หัวใจ เป็นอวัยวะชุดแรกที่เริ่มพัฒนาตั้งแต่ 4 สัปดาห์แรกของทารกในครรภ์ โดยจะพัฒนาต่อเนื่องอย่างรวดเร็วไปตลอด 2 สัปดาห์ ซึ่งช่วง 6 สัปดาห์นี้เองที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ชื่นชมหัวใจของลูกน้อยผ่านการอัลตร้าซาวด์ ซึ่งช่วงนี้เป็นระยะที่ตัวอ่อนสามารถได้รับเชื้อโรคได้ง่าย เช่น เบาหวาน และหัดเยอรมัน ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่คุณแม่ควรให้ความใส่ใจดูแลเรื่องความสะอาด อาหาร รวมถึงควันบุหรี่ และการได้รับยาบางชนิดที่อาจส่งผลต่อความพิการของหัวใจได้ ทางการแพทย์จะเปลี่ยนการเรียกตัวอ่อนเป็นทารกเมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในสัปดาห์ที่ 10 โดยหัวใจของทารกเริ่มมีโครงสร้างที่สมบูรณ์ เวลานี้เองที่นอกจากการได้เห็นร่างกายของทารกครบทุกส่วนแล้ว ยังจะได้ยินเสียงหัวใจของทารกผ่านเครื่องมือฟังเสียงหัวใจทารกที่เรียกว่า (Doppler sound wave stethoscope) โดยเสียงหัวใจทารกปกติมีความเร็วประมาณ 160 ครั้งต่อนาที แต่หากเทียบกับการเต้นของหัวใจผู้ใหญ่จะถือว่าเต้นเร็วมาก และเมื่ออายุครรภ์เข้าสู่สัปดาห์ที่ 12 การเต้นของหัวใจของทารกจะค่อยๆ ลดลง จนถึงการตั้งครรภ์ช่วง 28 – 38 สัปดาห์ หัวใจทารกจึงพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์ การตั้งครรภ์ในผู้ป่่วยโรคหัวใจอ.นพ.สุนทร ม่วงมิ่งสุข เนื่องจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหัวใจได้รับการรักษาที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น จากทารกไปเป็นเด็กโต จากเด็กโตเป็นวัยรุ่น และจากวัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่ เข้าสู่วัยทำงาน และหวังที่จะมีชีวิตที่ดีเหมือนคนปกติทั่วไป อยากเรียนหนังสือ อยากเล่นกีฬา อยากมีเพื่อน อยากมีครอบครัว อยากมีบุตรที่น่ารัก และอยากมีความมั่นคงในชีวิตทั้งของตนเองและครอบครัว แต่ด้วยความที่ตนเองมีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัวตั้งแต่เกิด ก็จะทำให้การดำเนินชีวิตอาจจะแตกต่างจากคนรอบข้างได้บ้าง การตั้งครรภ์ เมื่อมีการตั้งครรภ์ โดยปกติร่างกายของมารดาจะมีปริมาณโลหิตเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 50% ในกลางไตรมาสที่ 2 หัวใจต้องสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้นและยังมากขึ้นไปอีกในขณะคลอด ปริมาณโลหิตและการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ จะกลับมาเป็นปกติประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด ผู้ป่วยโรคหัวใจ หัวใจต้องทำงานหนักกว่าคนปกติอยู่แล้ว เมื่อตั้งครรภ์ หัวใจยิ่งต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลวลงไปกว่าเดิม ดังนั้นการที่ผู้ป่วยโรคหัวใจปรารถนา จะมีบุตรควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน ต่อไปนี้เป็นเพียงหลักเกณฑ์ทั่วไป ที่อาจจะใช้พิจารณาว่าผู้ป่วยจะสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ผู้ป่วยโรคหัวใจที่สามารถตั้งครรภ์ได้ 1. ลิ้นหัวใจรั่วไม่มาก และมีการบีบตัวของหัวใจเป็นปกติ 2. ลิ้นหัวใจตีบไม่มาก 3. ผนังหัวใจรั่วขนาดเล็กหรือขนาดปานกลางทำให้มีเลือดจากหัวใจห้องซ้ายไหลมายังหัวใจห้องขวา โดยที่มีความดันโลหิตในปอดเป็นปกติ 4. ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติแต่กำเนิดในการนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้ามาก (congenital complete heart block) 5. ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแต่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขแล้ว หัวใจปกติดี ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีความเสี่ยงต่อมารดาและบุตรเมื่อมีการตั้งครรภ์ 1. ผู้ป่วยที่มีการบีบตัวของหัวใจผิดปกติ 2. ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตในปอดสูง 3. ผู้ป่วยโรคหัวใจชนิดเขียว 4. ผู้ป่วยที่มีหัวใจข้างซ้ายผิดปกติจากการตีบตัน (left sided heart obstruction) 5. ผู้ป่วยมาร์แฟนซินโดรม (Marfan syndrome) ซึ่งจะมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของร่างกายทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่ของร่างกายขยายตัวและอาจมีลิ้นหัวใจรั่วได้ 6. ผู้ป่วยที่มีการเต้นของหัวใจผิดปกติอย่างร้ายแรง ผู้ป่วยโรคหัวใจที่แนะนำให้ทำแท้งถ้ามีการตั้งครรภ์เนื่องจากมีอันตรายต่อมารดา 1. ความดันโลหิตในปอดสูงมาก 2. หัวใจวายอย่างมาก (class III & IV) ออกแรงนิดหน่อย หรืออยู่เฉย ๆ ก็เหนื่อย 3. มีการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายผิดปกติอย่างมาก 4. ผู้ป่วยมาร์แฟนซินโดรม (Marfan syndrome) ซึ่งมีหลอดเลือดแดงใหญ่ขยายตัวผิดปกติ
ปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่หญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวัง คือ โรคหัวใจ เพราะคุณแม่ที่เป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วย่อมเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากโรคหัวใจ หรือแม้กระทั่งคุณแม่ที่มีสุขภาพดีทั่วไปก็อาจได้รับผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนพร้อมคลอด ดังนั้น คุณแม่ทั้งหลายจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ รวมทั้งเรียนรู้วิธีป้องกันและดูแลตนเองด้วย เพื่อความปลอดภัยในการตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์กับโรคหัวใจเกี่ยวข้องกันอย่างไร ? เมื่อตั้งครรภ์ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายจะปรับตัวเพื่อให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือดที่จะทำงานหนักขึ้นเพื่อขนส่งออกซิเจนและสารอาหารที่สำคัญไปให้ทารกได้อย่างเพียงพอ โดยความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระบบหัวใจที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ มีดังนี้
นอกจากนี้ การคลอดลูกก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เนื่องจากการออกแรงเบ่งคลอดจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดและความดันโลหิต ซึ่งหลังคลอดอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าหัวใจและหลอดเลือดของคุณแม่จะกลับมาทำงานเป็นปกติ และในบางรายก็อาจกลายเป็นปัญหาอย่างถาวรที่ต้องได้รับการรักษาต่อไป ใครบ้างที่เสี่ยงต่อโรคหัวใจในขณะตั้งครรภ์ ? โดยทั่วไป สตรีมีครรภ์มีโอกาสเกิดโรคหัวใจขณะตั้งครรภ์ได้ แต่จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังต่อไปนี้
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหัวใจเสี่ยงต่อภาวะใดได้บ้าง ? หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วจะยิ่งเสี่ยงมีอาการของโรคหัวใจกำเริบ หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์ โดยภาวะผิดปกติที่พบได้บ่อย มีดังนี้
โรคหัวใจขณะตั้งครรภ์ รับมืออย่างไร ? การเกิดโรคหัวใจขณะตั้งครรภ์สามารถรับมือได้ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกาย โดยหากมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอยู่ก่อนแล้ว คุณแม่อาจต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษทั้งในช่วงก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากโรคหัวใจบางชนิดอาจทำให้คนท้องเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้สูง อย่างไรก็ตาม โรคหัวใจและหลอดเลือดบางชนิดอาจไม่แสดงอาการจนกว่าจะตั้งครรภ์ ซึ่งในกรณีนี้ คุณแม่และคนใกล้ชิดจะต้องคอยระมัดระวังสุขภาพครรภ์ให้มาก เพราะหากมีอาการรุนแรงขึ้น อาจทำให้ทารกในครรภ์และตัวคุณแม่เองเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดเสมอ โดยแพทย์อาจนัดมาตรวจสุขภาพบ่อยกว่าหญิงตั้งครรภ์คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไม่มีความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ทั้งนี้ คุณแม่ควรดูแลสุขภาพตัวเองตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหัวใจและมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา การใช้ยาอาจส่งผลกระทบต่อทารกได้ ดังนั้น ต้องพูดคุยปรึกษากับแพทย์เพื่อพิจารณาประโยชน์และผลเสียที่จะได้รับจากการใช้ยาดังกล่าวด้วย หากต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แพทย์จะให้ใช้ยาในปริมาณที่ปลอดภัยและส่งผลดีต่อการรักษามากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามรับประทานมากหรือน้อยกว่าที่กำหนด รวมทั้งห้ามหยุดใช้ยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทั้งแม่และเด็กได้ โรคหัวใจขณะป้องกันได้อย่างไร ? โรคหัวใจขณะตั้งครรภ์มีวิธีควบคุมความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยผู้หญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์และอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเกิดโรคหัวใจสูงควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้แพทย์วางแผนและให้คำแนะนำในการดูแลตนเองตั้งแต่ช่วงก่อนและระหว่างการตั้งครรภ์อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ คุณแม่ควรเตรียมพร้อมร่างกายก่อนตั้งครรภ์ด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เลิกสูบบุหรี่ และควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อช่วยให้คุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง และลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ |