สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อราวปลาย พ.ศ. ๒๓๕๓ โดยเล่าถึงการเดินทางเพื่อไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่เมืองกรุงเก่าหรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน หลังจากจำพรรษาอยู่ที่วัดราช-บุรณะหรือวัดเลียบ นิราศ นิราศเรื่องแรกของไทยนั้น ได้แก่ โคลงนิราศหริภุญชัย เนื้อหาของนิราศส่วนใหญ่มักเป็นการคร่ำครวญของกวี ต่อ สตรีอันเป็นที่รัก เนื่องจากต้องพลัดพรากจากนางมาไกล อย่างไรก็ตาม นางในนิราศที่กวีพรรณนาว่าจากมานั้นอาจมีตัวตนหรือไม่มีก็ได้ แต่กวีส่วนใหญ่ถือว่านางเป็นที่รักเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อให้กวีแต่งนิราศได้ไพเราะแม้ในสมัยหลังกวีอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการคร่ำครวญถึงนาง แต่เน้นที่การบันทึกระยะทางการเดินทาง ลักษณะคำประพันธ์ แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกลอนนิราศซึ่งมีลักษณะคล้ายกลอนสุภาพแต่มีความแตกต่างกันตรงที่กลอนนิราศจะแต่งขึ้นต้นเรื่องด้วยกลอนวรรครับและจะจบลงด้วยคำว่า”เอย” เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา รับกฐินภิญโญโมทนา ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย ................................ ................................ จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น อย่านึกนินทาแถลงแหนงไฉน นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย เรื่องย่อ สุนทรภู่เริ่มเรื่องด้วยการปรารภถึงสาเหตุที่ต้องออกจากวัดราชบุรณะและการเดินทางโดยเรือพร้อมหนูพัดซึ่งเป็นบุตรชาย ล่องไปตามลำน้ำเจ้าพระยาผ่านพระบรมมหาราชวัง จนมาถึงวัดประโคนปัก ผ่านโรงเหล้า บางจาก บางพลู บางโพ บ้านญวน วัดเขมา ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ บางธรณี เกาะเกร็ด บางพูด บ้านใหม่ บางเดื่อ บางหลวง เชิงราก สามโคก บ้านงิ้ว เกาะใหญ่ราชคราม จนถึงกรุงเก่าเมื่อเวลาเย็น โดยจอดเรือพักที่ท่าน้ำวัดพระเมรุ ครั้นรุ่งเช้าจึงไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองส่วนขากลับ สุนทรภู่กล่าวแต่เพียงว่า เมื่อถึงกรุงเทพ ได้จอดเทียบเรือท่าน้ำหน้าวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เนื้อเรื่องนิราศภูเขาทอง ๑. ๏เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา ๑. ถึงเดือน ๑๑ ซึ่งออกจากการจำพรรษาแล้ว เมื่อรับกฐินอย่างยินดีเสร็จแล้ว ก็ต้องลงเรือไปด้วยความเศร้าโศก ออกจากวัดก็มองดูวัดที่เคยอาศัย เมื่อปีที่ผ่านมาได้อยู่อาศัย อีกทั้ง ๓ ฤดูที่อยู่มาก็ไม่มีอะไรมากวนใจ อีกทั้งวัดราชบุรณะพระวิหารนี้คงอีกนานกว่าจะได้มาเห็น นึกแล้วเศร้าใจยิ่งนักทั้งนี้เป็นเพราะมีคนพาลมารังแกใส่ร้าย คิดจะนำผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือท่านก็ไม่มีความยุติธรรม จึงต้องอำลาวัดไปจนต้องมาอ้างว้างอยู่กลางสายน้ำ ๒.๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น ๓.๏ ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง ๔.๏ ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล ๕.๏ ถึงอารามนามวัดประโคนปัก ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา ๖.๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย ๖. ถึงโรงเหล้าก็มีควันออกมาจากเตากลั่นมากมาย มีเครื่องตักน้ำผูกไว้ปลายเสา สุนทรภู่เคยดื่มน้ำเหล้าจนเมาเหมือนคนบ้า จึงได้บวชเพื่อจะได้พ้นจากอบายมุข ขอให้ได้ตรัสรู้ดังพระพุทธเจ้า แต่เหล้าเคยทำให้รอดชีวิตดังนั้นจะเมินไปก็เกินไป ถึงจะไม่เมาเหล้าแต่ยังเมารักอยู่ หักห้ามจิตใจไม่ให้รักไม่ได้ การเมาเหล้านั้นพอรุ่งขึ้นก็หายไป แต่การเมารักนี้จะเป็นทุกๆคืน ๗.๏ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง ๗. ถึงบางจากไม่อยากได้ยินคำว่าจาก เพราะสุนทรภู่จากหลายๆอย่างมา ต้องมีใจมัวหมองเพราะรักนั้นไม่ยืนยาว จึงต้องจากเมืองพรากมา ๘.๏ ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง ๘. ถึงบางพลูคิดถึงนางจันเมื่อแต่งงานกัน เคยส่งหมากพลูโดยใส่ซองให้ทั้งหมดเป็นใบเหลืองซึ่งอร่อยมาก ถึงบางพลัดก็ไม่อยากได้ยินคำว่าพลัดเพราะได้พลัดจากนางจัน ทั้งยังพลัดจากเมืองและอื่นๆอย่างร้อนรน ๙.๏ ถึงบางโพธโอ้พระศรีมหาโพธิ์ ร่มนิโรธรุกขมูลให้พูนผล ๙. ถึงบางโพก็คิดถึงต้นโพธิ์ให้ร่มเงาให้ความร่มเย็นทั้งยังทำให้โคนต้นไม้งอกงามได้ ขอเดชะของพระพุทธเจ้า ให้พ้นภัยพาลตลอดไป ๑๐.๏ ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย ๑๐. ถึงบ้านญวนเห็นมีโรงแลมากมาย มีคนค้าขายของเช่นกุ้งหรือปลาโดยการขังไว้ในข้อง ข้างหน้าโรงวางที่สำหรับดักปลาวางเรียงไว้ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาจับจ่ายซื้อของ จะมองกลับไปยังประเทศบ้านเกิดก็ทรมานเหมือนโดนไฟไหม้ จิตใจก็หม่นหมอง ล่องเรือมาจนถึงวัดเขมา ก็รู้ว่าพึ่งเลิกงานฉลองไปเมื่อวานซืน ๑๑.๏ โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา |