองเมียวจิ ที่เวอร์ชั่นจีนใช้คำว่าปรมาจารย์จอมเวทย์หยินหยาง เขาเป็นองเมียวจิที่โด่งดังที่สุดในยุคเฮอัน ตามตำนานแล้ว ยังเป็นผู้มีพลังความสามารถในด้านวิชาเวทย์มนต์ คาถา และการอัญเชิญเทพและภูติรับใช้ให้มาช่วยในการต่อสู้และผนึกเหล่าปีศาจและวิญญาณชั่วร้าย แล้วยังเชื่อว่าเป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจจิ้งจอกด้วย ซึ่งผลงานชุดนี้ได้รับความนิยมมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษเลยทีเดียว แล้วกลายเป็นการสร้างภาพลักษณ์ขององเมียวจิที่เป็นมาตรฐานมาจนทุกวันนี้ ที่ผ่านมาเรื่องนี้มีการดัดแปลงไปหลายเวอร์ชั่น ทั้งแบบมังงะ อนิเมะ ซีรีส์ ละครเวที เกมมือถือ ซึ่งก็ได้สร้างภาพลักษณ์ให้กับองเมียวจิจนเป็นที่รู้จักบนหน้าสื่อไปทั่วเอเชียด้วย โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การดัดแปลงลงสู่เวอร์ชั่นเกมมือถือได้ส่งผลคือให้เกมองเมียวจิดังระเบิด โดยเฉพาะด้านดีไซน์คาแรคเตอร์ การออกแบบตะวัลครที่ถูกใจแฟนๆ แล้วสามารถต่อยอดสร้างจักรวาลขององเมียวจิได้อีกมาก ส่วนการดัดแปลงของเวอร์ชั่นจีนในครั้งนี้ ได้กลุ่มนักแสดงมาแรงอย่าง จ้าวโหย่วถิง เติ้งหลุน เจสซี่หลี่ และ หวังจื่อเหวิน มาร่วมแสดงนำ สำหรับบทบาทของตัวละครหลักที่ถูกดัดแปลงจากเวอร์ชั่นต้นฉบับญี่ปุ่น ซึ่งตัวละครเหล่านี้จะเป็นที่รู้จักสำหรับคอเกมมือถือและอนิเมะ ได้แก่ อาเบะ โนะ เซย์เมย์ จอมเวทย์องเมียวจิในตำนาน มาเป็น ฉิงหมิง ฮิโรมาสะ มาเป็น ป๋อหย่า คางุระ มาเป็น อาหลอ บิคุนิ มาเป็น องค์หญิงฟางเยว่ แต่ก็แนะนำว่า คนที่ติดภาพมาจากตัวละครเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ให้ลบภาพไปให้หมด เพราะคาแรคเตอร์ตัวละครในเวอร์ชั่นจีนจะมีบทบาทและความสัมพันธ์ที่แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นพอสมควร แต่เวอร์ชั่นจีนจะยังคงลักษณะสำคัญบางอย่างของตัวละครเอาไว้ เช่น ตำนานของ เซยเมย์ ที่เชื่อกันว่าเป็นลูกครึ่งมนุษย์และจิ้งจอก ก็ยังถูกเก็บไว้ในเวอร์ชั่นจีนด้วย แล้วก็เป็นปมสำคัญอันหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ตัวเอกคือฉิงหมิง (เซย์เมย์) ไม่ได้เกลียดชังพวกปีศาจมากนักเหมือนกับปรมาจารย์คนอื่น แถมยังชอบเอาปีศาจที่นิสัยดีหรือยอมรับตนมาเป็นภูติรับใช้อีกต่างหาก ตัวเรื่องมาแนวแฟนตาซี ดราม่า แอ็คชั่น แบบเต็มสูบ อะไรที่แฟนหนังจีนแนวนี้คาดหวังว่าจะได้ดู รับรองว่าได้ดูเกือบหมด แม้อาจจะมีบางอย่างที่ขัดใจไปบ้าง ส่วน CG กราฟฟิก สเปเชียลเอฟเฟคต่างๆอยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร ในส่วนของการเดินเรื่อง ค่อนข้างกระชับ ไม่ยืดเยื้อเกินไป แม้จะมีช่วงหนืดๆบ้างตอนกลางเรื่อง แต่ก็เป็นการเดินเรื่องที่มีความจำเป็น แล้วยังมีการผสมผสานแนวสืบสวนเข้าไปเล็กๆด้วย รวมถึงการสอดแทรกบทตลกแบบอมยิ้มได้ ทำให้หนังไม่ดราม่าเกินไป มีจุดที่อาจจะขัดใจคนดูผู้ชายอยู่บ้างในแง่ที่เรื่องนี้ดูเหมือนจงใจขายความจิ้นวายของพระเอกและพระรองของเรื่องมากไปหน่อย โดยหากไปย้อนดูต้นฉบับของเรื่ององเมียวจิดั้งเดิม ความสัมพันธ์ระหว่าง ฉิงหมิง (เซย์เมย์) และ ป๋อหย่า (ฮิโรมาสะ) จะเป็นแนวมิตรสหายที่มีความผูกพันลึกซึ้ง ให้อารมณ์แบบโบรมานซ์ ซึ่งพอดัดแปลงมาเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์จีนแล้ว จะพบว่าตัวเรื่องจงใจขายความจิ้นของคู่นี้อย่างสุดๆ แถมเคมีระหว่างนักแสดงนำชายทั้งสองคนก็เข้ากันแบบไม่น่าเชื่อซะด้วย แต่ตัวหนังก็ยังมีขายคู่นอร์มอลอื่นเหมือนกัน ทำให้เรื่องนี้สามารถดูได้ทั้งแฟนคลับผู้ชายและผู้หญิง รวมถึงเพศที่สาม เรียกได้ว่าจับตลาดทุกกลุ่มเลย ในแง่ของนักแสดง จ้าวโหย่วถิง และ เติ้งหลุน เป็นสองนักแสดงหนุ่มหน้าตาดีที่มีฝีมือน่าจับตามอง และมีเคมีที่ค่อนข้างเข้ากันสำหรับบทบาทในเรื่องนี้ ด้านนักแสดงคนอื่นก็ถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะ หวังจื่อเหวิน ที่แสดงได้ดีมากสำหรับบทบาทสำคัญในเรื่อง มีอยู่จุดหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือการดัดแปลงลักษณะขององเมียวจิ คือแม้ว่าภาพยนตร์เวอร์ชั่นจีนชุดนี้จะมีการปรับบทบาทของตัวละครไปมาก แต่ในแง่ของวัฒนธรรมและความเป็นองเมียวจิที่อยู่ในต้นฉบับญี่ปุ่นนั้น ตัวหนังกลับสามารถเก็บไว้ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นคอสตูมขององเมียวจิที่เปิดมาเป็นชุดแบบญี่ปุ่นมากกว่าของจีน ถึงแม้ว่าเมื่อเข้าเรื่องมา จะกลับมาเป็นชุดจีนอีก แต่พอถึงช่วงท้ายเรื่อง คอสตูมของตัวเอกก็กลับมาเป็นแนวองเมียวจิแบบญี่ปุ่นอีก รวมถึงไอเดียเรื่องวิชาเวทย์เคลื่อนย้ายสิ่งของที่เป็นเวทย์ถนัดของฉิงหมิง ก็ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ได้ดี แต่เรื่องวงเวทเคลื่อนย้ายก็กลายเป็นประเด็นดราม่าที่ผู้กำกับไปเอามาจากเรื่อง Dr.Strange ของ Marvel ซึ่งก็น่าจะทำให้เขาไม่ได้มากำกับเรื่องนี้ต่ออีก หากจะมีการสร้างภาคต่อสำหรับฉายใน Netflix ภายหลัง จุดด้อยอีกอย่างที่ดูเหมือนยังเป็นข้อด้อยแก้ไม่หายของหนังจีนแนวเทพเซียนและหนังจีนยุคใหม่ก็คือการแต่งหน้า ตัวละครแต่ละคนหน้ายังคงเนียนเกินไปหน่อย โอเคว่าอาจจะไม่ถึงขั้นแต่งหน้าลอยหรือหน้าขาววอกแบบที่หนังจีนยุคใหม่เป็นกัน แต่มันก็น่าจะทำออกมาให้ดูเรียลกว่านี้ สำหรับบทสรุปของหนัง และการเฉลยปริศนาสุดท้าย ก็ค่อนข้างลึกซึ้ง และถือว่าเคลียร์ได้หมด ไม่มีอะไรค้างคา แต่ตัวเรื่องเยิ่นเย้อกับช่วงบทเฉลยมากไปนิด เข้าใจว่าเพื่อต้องการให้คนดูได้ย้อนดูฉากตั้งแต่ต้นเรื่องในอีกมุมหนึ่ง ว่าทำไมตัวละครจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ จนเกิดเป็นเรื่องราวทั้งหมด ส่วนตอนจบก็มีการทิ้งเชื้อบางอย่างไว้ให้สามารถสร้างภาคต่อ หากินกันได้อีก ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่ Reference Website https://www.imdb.com/title/tt11454718/ |