สุขภาพจิตในวัยรุ่นมนุษย์มีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตได้ตั้งแต่เกิด และเมื่อยิ่งโตขึ้น ปัญหาและการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งเพิ่มและซับซ้อนขึ้น ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยก้ำกึ่งระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่คนๆ หนึ่งจะพัฒนาทักษะความสามารถ พร้อมกับค้นหาตัวตนและพื้นที่ในสังคมให้กับตัวเอง รวมถึง การเรียนรู้ผ่านการลองผิด-ลองถูกและลองเปลี่ยน ทั้งความคิด การกระทำ และรสนิยม เพื่อ “ตั้งหลัก” ให้กับตัวเอง หากวัยรุ่นไม่สามารถเรียนรู้
ทำความเข้าใจ หรือปรับตัว ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ อาจทำให้พวกเขารู้สึก “เสียหลัก” สูญเสียความมั่นใจในตนเอง กลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข เครียด วิตกกังวล และหากปล่อยภาวะด้านลบนี้ไว้โดยไม่ได้รับการแก้ไขที่เหมาะสม ก็อาจทวีความรุนแรงจนนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิต อาทิ โรคเครียด โรคซึมเศร้า หรือถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง Show ปัญหาสุขภาพจิตสุขภาพจิต คือ สภาวะทางจิตใจและอารมณ์ของคนที่เผชิญความท้าทายในการทำความเข้าใจ ปรับตัว
แก้ไขปัญหาในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง อย่างมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความมั่นคงทางจิตใจ และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์[1] ซึ่งอาจเทียบได้กับคำจำกัดความของ “ทักษะชีวิต” (Life Skills) ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ไว้ว่าเป็น ความสามารถของบุคคลที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆ รอบตัวในสภาพสังคมปัจจุบัน และเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต “อาการ” หรือ “โรค” [2]
โดยปกติแล้ว ลักษณะของอารมณ์เหล่านี้สามารถเป็นความรู้สึกธรรมดาๆ ที่มีกันในชีวิต มากน้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากสถานการณ์ได้คลี่คลายลง หรือได้รับความเข้าอกเข้าใจจากผู้อื่น อารมณ์นั้นๆ ก็จะหายได้ แต่หากเรามีอาการเหล่านี้ เป็นเวลานาน (เช่น เกิน 2 สัปดาห์สำหรับโรคซึมเศร้า) โดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น มีความเหวี่ยงของอารมณ์สูงขึ้น รวมทั้งมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่ตามมา เช่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือ มีคำพูดในเชิง “อยากจมอยู่บนเตียง ไม่ลุกขึ้นมา” จนกระทบต่อความสามารถในการแก้ไขปัญหาและการจัดการชีวิต นั่นคือไม่สามารถทำงานหรือมีแรงที่จะมีชีวิตอยู่ หากเป็นภาวะนี้ จะเข้าข่ายของ “โรค” สื่อถึงความผิดปกติในทางการแพทย์ จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ ให้สามารถทำให้คนที่ทุกข์ทรมานกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ สถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่นองค์การอนามัยโลกพบว่าหนึ่งในสี่ของคนทั่วโลกเคยประสบกับความผิดปกติทางจิต ช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ในปัจจุบัน คนไทยเป็นโรคทางจิตเวชสูงถึง 2.6 ล้านคน[3] โดยมีเด็กและเยาวชนไทยเป็นกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพจิตอันดับที่ 3 ตามหลังกลุ่มวัยทำงานและวัยสูงอายุ อย่างไรก็ดี เด็กและวัยรุ่นก็เป็นกลุ่มที่เราจะต้องให้ความสำคัญให้ตั้งหลักได้ เพราะนอกจากพวกเขาจะต้องจัดการอารมณ์ความรู้สึกเมื่อเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วแล้ว วัยรุ่นยังเป็นจะเติบโตมาเป็นกำลังสำคัญของสังคมที่มาแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมอีกด้วย ผลการสำรวจออนไลน์ของโครงการยูรีพอร์ต ประเทศไทย[4] ที่ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยรุ่น 2,692 ราย พบว่า วัยรุ่น 50% รู้สึกหดหู่ เศร้า สิ้นหวัง ท้อแท้ 70% รู้สึกเบื่อหรือทำอะไรไมสนุก ไม่เพลิดเพลิน และ 1 ใน 4 เคยคิดทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ข้อมูลนี้ สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ปี 2560 ที่ระบุว่า อัตราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าของวัยรุ่นไทย (อายุ 10-19 ปี) สูงถึง 18% คิดเป็นจำนวนประมาณ 1 ล้านคน โดยปัญหาอันดับต้นๆ ที่ทำให้วัยรุ่นแบกรับความเครียด กดดัน วิตกกังวล จนถึงป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น เกี่ยวข้องกับปัญหาการเรียน ปัญหาครอบครัวและความรัก ปัญหาจิตเภท[5] ซึ่งปัญหาทั้งหมดมีผลกระทบต่อตัวตนและคุณค่าที่วัยรุ่นให้ตัวเองทั้งสิ้น และกระตุ้นความคิดหรือความพยายามฆ่าตัวตาย ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวัน การฆ่าตัวตายอัตราการฆ่าตัวตายระหว่างปี 2559 – 2560 ในไทยนั้นมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้าร้อยละ 50 คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์กว่า 400 ล้านบาท[6] โดยกลุ่มเยาวชนอายุ 20-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายที่ 5.33 คนต่อประชากรแสนคน ในปี
2561[7] ปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตปัญหาสุขภาพจิตนั้นมีความซับซ้อน เพราะเกิดจากหลายปัจจัยทับซ้อนกัน จึงยากจะระบุสาเหตุเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับการรักษาปัญหาสุขภาพจิตที่มักจะไม่สามารถแก้ได้ที่จุดใดจุดหนึ่ง จาก Biopsychosocial Model of Mental Health[8] เราสามารถแยกปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต (ทั้งด้านบวกและลบ) เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ปัจจัยทางชีววิทยา (Biological) ปัจจัยทางสังคม (Social) และปัจจัยจิตใจ (Psychological) ที่มา Biopsychosocial Model, George Engel (1977) ปัญหาสุขภาพจิต จากสารสื่อประสาทในสมอง โรคจิตเภท รวมถึงความพิการ เป็นสิ่งที่สามารถถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาตั้งแต่เกิด เด็กคนไหนมีพ่อแม่ที่เป็นโรคเครียด มีโอกาสที่จะเป็นโรคเครียดสูงกว่าเด็กคนอื่น แต่ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีต้นทุนมาอย่างไร มนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคมที่พึ่งพาผู้อื่นในด้านอารมณ์และด้านพฤติกรรม สภาพสังคมที่เด็กและเยาวชนเติบโตมาจึงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทักษะที่ทำให้จิตใจเข้มแข็ง ตั้งแต่ครอบครัว เพื่อน คนรัก และสังคมภายนอกที่หล่อหลอมเราไว้ โดยจะมีรายละเอียดและข้อมูลที่น่าสนใจด้านล่าง และสุดท้าย คือผลกระทบจากประสบการณ์สะเทือนใจรุนแรง อย่างการถูกกระทำความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน หรือการจากไปของคนใกล้ชิด หากรับมือและก้าวผ่านไม่ได้ก็ทำให้ก่อปัญหาสุขภาพจิตเช่นกัน ครอบครัวการเลี้ยงดูของครอบครัว[9]สภาพครอบครัวเป็นสังคมที่หล่อหลอมเด็กอย่างเลือกไม่ได้ ซึ่งการเลี้ยงดูของครอบครัวนั้นส่งผลโดยตรงต่อลักษณะนิสัย ตัวตน และทักษะการเข้าสังคมและการจัดการอารมณ์ของเด็ก โดยเด็กจะค่อยๆ สะสมสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
นักจิตวิทยา Diana Baumrind ได้ศึกษารูปแบบวิธีเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และพบว่าการเลี้ยงลูกแบบควบคุม (Authoritarian) มักส่งผลให้เด็กเกิดปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งผู้ปกครองเหล่านี้มักเข้มงวด ไม่ให้อิสระ ใช้คำสั่งกับลูก และคาดหวังในตัวลูกสูงมาก โดยไม่ให้โอกาสในพูดคุยหรือแสดงความคิดเห็น มักจะวางแผนชีวิตให้ลูกพร้อมกับจัดแจงให้ทุกอย่างเป็นไปตามนั้น และหลายครั้งก็ลงมือทำและแก้ปัญหาแทนลูก เพราะไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด เมื่อพ่อแม่ไม่ไว้ใจให้เด็กได้ลองผิดลองถูกกับชีวิตที่ควรจะเป็นไปตามพัฒนาการของวัย หรือปล่อยจนเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ จะส่งผลให้เกิดความกดดัน ตึงเครียด รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัว ไม่รู้จักตัวเอง ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่ดีพอหรือไม่พอใจกับสิ่งที่มี ไม่กล้าตัดสินใจ และแม้กระทั้งไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำให้เด็กหลายคนเริ่มต้นชีวิตโดยไม่มีความสุขและขาดการเรียนรู้จากการไม่ได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ขณะที่การเลี้ยงดูแบบตามใจ (Permissive) ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตได้จากการที่ผู้ปกครองปล่อยให้เด็กทำตามใจตัวเองมากเกินไป ด้วยความหวังดีที่อยากให้ลูกรู้สึกว่าถูกรักและเป็นคนสำคัญ เวลามีปัญหาก็มักจะให้ท้ายลูก ทำให้ลูกของพ่อแม่กลุ่มนี้ไม่มีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ เมื่อพบกับความท้าทายในการยอมรับความจริง และเรียนรู้จากความผิดของตัวเอง ความสัมพันธ์ในครอบครัว ครอบครัวไม่อบอุ่น ก็กระตุ้นให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบ้านที่ขาดการสื่อสารที่ดี และมีสิ่งกระตุ้นอื่นๆ เช่น ปัญหาการเงิน (เด็กที่ครอบครัวมีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำ
มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า[11]) ความเจ็บป่วย ความบกพร่องในหน้าที่ของคนในครอบครัว การขาดความเอาใจใส่ในครอบครัว สิ่งเสพติด ฯลฯ ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งและใช้ความรุนแรง ทั้งด้านคำพูดและการกระทำ ซึ่งเด็กก็มักจะเป็นผู้ที่ถูกกระทำอยู่บ่อยครั้ง ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าหากไม่มีการยอมรับ พูดคุยกัน ทำความเข้าใจ และช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ยิ่งเวลาผ่านไป เด็กจะยิ่งออกห่างจากครอบครัวไปอยู่นอกบ้าน เสี่ยงต่อการเข้าถึงปัญหาสังคมอื่นๆ เช่น ติดเกม ยาเสพติด กลุ่มแกงค์ ท้องไม่พร้อม อาจขาดโอกาสหรือติดสินใจใช้ชีวิตแบบผิดๆ ส่วนความสัมพันธ์ของครอบครัวก็อาจจะขาดลง เพื่อน‘เพื่อน’ มีความหมายที่ลึกซึ้งสำหรับวัยรุ่น เป็นสิ่งสะท้อนตัวตนของตัวเอง เป็นผู้ที่มีอิทธิพล ทั้งด้านการกระทำ รสนิยม ความคิด จนในหลายๆ ครั้ง เพื่อนก็ดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญมากกว่าพ่อแม่ในช่วงวัยนี้ เพราะมักจะเป็นคนแรกๆ ที่วัยรุ่นจะเลือกพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ช่วยกันก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคต่างๆ และใช้เวลาอยู่ด้วยในช่วงวัยนี้ หากมีกลุ่มเพื่อนที่ดีและเข้ากับตัวเองจะทำให้วัยรุ่นมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเผชิญปัญหาก็รู้สึกอุ่นใจและสามารถพูดคุยปรึกษากับเพื่อนได้ ในทางกลับกัน ก็มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเพื่อน ยิ่งในยุคที่เด็กและวัยรุ่นโตมากับ smart devices ที่มีแอพเกมและโซเชียลมีเดียแก้เหงา และโดยเฉพาะในยุคที่การเลี้ยงคนหนึ่งคนให้เติบใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูง ประเทศไทยจึงเริ่มนิยมการมีลูกคนเดียวกันมากขึ้น (อัตราการเกิด ปี 2562 อยู่ที่ 1.54 คน[12]) เด็กจำนวนมากจึงไม่มีทักษะทางสังคม เช่น การแบ่งปันกับคนอื่น ทักษะการฟัง การทำงานร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่าง เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับเพื่อนมักจะไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกผิดแปลก มักรู้สึกว่าตัวเองเหนือหรือต่ำกว่าคนอื่น มักไม่เท่าทันโลก อาจมีพฤติกรรมความรุนแรง ยาเสพติด นอกจากนี้ ยังมีการกลั่นแกล้ง รังแก (Bully) กันในเด็ก[13] เกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยอนุบาล[14] เกิดจากการที่การขาด self-esteem ที่ผู้ใหญ่ โรงเรียน สังคมให้ค่ากับการเรียนดีเป็นหลัก ทำให้คนที่ถนัดด้านอื่นไม่มีพื้นที่ และต้องการสร้างตัวตน สร้างอำนาจ (empower) ให้กับตัวเองแบบผิดๆ ด้วยการเลือกคนที่สามารถแกล้งได้หรือคนที่คิดว่าต่ำกว่า ยิ่งแกล้งแรง คนแกล้งยิ่งรู้สึกยิ่งใหญ่ จนเป็นวงจรและลำดับสถานะสังคมในโรงเรียนที่เห็นได้แทบทุกห้องเรียน หากไม่มีการแก้ไข เด็กที่ถูกแกล้งก็จะค่อยๆ ลดคุณค่าในตัวเองลง เกิดภาวะซึมเศร้า และอาจร้ายแรงจนฆ่าตัวตาย ซึ่งข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกว่าประเทศไทยติดอันดับ 2 ของโลก ในเรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน หรือการ bully และพบปัญหาเด็กถูกรังแกในสถานศึกษามากถึงปีละ 600,000 คน ทั้งนี้ ยังไม่รวมการกลั่นแกล้งบนอินเตอร์เน็ต (cyber-bully) แฟน คนรักแฟนเป็นอีกรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตรักของวัยรุ่นสมัยใหม่ง่ายแต่ฉาบฉวย เร็วขึ้น หากเด็กไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ที่ดี (healthy relationship) รวมถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์ และอาจมีต้นทุนในทักษะการสื่อสารที่ไม่ดีนักทำให้วัยรุ่นผิดหวัง เสียใจได้ง่าย เมื่อบวกกับแรงกดดันจากภายนอก เช่น บ้านที่ไม่อบอุ่น หรือค่านิยมผิดๆ ในหมู่วัยรุ่น เช่น การมีแฟนหรือการมีแฟนจำนวนเยอะๆ คือการเติมเต็มคุณค่าให้ตัวเอง จะยิ่งทำให้วัยรุ่นมีความสัมพันธ์โดยขาดความเข้าใจ เช่น ผูกความสุขไว้กับการมีแฟน และมีจำนวนหนึ่งที่ใช้การฆ่าตัวตายผูกมัดไม่ให้อีกฝ่ายเลิกรา หากไม่มีเครื่องมือในการมองและมีความสัมพันธ์ที่ดี และระบบสังคมรองรับและให้การสนับสนุน หากวัยรุ่นพลาดล้ม (Safety net) ที่ดี จะเพิ่มความเสี่ยงด้านความเครียด ซึมเศร้า พฤติกรรมเกเร และเสี่ยงท้องไม่พร้อม หรือติดโรคติดต่อทางเพศ จากการสำรวจความสุขและทัศนคติวัยรุ่นต่อวันวาเลนไทน์ ปี 2561 พบว่า 41% ของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียน อายุ 11-19 ปี จากโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2,100 คน เคยมีแฟนมาแล้ว โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ ผูกความสุขของตนเองไว้กับการมีแฟน เพราะคิดว่ามีแฟนแล้วจะไม่เหงา รู้สึกเติมเต็ม และเมื่อรู้สึกไม่สบายใจหรือทะเลาะกับแฟน จะอยู่เงียบๆ คนเดียว แก้ไขปัญหาที่ตนเอง หรือพูดระบายกับเพื่อน สังคมออนไลน์เด็กรุ่นใหม่เกิดมาในยุคที่ smart devices และอินเตอร์เน็ตเข้าถึงแทบทุกคนทุกพื้นที่ สื่อสังคมออนไลน์จึงเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของวัยรุ่นไม่ต่างจากสังคมแวดล้อมกายภาพ พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย (social media) ของวัยรุ่นคือการมีเพื่อน การหาพื้นที่ และการยอมรับให้กับตัวเองตามปกติ เพียงแต่การเข้าสังคมนี้เกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ตเท่านั้น อย่างไรก็ดี การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปอาจส่งผลเสีย เช่น ทักษะการเผชิญหน้าในโลกความจริงน้อยลง ขาดความเข้าใจในตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลงเพราะถูกขโมยเวลาและยังส่งผลให้ระดับสติปัญญาของเด็กวัยรุ่นลดลง เช่น ลดความสามารถของความจำและสมาธิ การวางแผนการตัดสินใจ เป็นต้น[15] เมื่อดูผลสำรวจของสถาบันสุขภาพจิตละวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่า เด็กไทยติดโซเชียลมีเดียมากกว่า 2.7 ล้านคน นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศที่ใช้เวลาเล่นสื่อออนไลน์ เกมออนไลน์ และพูดคุยผ่าน LINE และ Facebook สูงที่สุดในโลก คิดเป็นเวลาเฉลี่ยในโลกออนไลน์ 9 ชั่วโมง 38 นาทีต่อวัน และมีจำนวนแอคเคาท์เยอะติดอันดับโลก[16] การเรียนอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นคือ ระบบการศึกษาที่มีการแข่งขันสูง และมีค่านิยมว่าเด็กที่ดีคือเด็กที่เรียนเก่ง หรือต้องสามารถสอบเข้าในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงหรือสายการเรียนที่สังคมให้ค่าได้ เด็กจึงอยู่ในสภาวะกดดัน ด้วยความรู้สึกว่าต้องเก่งเสมอและแข่งขันกับเพื่อนอยู่ตลอดเวลา จนไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ อีกทั้ง ก็ยังไม่เหลือช่องว่างให้เล่น หรือสนุกกับการเรียน และมีนักเรียนนักศึกษาจำนวนมากที่เรียนดีแต่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือเรียนไปทำไม นอกจากนี้ ยิ่งชั้นปีที่สูง ยิ่งพบภาวะซึมเศร้ามาก เพราะการเรียนท้าทายมากขึ้นทุกชั้นปี หากไม่มีพื้นฐานที่ดีก็จะยิ่งเครียดเพราะเรียนไม่ไหว ไม่ทันเพื่อน จากผลศึกษาพบว่าในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีนิสิตพยายามฆ่าตัวตายร้อยละ 6.4 ของนิสิตทั้งหมด[17] ค่าใช้จ่ายในการเรียนนั้นก็เป็นอีกส่วนที่เพิ่มความกดดันที่วัยรุ่นแบกรับจากความคาดหวังผลตอบแทนของพ่อแม่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประมาณค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงปริญญาตรี ของสถาบันการศึกษาของรัฐบาลตลอดจะมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ที่ 1.6 ล้านบาท สถาบันการศึกษาเอกชน 4.0 ล้านบาท และสถาบันการศึกษานานาชาติ จะมีค่าใช้จ่ายที่ 20.1 ล้านบาท [18] โดยทั้งหมดนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายกวดวิชา เรียนเสริมต่างๆ เข้าทำงานในช่วงที่พวกเขาเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่วัยทำงาน เรามักจะเห็นปัญหาสุขภาพจิตที่ทับถมมานานระเบิดในช่วงนี้
(ตั้งแต่การเลี้ยงดูในวัยเด็กที่ทำให้ไม่มั่นใจ สมาธิสั้น การแข่งขันกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน การยึดติดความสุขและคุณค่าไว้กับแฟน การหาพื้นที่ให้กับตัวเองทั้งสังคมทางกายภาพและออนไลน์ และการเรียนที่เน้นเกรดดีแต่ไม่มีเป้าหมายไม่มีความสุข) ทำให้วัยรุ่นในวัยที่ความรับผิดชอบมาอยู่ที่ตัวเองเกือบทั้งหมด ทั้งการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคต การเงิน ผลงาน สายอาชีพ การหาหลักให้ตัวตนของตัวเอง บทบาทที่เปลี่ยนไปกับสังคมในวัยเด็ก และการปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ ผลของความเครียดก่อให้เกิดปัญหาการนอน (นอนไม่หลับหรือนอนมาก) หงุดหงิด ว้าวุ่นใจ เบื่อเซ็ง สมาธิน้อยลง รวมถึงมีความรู้สึกไม่อยากพบผู้คน ซึ่งเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตทั้งหมด การเยียวยา-รักษาปัจจุบัน สังคมให้ความสนใจกับปัญหาสุขภาพจิต ทำให้เรามีข้อมูลและสามารถทำแบบทดสอบสำหรับประเมินตนเองในเบื้องต้นง่ายๆ บนอินเตอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม การคัดกรองนี้ก็สามารถเป็นดาบสองคมที่ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ป่วยจริงๆ คิดว่าตนเองเป็นโรคและเข้ารับการรักษา ในทางกลับกัน หากผู้ป่วยที่ไม่ยอมรับตนเองก็สามารถใช้แบบผลทดสอบเป็นการต่อเวลาไม่เข้ารักษาที่เหมาะสมได้ หลายคนอาจจะนึกถึงจิตแพทย์ (Psychologist) เมื่อต้องการความช่วยเหลือ แต่ในความเป็นจริง ยังมีบริการที่ช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพจิตได้หลากหลายรูปแบบ คือ นักจิตวิทยา (Psychologist) ที่ปรึกษา (Professional Counselor) นักบำบัด (Therapist) ขึ้นอยู่กับอาการและความพอใจ ซึ่งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพสามารถเลือกเข้าไปรับคำปรึกษาและรักษาได้ จากผลการสำรวจ พบว่า 87% ของผู้ตอบรับการสำรวจ U Report[20] ที่ระบุว่ามีปัญหาสุขภาพจิตกล่าวว่า ตนเองไม่เคยได้รับบริการสุขภาพจิตจากหน่วยงานใด แน่นอนสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากตัวผู้ป่วยที่ไม่กล้าไปพบแพทย์เพราะกลัวถูกมองว่าเป็นบ้า แต่อีกส่วนหนึ่งคือบุคลากรสุขภาพจิตนั้นยังขาดแคลนอยู่มาก ปัจจุบัน จิตแพทย์ทั่วประเทศมีจำนวนเพียง 675 คน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่น่าจะเป็นประมาณ 2 เท่า คือ 1,319 คน (ตามอัตราเฉลี่ยจิตแพทย์ 2 คนต่อประชากร 1 แสนคน) รวมทั้ง จำนวนพยาบาลจิตเวช ที่มีเพียง 3,422 คน ต่ำกว่าเกณฑ์หลายเท่าตัว โดยเฉพาะพยาบาลจิตเวชสำหรับเด็กและวัยรุ่น (คิดจากค่าเฉลี่ยพยาบาลจิตเวช 7.1 คนต่อประชากร 1 แสนคน) ซึ่งปัจจุบัน กรมสุขภาพจิตกำลังเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและการกระจายตัวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยหวังว่าจะทำให้ผู้ป่วยโรคจิตเวชมีโอกาสเข้าถึงบริการได้มากกว่าเดิม แนวทางการแก้ปัญหาที่น่าสนใจทั้งในและต่างประเทศ1. มูลนิธิพื้นที่ปัญญ์รัก โรงเรียนพ่อแม่ลูก 2. ทักษะชีวิต รหัสครูศตวรรษที่ 21 R (Reflect): ตั้งคำถามเพื่อให้นักเรียนสะท้อนความรู้สึกหรือมุมมองของตน 3. Wall of Sharing, OOCA จากประสบการณ์ทำงาน Ooca เห็นว่ามีโอกาสในการทำงานร่วมกับกลุ่มเยาวชนที่กำลังเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตที่มีจำนวนกว่า 7 ล้านคน และอาจไม่กล้าคุยกับครอบครัวเพราะกลัวจะเป็นหนักกว่าเก่า แล้วจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็มีไม่พอ ต้องติดต่อ รอคิวนาน ทำให้ไม่สะดวก ยุ่งยาก หรือซ้ำเติมความอาย จึงขยายช่องทางใหม่สำหรับนักศึกษาได้เข้าถึงบริการเหล่านี้ในราคาย่อมเยาลง เกิดเป็นกำแพงพักใจ Wall of Sharing ปัจจุบัน ผู้ปรึกษาสามารถนัดและพบแพทย์ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องเดินทางออกนอกบ้านและมีความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น ทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้ถึง 76% 4. การเฝ้าระวังคอนเทนต์ทำร้ายตัวเอง บน IG และ Facebook เฟซบุ๊กจึงได้พัฒนาเครื่องมือสำหรับช่วยระงับเหตุการฆ่าตัวตายที่ใช้บนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กมาแล้วกว่า 10 ปี และถูกพัฒนาร่วมกับหน่วยงานด้านสุขภาพจิตมากกว่า 50 แห่งทั่วโลก ด้วยการให้ข้อมูลจากกลุ่มบุคคลที่เคยผ่านประสบการณ์การคิดฆ่าตัวตายมาก่อน ปัจจุบัน
เฟซบุ๊กและอินสตาแกรมได้เพิ่มมาตรการในการตรวจจับและเฝ้าระวังไม่อนุญาตให้มีการปล่อยคอนเทนต์ไลฟ์สดคอนเทนต์ที่มีความรุนแรงและการฆ่าตัวตาย โดยรับแจ้งข้อมูลจากผู้ใช้รายอื่นที่กดรีพอร์ตเข้ามา และมอนิเตอร์ไลฟ์สดที่ได้รับความนิยมแม้จะไม่มีใครแจ้งเข้ามา
รวมทั้งการลบคอนเทนต์ความรุนแรงทุกรูปแบบเมื่อได้รับแจ้งตลอด 24 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่ภาคชุมชนของเฟซบุ๊ก (Community Operations Team) กว่า 15,000 คนทั่วโลก รวมถึง Machine Learning เช่น การตั้งคำถามง่ายๆ ว่าให้ช่วยอะไรไหม ก่อนเข้าสู่เนื้อหาความรุนแรงที่ผู้ใช้ค้นหา พร้อมแนะนำวิธีช่วยเหลือเช่น ติดต่อเพื่อน พูดคุยกับสายด่วน หรืออ่านความรู้ในการช่วยเหลือตนเอง ช่องว่างและโอกาสในการแก้ไขปัญหาการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้จิตใจเยาวชนและวัยรุ่นแข็งแรง ตระหนักรู้คุณค่าของตนเอง เข้าใจและปรับเปลี่ยนความคิด มีความยืดหยุ่นได้ตามสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมยังขาดแคลนอยู่มาก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
อ่านเพิ่มเติม
อ้างอิง[1] รวบรวมจาก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ รายงานการวิจัยการทบทวนองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิต |