แผนการ สอน วิทยาศาสตร์ ป.1 พ ว

แผนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ทุกระดับชั้น
สำนักพิมพ์ พว. คลิกที่นี่..

สวัสดีครับเว็บไซต์ครูอัพเดตดอทคอม  มีสิ่งดีดีมาฝากเช่นเคยครับ คราวนี้เป็นแผนการสอน
แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ทุกระดับชั้น สำนักพิมพ์ พว. ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทาง
สำนักพิมพ์ พว.ที่เปิดโอกาสให้คุณครู  ได้ดาวน์โหลดแผนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์
ทุกระดับชั้น สำนักพิมพ์ พว.ให้คุณครูได้นำไปปรับใช้ครับ

ค้นหาแผนการสอนรายวิชาอื่น คลิกที่นี่

แผนการ สอน วิทยาศาสตร์ ป.1 พ ว
แผนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ทุกระดับชั้น สำนักพิมพ์ พว.

แผนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ทุกระดับชั้น ประกอบด้วย

แผนการสอน  วิทยาศาสตร์ ป.2
แผนการสอน  วิทยาศาสตร์ ป.3
แผนการสอน  วิทยาศาสตร์ ป.4
แผนการสอน  วิทยาศาสตร์ ป.5
แผนการสอน  วิทยาศาสตร์ ป.6

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 2

แผนการ สอน วิทยาศาสตร์ ป.1 พ ว

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2

แผนการสอน วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4

แผนการสอน เทคโนโลยี ม.4

แผนการสอน  วิทยาศาสตร์กายภาพ แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.5

แผนการสอน  เทคโนโลยี (การออกแบบฯ) ม.5

แผนการสอน  เทคโนโลยีสารสนเทศฯ ม.6

คู่มือการดาวน์โหลดแผนการสอน/คู่มือการสอน  พว.  คลิกที่นี่..

ลิ้งก์ดาวน์โหลดแผนการสอน https://download.iadth.com/

ขอขอบคุณที่มา สำนักพิม์ พว.

แผนการ สอน วิทยาศาสตร์ ป.1 พ ว

แผนการจดั การเรียนรู้
ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน

พทุ ธศกั ราช 2551

รายวิชา พว11001 วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา

ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอกนั ทรลกั ษ์
สานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจงั หวดั ศรสี ะเกษ

คร้ังท่ี 1
แผนการจดั การเรียนรรู้ ายสปั ดาห์
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
เร่อื ง ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์

1. เนือ้ หา
1. ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์
1.1 ความหมายและความสาคัญของวิทยาศาสตร์
1.2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2. เทคโนโลยี
2.1 ความหมายและความสาคญั
2.2 เทคโนโลยกี ับชวี ิต
3. วสั ดุและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์
3.1 ประเภท
3.2 วิธใี ช้อุปกรณ์

2. ตัวชี้วดั
1. อธบิ ายธรรมชาตแิ ละความสาคญั ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
2. อธิบายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
3. นาความร้แู ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใชแ้ ก้ปัญหาต่างๆ
4. มเี จตคติทางวทิ ยาศาสตร์
5. มจี ิตวิทยาศาสตร์
6. เลือกใชเ้ ทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
7. ใช้อปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์บางชนดิ

3. บรู ณาการกบั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

3 หว่ ง พอประมาณ มีเหตุผล ภมู ิคมุ้ กนั ท่ดี ี
ประเด็น
การจัดกิจกรรม วางแผนการจัดกิจกรรมใหส้ อดคล้อง การคิดวเิ คราะห์ และ กาหนดข้นั ตอนการจดั
การเรยี นรู้
กับมาตรฐาน และตัวชี้วดั ในหลักสตู ร กระบวนการทางานกลุ่ม กจิ กรรมการเรียนร้ใู ห้
คุณธรรม
ของนักเรยี น สอดคล้องกับแผนการ

จดั การเรยี นรู้

ครมู คี วามรับผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ ความยุตธิ รรม ความขยนั อดทน เมตตาต่อผเู้ รยี น

ความพอเพยี ง

4. กจิ กรรมการเรียนรู้
4.1 ขัน้ นาเขา้ สู่บทเรียน
1. ครูผู้สอนแนะนาตวั เอง และนากจิ กรรมเพ่อื นฉนั ชอ่ื อะไร โดยใหใ้ หผ้ ู้เรยี นแนะนาชื่อตนเอง

ให้เพ่อื นทุกคนรู้จกั

2. ครูผูส้ อนชแ้ี จงจุดประสงค์การเรยี นรู้และรายละเอยี ดของวิชา

3. ครูผ้สู อนพดู คุยผ้เู รยี นถึงเทคโนโลยสี มยั ใหม่และสิง่ อานวยความสะดวกในการดาเนนิ ชีวิตของมนุษย์
เชน่ ดา้ นการสือ่ สาร เทคโนโลยดี ้านการแพทย์ เทคโนโลยีดา้ นอวกาศ

4.2 ขน้ั การจัดกจิ กรรรมการเรยี นรู้

1. ครผู ู้สอนใหผ้ ้เู รียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น เร่อื ง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์
จานวน 10 ขอ้

2. ครูผสู้ อนกับผเู้ รียนร่วมกันวางแผนการเรยี นรู้ เรือ่ ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
3. แบง่ กลุ่มผูเ้ รยี นออกเปน็ 3 กลุ่ม ๆ ละ 5 – 6 คน สง่ ตวั แทนมาจบั สลาก แลว้ ใหผ้ ้เู รียนร่วมกนั
ศกึ ษาใบความรู้ท่ตี นเองไดร้ ับมอบหมาย พร้อมทง้ั ส่งตัวแทนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอหน้าชัน้ เรียน
4. ครผู สู้ อนมอบหมายให้ผูเ้ รียนทาใบกิจกรรมท่ี 1 เร่ือง ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

4.3 ขน้ั สรุป
1. ครูผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปสาระสาคัญ เฉลยแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนและตรวจ ใบ

กิจกรรม
2. ครผู ู้สอนใหผ้ ู้เรียนไปศกึ ษาเพ่ิมเตมิ จากหนังสือแบบเรยี น รายวิชา พว11001 วทิ ยาศาสตร์ ระดับ

ประถมศึกษา

5. สอ่ื อปุ กรณแ์ ละแหล่งเรยี นรู้
1. ใบความร้ทู ่ี 1 เรอื่ ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. ใบความรู้ท่ี 2 เรือ่ ง เทคโนโลยี
3. ใบความรูท้ ี่ 3 เร่ือง วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์
4. แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน เรื่อง ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์
5. ใบกจิ กรรมท่ี 1 เรื่อง ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
6. หนงั สือแบบเรียน รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์ และ พว03007 วิทยาศาสตร์กับการถนอมอาหาร

ระดบั ประถมศึกษา

6. การวัดและประเมนิ ผล
1. สังเกตพฤติกรรมการนาเสนอ การพดู แสดงความคดิ เห็นเป็นรายบุคคลและการเขา้ ร่วมกิจกรรม
2. วัดผลจากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
3. วดั ผลจากใบกจิ กรรมท่ีมอบหมายให้ผ้เู รียนไปปฏิบัติ
4. วัดผลจากแฟ้มสะสมงานของผูเ้ รยี น

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
เรอื่ ง ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์

ใชป้ ระกอบแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1
รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา

คาชี้แจง ใหว้ งกลมหน้าคาตอบท่ีถูกตอ้ งท่สี ดุ เพียงข้อเดยี ว
1. วทิ ยาศาสตร์มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด

ก. เปน็ เร่อื งท่ีเกิดขน้ึ ทางธรรมชาติ
ข. กระบวนการทางานอย่างมีขัน้ ตอน
ค. เปน็ เรอื่ งทเ่ี กยี่ วกับความจริง
ง. ต้องมี 5 ข้ันตอน

2. กระบวนการใดตอ่ ไปน้ีไมใ่ ช่กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ก. การสงั เกต
ข. การเดา
ค. การทดลอง
ง. การตงั้ สมมุตฐิ าน

3. การเปน็ คนชา่ งสังเกตใช้ในขน้ั ตอนใดมากท่ีสดุ
ก. การทดลอง
ข. การระบปุ ัญหา
ค. การตงั้ สมมุตฐิ าน
ง. การวเิ คราะห์และสรุปผล

4. ทกั ษะกระบวนการวิธที างวทิ ยาศาสตร์มีขัน้ ตอนอย่างไร
ก. การต้ังสมมตุ ิฐาน วเิ คราะหข์ ้อมูล เข้าใจปัญหา รวบรวมข้อมูล สรปุ ผล
ข. ระบุปัญหา การต้งั สมมุตฐิ าน รวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์ข้อมลู สรปุ ผล
ค. การต้ังสมมตุ ิฐาน รวบรวมขอ้ มลู ตั้งปญั หาทดสอบสมมตุ ฐิ าน สรุปผล
ง. รวบรวมขอ้ มูล ตง้ั ปัญหา ตั้งสมมุติฐาน ทดสอบสมมตุ ิฐาน สรปุ ผล

5. ถ้าตอ้ งการลกั ษณะของมดแดงจะต้องใช้เคร่ืองมอื ชนิดใด
ก. แวน่ สายตา
ข. แวน่ ขยาย
ค. กลอ้ งจุลทรรศน์
ง. กล้องโทรทรรศน์

6. ขอ้ ใดเป็นเครื่องมือทีช่ ว่ ยในการสังเกตเกย่ี วกบั ระดบั ความรอ้ นของสาร
ก. ปรอท
ข. นาฬกิ า
ค. เทอรโ์ มมเิ ตอร์
ง. กลอ้ งโทรทรรศน์

7. ขอ้ ใดเปน็ เทคโนโลยี
ก. การศกึ ษาหาความรู้
ข. การค้นพบส่งิ ใหม่ ๆ
ค. การทดสอบเกี่ยวกบั การจมและการลอย
ง. การผลิตอาวุธชีวภาพ

8. วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทาให้โลกเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งไมห่ ยุดยงั้ และมีบทบาทต่อความเป็นอยู่ของมนษุ ย์
ในดา้ นใด
ก. การศึกษา
ข. การคมนาคม
ค. การอปุ โภคบรโิ ภค
ง. ถกู ทุกขอ้

9. ข้อใดเป็นวัสดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตรท์ เี่ หมาะสาหรับการวดั
ก. ไมบ้ รรทัด
ข. ตลับเมตร
ค. ไมโครมเิ ตอร์
ง. สายวัดรอบเอว

10. การนาข้อมูลท่ีไดจ้ ากการสังเกต ทดลอง มาแปรความหมายเพ่ือจะนาไปสู่การสรปุ ผล คือขน้ั ตอนในข้อใด
ก. สรุปผล
ข. วเิ คราะห์ข้อมูล
ค. ตง้ั สมมุติฐาน
ง. รวบรวมขอ้ มูล

ใบความรทู้ ี่ 1
เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ใช้ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์

ระดบั ประถมศึกษา
ความหมายและความสาคัญของวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์ คือ การศึกษาหาความรู้เรื่องราวหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างมีระบบข้ันตอน โดยใช้
กระบวนการทกั ษะทางวิทยาศาสตร์
ความสาคญั ของวิทยาศาสตร์

ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทสาคัญอย่างยิ่งในการดาเนินชีวิตของคนเรา การนาความรู้ทาง
วทิ ยาศาสตรไ์ ดก้ ่อให้เกดิ เทคโนโลยีสมยั ใหม่ และสิ่งอานวยความสะดวกมากมายแกม่ นุษย์ เช่น ดา้ นการสือ่ สาร การ
คมนาคม เทคโนโลยีดา้ นการแพทย์ เทคโนโลยีดา้ นอวกาศ

กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ข้ันตอนการเสาะหาความรู้อย่างมีเหตุมีผล มขี ัน้ ตอน อยา่ ง
เปน็ ระบบ สามารถสรปุ ทักษะกระบวนการวิธีทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ 5 ขั้นตอน ดงั นี้

ระบปุ ญั หา

การต้ังสมมตฐิ าน

รวบรวมขอ้ มูล

วิเคราะห์ขอ้ มูล

สรปุ ผล

1. ขั้นระบปุ ัญหา ขน้ั ตอนตอนนี้เกิดจากการสังเกตพบเห็นปัญหารอบ ๆ ตวั แล้วนาไปตงั้ ปญั หาและขอ้ สงั เกต
โดยการต้ังปัญหาน้ันจะตอ้ งชดั เจนไมค่ ลุมเครือ

2. ข้ันต้ังสมมติฐาน คือ การคาดคะเนคาตอบของปัญหาที่ต้องการศึกษา โดยอาศัยข้อมูล ความรู้จาก
ประสบการณเ์ ดิม สมมตฐิ านทด่ี ตี อ้ งสมั พันธ์กับปญั หาและสามารถตรวจสอบได้

3. ขนั้ รวบรวมข้อมลู เป็นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต การสารวจ หรือการลงมอื ทดลองปฏบิ ัติ เพื่อ
พสิ ูจนว์ ่าสมมตฐิ านทต่ี ้ังไว้ถูกต้องหรือไม่ ในกรณีท่ีเป็นการทดลอง จะตอ้ งวางแผนการทดลองอยา่ งเป็นขั้นตอน ระบุ
วัสดุอปุ กรณ์ที่ใช้ และสารเคมีทใ่ี ช้ และบันทึกผลการทดลองอยา่ งละเอยี ดทุกข้ันตอน

4. ข้ันการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนาข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต ทดลอง มาแปรความหมาย เพ่ือจะนาไปสู่
การสรุปผล

5. ขั้นสรุปผล เป็นการสรุปผลจากการทดลอง ทาใหน้ ักศกึ ษาได้รบั ความรู้และคาตอบของปัญหา

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นส่ิงจาเปน็ อย่างยิ่งในการเรียนวิทยาศาสตร์ เพราะจะทาให้นักศึกษา

สามารถคิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ดงั นัน้ นักศึกษาจึงควรฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพอ่ื ให้เกิด
กระบวนการทักษะทางวิทยาศาสตร์

ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบง่ ออกเปน็ 13 ทกั ษะ ดังนี้
1. การสงั เกต
2. การวัด
3. การจาแนกประเภท

4. การใช้ตวั เลข
5. การใช้ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปสกบั สเปส และสเปสกบั เวลา
6. การจัดกระทาและสื่อความหมายขอ้ มูล
7. การลงความเห็นคดิ จากข้อมลู
8. การพยากรณ์
9. การตั้งสมมุตฐิ าน
10. การกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบัติการ
11. การกาหนดและควบคุมตัวแปร
12. การทดลอง
13. การตคี วามหมายข้อมลู และการสรปุ ผล

เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์
เจตคติทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรสู้ กึ ท่ดี ีตอ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ มี 6 ลกั ษณะ ดงั น้ี
- มีเหตผุ ล
- กระตอื รือรน้ ค้นหาความรู้
- อยากรอู้ ยากเห็น
- มคี วามพยายามและอดทน
- ยอมรับฟังความคดิ เห็นของผู้อ่นื
- แกป้ ัญหาโดยใชว้ ธิ ีการทางวิทยาศาสตร์

ใบความรทู้ ี่ 2
เรือ่ ง เทคโนโลยี
ใช้ประกอบแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา

เทคโนโลยี
เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง ความรู้ วิชาการ รวมกับความรู้ วิธีการ และความชานาญท่ีสามารถ

นาไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สงู สุดสนองความต้องการของมนุษย์ เพ่อื ช่วยในการทางานหรือแกป้ ัญหาต่าง ๆ เชน่
อุปกรณ,์ เคร่ืองมือ, เครือ่ งจักร, วัสดุ หรือ แมก้ ระทง่ั ท่ีไม่ได้เป็นสิ่งของที่จบั ต้องได้ เช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ

เทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับการดารงชีวิตของมนุษย์มาเป็นเวลานาน เป็นส่ิงท่ีมนุษย์ใช้แก้ปัญหาพ้ืนฐาน ในการ
ดารงชีวิต เช่น การเพาะปลูก ท่ีอยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ในระยะแรกเทคโนโลยีท่ีนามาใช้เป็น เทคโนโลยี
พ้ืนฐานไม่สลับซับซ้อนเหมือนดังปัจจุบัน การเพิ่มของประชากร และข้อจากัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมท้ังมีการ
พัฒนาความสมั พันธ์กบั ต่างประเทศ เปน็ ปจั จัยด้านเหตุสาคัญในการนาและพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้มาก

เทคโนโลยีในการประกอบอาชพี
1. เทคโนโลยีกับการพัฒนาอุตสาหกรรม การนาเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ทาให้ประสิทธิภาพในการผลติ

เพิ่มขึ้น ประหยัดแรงงาน ลดต้นทุนและรักษาสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมใน
ประเทศไทย เช่น คอมพิวเตอร์ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์ การสื่อสาร เทคโนโลยชี ีวภาพและพนั ธกุ รรม วิศวกรรม เทคโนโลยี
เลเซอร์ การส่ือสาร การแพทย์ เทคโนโลยีพลังงาน เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ เช่น พลาสติก แก้ว วัสดุก่อสร้าง
โลหะ

2. เทคโนโลยีกับการพัฒนาด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีในการเพ่ิมผลผลิต ปรับปรุงพันธ์ุ เป็นต้น
เทคโนโลยีมีบทบาทในการพัฒนาอย่างมาก แต่ท้ังนี้การนาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาจะต้องศึกษาปัจจัยแวดล้อม
หลายด้าน เช่น ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความเสมอภาคในโอกาสและการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิด
ความผสมกลมกลนื ต่อการพฒั นาประเทศชาตแิ ละส่วนอื่น ๆ อกี มาก

เทคโนโลยีทีใ่ ช้ในชวี ิตประจาวัน
การนาเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจาวันของมนุษย์มีมากมาย เน่ืองจากการได้รับการพัฒนาทางด้าน

เทคโนโลยีกันอย่างกว้างขวาง เช่น การส่งจดหมายผ่านทางอินเตอร์เน็ต การหาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต การพูดคุย
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การอ่านหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ต ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีท่ีมีความก้าวหน้าอย่าง
รวดเรว็ เปน็ การประหยดั เวลาและสามารถหาความรตู้ า่ ง ๆ ได้รวดเร็วยงิ่ ขึ้น

ใบความรู้ท่ี 3
เรอ่ื ง วสั ดแุ ละอุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์
ใชป้ ระกอบแผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1

รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา

อุปกรณส์ าหรับการตวงสาร ไดแ้ ก่ หลอดทดลอง
บีกเกอร์

ขวดกรวย กระบอกตวง
อปุ กรณ์สาหรับช่งั ได้แก่

ตาชัง่ ไฟฟา้

อปุ กรณส์ าหรับการวัด ไดแ้ ก่

ไมโครมเิ ตอร์ เวอร์เนยี ร์ คาลเิ ปอร์
นอกจากน้ยี งั มีอุปกรณ์ อื่น ๆ เช่น

กลอ้ งจุลทรรศน์ ใชส้ าหรับดสู งิ่ ที่มีขนาดเลก็

ใบกจิ กรรมท่ี 1
เรื่อง ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ใช้ประกอบแผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 1
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา

คาชี้แจง จงตอบคาถามต่อไปน้ใี ห้ถูกต้อง

1. วทิ ยาศาสตร์ หมายถึง ………………………………………………………………………….…………………………………………….......
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง………………………………………...…………………………………………………..........
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีกข่ี ้ันตอน อะไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. เทคโนโลยี หมายถึง ……………………………………………………………………………………..………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. อปุ กรณ์ในรปู ต่อไปน้ีคืออะไร มวี ิธีการใช้อย่างไร

ชื่อ ………………………………………………………..….…… ชื่อ………………………..…………………….…………………
วธิ ีการใช้………………………………………………………….. วธิ ีการใช้……………………..……………….…………………

……………………………………………………………………… ………………………………………………………………………
……………………………………………………………………… ………………………………………………………………………

แบบทดสอบหลังเรียน
เรื่อง ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์

ใชป้ ระกอบแผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 1
รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา

คาชีแ้ จง ใหว้ งกลมหน้าคาตอบท่ถี ูกต้องทส่ี ุดเพียงข้อเดยี ว
1. วิทยาศาสตร์มีความหมายตรงกบั ข้อใด

ก. เปน็ เรอื่ งทเ่ี กิดขึน้ ทางธรรมชาติ
ข. กระบวนการทางานอยา่ งมีขั้นตอน
ค. เปน็ เรอื่ งทีเ่ กี่ยวกบั ความจริง
ง. ตอ้ งมี 5 ขั้นตอน

2. กระบวนการใดต่อไปนี้ไม่ใช่กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ก. การสงั เกต
ข. การเดา
ค. การทดลอง
ง. การตั้งสมมตุ ิฐาน

3. การเปน็ คนช่างสงั เกตใชใ้ นขั้นตอนใดมากทีส่ ดุ
ก. การทดลอง
ข. การระบปุ ัญหา
ค. การต้ังสมมุติฐาน
ง. การวิเคราะห์และสรปุ ผล

4. ทกั ษะกระบวนการวิธที างวิทยาศาสตร์มีขัน้ ตอนอยา่ งไร
ก. การตงั้ สมมตุ ิฐาน วเิ คราะหข์ อ้ มลู เขา้ ใจปญั หา รวบรวมขอ้ มูล สรปุ ผล
ข. ระบปุ ญั หา การต้ังสมมุตฐิ าน รวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์ข้อมลู สรุปผล
ค. การต้งั สมมุติฐาน รวบรวมข้อมลู ตง้ั ปัญหาทดสอบสมมุตฐิ าน สรุปผล

ง. รวบรวมขอ้ มลู ต้งั ปญั หา ตัง้ สมมุติฐาน ทดสอบสมมุติฐาน สรุปผล

5. ถ้าตอ้ งการลกั ษณะของมดแดงจะต้องใช้เคร่ืองมอื ชนิดใด
ก. แว่นสายตา
ข. แวน่ ขยาย
ค. กลอ้ งจุลทรรศน์
ง. กลอ้ งโทรทรรศน์

6. ขอ้ ใดเป็นเครอื่ งมือที่ช่วยในการสงั เกตเก่ยี วกบั ระดบั ความรอ้ นของสาร
ก. ปรอท
ข. นาฬิกา
ค. เทอร์โมมเิ ตอร์
ง. กล้องโทรทรรศน์

7. ข้อใดเป็นเทคโนโลยี
ก. การศึกษาหาความรู้
ข. การค้นพบสงิ่ ใหม่ ๆ
ค. การทดสอบเกย่ี วกับการจมและการลอย
ง. การผลิตอาวุธชวี ภาพ

8. วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที าให้โลกเจรญิ ก้าวหน้าอยา่ งไม่หยดุ ยง้ั และมีบทบาทต่อความเป็นอยู่ของมนษุ ย์
ในด้านใด
ก. การศึกษา
ข. การคมนาคม
ค. การอปุ โภคบริโภค
ง. ถกู ทกุ ข้อ

9. ขอ้ ใดเป็นวสั ดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีเหมาะสาหรบั การวัด
ก. ไม้บรรทัด
ข. ตลบั เมตร
ค. ไมโครมเิ ตอร์
ง. สายวัดรอบเอว

10. การนาข้อมูลที่ไดจ้ ากการสงั เกต ทดลอง มาแปรความหมายเพื่อจะนาไปสู่การสรปุ ผล คอื ขนั้ ตอนในข้อใด
ก. สรุปผล
ข. วิเคราะห์ข้อมูล
ค. ตงั้ สมมุติฐาน

ง. รวบรวมขอ้ มูล

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น
เรือ่ ง ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์

ใช้ประกอบแผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา

1. วทิ ยาศาสตรม์ ีความหมายตรงกับข้อใด
ข. กระบวนการทางานอย่างมขี น้ั ตอน

2. กระบวนการใดต่อไปนี้ไม่ใช่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ข. การเดา

3. การเป็นคนช่างสงั เกตใช้ในขั้นตอนใดมากท่ีสุด
ข. การระบุปัญหา

4. ทักษะกระบวนการวธิ ีทางวทิ ยาศาสตร์มีขั้นตอนอย่างไร
ข. ระบุปัญหา การตงั้ สมมตุ ิฐาน รวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ข้อมลู สรปุ ผล

5. ถ้าต้องการลักษณะของมดแดงจะต้องใชเ้ คร่ืองมือชนดิ ใด
ข. แว่นขยาย

6. ขอ้ ใดเป็นเครือ่ งมือทชี่ ว่ ยในการสงั เกตเก่ียวกับระดับความร้อนของสาร
ค. เทอร์โมมิเตอร์

7. ขอ้ ใดเป็นเทคโนโลยี
ง. การผลติ อาวธุ ชวี ภาพ

8. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทาให้โลกเจรญิ ก้าวหน้าอยา่ งไม่หยุดย้งั และมีบทบาทต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
ในดา้ นใด
ง. ถกู ทกุ ขอ้

9. ขอ้ ใดเปน็ วัสดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีเหมาะสาหรับการวัด
ค. ไมโครมิเตอร์

10. การนาข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสงั เกต ทดลอง มาแปรความหมายเพื่อจะนาไปสู่การสรปุ ผล คือขน้ั ตอนในข้อใด
ข. วเิ คราะหข์ ้อมูล

เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 1
เรอื่ ง ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ใช้ประกอบแผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1
รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา

1. วิทยาศาสตร์ หมายถงึ
ตอบ คือ การศึกษาหาความรู้เรื่องราวหรือปรากฏการณธ์ รรมชาตอิ ย่างมีระบบขัน้ ตอน โดยใช้กระบวนการทกั ษะ

ทางวทิ ยาศาสตร์

2. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถงึ
ตอบ ขน้ั ตอนการเสาะหาความร้อู ย่างมเี หตมุ ผี ล มีขน้ั ตอนอยา่ งเปน็ ระบบ

3. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีก่ขี ้ันตอนอะไรบ้าง
ตอบ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แบ่งออกเปน็ 5 ขั้นตอน คือ
1. ข้นั ระบุปัญหา
2. ขั้นตัง้ สมมตฐิ าน
3. ขน้ั รวบรวมข้อมลู
4. ขน้ั การวิเคราะห์ข้อมลู
5. ขน้ั สรุปผล

4. เทคโนโลยี หมายถึง
ตอบ หมายถึง ความรู้ วิชาการ รวมกับความรู้ วิธีการ และความชานาญท่ีสามารถนาไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์

สูงสดุ สนองความตอ้ งการของมนษุ ย์ เพือ่ ช่วยในการทางานหรอื แก้ปัญหาตา่ ง ๆ

5. อปุ กรณใ์ นรูปต่อไปนีค้ อื อะไร มีวธิ กี ารใช้อย่างไร

ตอบ กล้องจุลทรรศน์ ใช้สาหรบั ดูส่งิ ทมี่ ีขนาดเล็ก กระบอกตวง ใชส้ าหรบั ตวงสาร

บนั ทึกผลหลงั การจดั การเรยี นรู้

ครง้ั ท่ี 3 วันที่ ครัง้ ท่ี 2
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์

เดือน พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2556 จานวน 2 ชั่วโมง

เรอ่ื ง โครงงานวิทยาศาสตร์

1. เนอื้ หา
1. ประเภทของโครงงานคร้ังที่
2. การเลือกหัวข้อโครงงาน
3. การเขียนโครงงาน
4. การวางแผน และการทาโครงงาน
5. การนาเสนอโครงงาน

2. ตัวช้ีวัด
1. อธิบายประเภท การเลอื ก หวั ขอ้ วธิ ดี าเนนิ การ และการนาเสนอโครงงาน
2. นาความรเู้ กย่ี วกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละโครงงานไปใช้
3. เกดิ กระบวนการกลมุ่

3. บรู ณาการกับหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

3 ห่วง พอประมาณ มเี หตผุ ล ภูมคิ ุ้มกันท่ีดี
ประเดน็
การจัดกจิ กรรม วางแผนการจัดกจิ กรรมให้สอดคล้อง การคดิ วเิ คราะห์ และ กาหนดขนั้ ตอนการจดั
การเรียนรู้
กับมาตรฐาน และตัวช้ีวดั ในหลักสูตร กระบวนการทางานกลุม่ กิจกรรมการเรยี นร้ใู ห้
คณุ ธรรม
ของนักเรยี น สอดคลอ้ งกบั แผนการ

จดั การเรยี นรู้

ครมู ีความรับผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ ความยุตธิ รรม ความขยัน อดทน เมตตาต่อผูเ้ รียน

ความพอเพียง

4. กิจกรรมการเรยี นรู้
4.1 ขั้นนาเข้าสบู่ ทเรียน
1. ทบทวนความรเู้ ดิม
2. ครผู ้สู อนนาตัวอยา่ งโครงงานวทิ ยาศาสตร์มาใหผ้ เู้ รียนดู แล้วครูผูส้ อนและผ้เู รียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับ

ความหมาย ความสาคัญ ประเภทและการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์
3. ผเู้ รียนดูแผนภมู ิ วธิ ีการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ แลว้ รว่ มกนั สนทนาซักถามในสิ่งท่ีสงสยั ครผู ู้สอน

อธบิ ายเก่ียวกบั การจัดทาโครงงานวิทยาศาสตรใ์ ห้ผู้เรยี นเข้าใจ
4.2 ขัน้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูผสู้ อนให้ผ้เู รียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน เรอ่ื ง โครงงานวิทยาศาสตร์ จานวน 10 ขอ้
2. ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 3 คน ศกึ ษาใบความร้ทู ี่ 4 เรื่อง การเขยี นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และใหแ้ ตล่ ะกลุ่ม

วางแผนเกี่ยวกับการจัดทาโครงงาน โดยเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ พร้อมท้ังจัดทาเป็นเค้าโครงย่อของโครงงาน
เพื่อนาเสนอใหค้ รผู ู้สอนตรวจพจิ ารณา แลว้ นามาแกไ้ ขปรับปรงุ ตามที่ครผู ู้สอนเสนอแนะ

3. ให้แตล่ ะกลุม่ วางแผนการจัดทาโครงงาน โดยมคี รผู ูส้ อนเป็นที่ปรึกษาและดาเนนิ การจัดทาโครงงานตามที่
ได้วางแผนไว้

4. ครผู ู้สอนมอบหมายใหผ้ ู้เรยี นทาใบกิจกรรมที่ 2 เรือ่ ง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์

4.3 ข้ันสรปุ
1. ตัวแทนแต่ละกล่มุ ออกมานาเสนอการจดั ทาโครงงาน
2. ครูผู้สอนและผูเ้ รียนกล่มุ อน่ื ๆ รว่ มกันสนทนาซกั ถาม
3. ครูผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันนาเสนอโครงงาน โดยทาเป็นบอร์ดโครงงาน หรือจัดนิทรรศการร่วมกัน

ภายใน กศน.
4. ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายว่าสามารถนาความรู้ท่ีได้จากการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ใน

ชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไร
5. ครผู ูส้ อนสรปุ สาระสาคญั พร้อมทงั้ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรียนและตรวจใบกจิ กรรม
6. ครูผู้สอนให้ผเู้ รียนไปศึกษาเพิม่ เติมจากหนงั สือแบบเรียน รายวิชา พว11001 วทิ ยาศาสตร์

ระดับประถมศึกษา

5. ส่อื อปุ กรณแ์ ละแหล่งเรียนรู้
1. ตวั อยา่ งโครงงานวิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง กรดจากนา้ ผลไม้
2. แผนภมู วิ ิธีการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์
3. แบบบันทึกเสนอโครงงาน และรูปแบบการเขียนโครงงาน
4. แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน เร่ือง โครงงานวิทยาศาสตร์
5. ใบความร้ทู ่ี 4 เรื่อง การเขียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์
5. ใบกจิ กรรมที่ 2 เร่ือง ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์
6. หนงั สือแบบเรยี น รายวชิ า พว11001 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา

6. การวัดและประเมนิ ผล
1. สังเกตพฤติกรรมการนาเสนอ การพูดแสดงความคดิ เหน็ เปน็ รายบคุ คล
2. สงั เกตจากการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
3. วดั ผลจากแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น
4. วัดผลจากใบกจิ กรรมที่มอบหมายใหผ้ ้เู รียนไปปฏบิ ัติ
5. โครงงานที่ได้รบั มอบหมาย

แบบทดสอบก่อนเรยี น
เรือ่ ง โครงงานวิทยาศาสตร์

ใช้ประกอบแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2
รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา

คาชแ้ี จง ให้วงกลมหน้าคาตอบทถี่ ูกตอ้ งที่สดุ เพียงข้อเดียว
1. การทาโครงงานควรเร่ิมต้นจากส่งิ ใด

ก. เรื่องในชมุ ชน
ข. เรือ่ งใหม่ที่ยังไม่มใี ครทา
ค. เปน็ เรอ่ื งท่ที ุกคนใหค้ วามสนใจ
ง. เปน็ เรื่องอะไรก็ได้

2. ขอ้ ใดควรเปน็ โครงงานประเภททดลอง
ก. การสารวจสามะโนครวั ประชากร
ข. การใช้ขอ้ มลู ววั ป้องกนั วัวกินใบพืช
ค. การดักแมลงและแมลงสาบ
ง. รปู แบบของจักรวาล

3. ขอ้ ใดไม่ควรกระทาในการรายงานโครงงานแบบปากเปลา่
ก. ควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา
ข. อา่ นทอ่ งจาสง่ิ ท่ีจะรายงาน
ค. หากตดิ ขัดควรยอมรบั โดยดี
ง. ควรใชส้ ่อื ประเภทโสตทัศนูปกรณป์ ระกอบ

4. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทสารวจไมจ่ าเปน็ ตอ้ งมีขั้นตอนใด
ก. ตั้งปัญหา
ข. สรุปผล
ค. ต้งั สมมติฐาน
ง. ทดลอง

5. ในการตั้งสมมติฐานจะต้องยดึ อะไรเปน็ หลัก
ก. สภาพปัญหา
ข. ขอ้ เทจ็ จริง
ค. ข้อมูล
ง. ผลการทดลอง

ใชข้ อ้ ความต่อไปนีต้ อบคาถามข้อ 6 – 7
1. การศกึ ษาเอกสารโครงงาน
2. การจัดทาเคา้ โครงของโครงงาน
3. การลงมอื ทาโครงงาน
4. การเขียนรายงาน
5. การแสดงผลงาน

6. การลงมอื ทาโครงงานเรียงลาดับดงั น้ี
ก. 1 2 5
ข. 2 5 4
ค. 2 3 4
ง. 3 4 1

7. ขอ้ ใดเปน็ ข้ันตอนสดุ ทา้ ยของโครงงาน
ก. ศกึ ษาเอกสาร
ข. ลงมอื ทาโครงงาน
ค. เขียนรายงาน
ง. แสดงผลงาน

8. การผลติ ถ่านจากวสั ดเุ หลอื ใชจ้ ดั เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทใด
ก. ประเภททฤษฎี
ข. ประเภททดลอง
ค. ประเภทสารวจ
ง. ประเภทประดิษฐ์

9. วนั วทิ ยาศาสตรไ์ ทยตรงกับวนั ทีเ่ ทา่ ใด
ก. 18 สงิ หาคมของทุกปี
ข. 18 กนั ยายนของทุกปี
ค. 18 ตลุ าคมของทุกปี
ง. 18 พฤศจิกายนของทุกปี

10. “จากการศกึ ษาผลของความเขม้ ข้นของฮอร์โมนชนิดหน่งึ ท่ีมผี ลต่อการงอกของกิ่งชามะลิ” ตัวแปรต้นคอื ขอ้ ใด

ก. ความเขม้ ข้นของฮอรโ์ มน
ข. ปริมาณรากของกิ่งชาท่จี ะงอก
ค. ลกั ษณะของการตัดก่งิ
ง. ปริมาณปยุ๋

ใบความรทู้ ่ี 4
เรอ่ื ง การเขยี นโครงงานวิทยาศาสตร์
ใชป้ ระกอบแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2

รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศึกษา

ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์
1. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททดลอง
โครงงานที่มีลักษณะการออกแบบการทดลอง เพ่ือศึกษาผลของตัวแปรตัวหน่ึง โดยควบคุมตัวแปร อ่ืน

ๆ ตวั อยา่ งโครงงาน เช่น การทายากันยุงจากพืชในท้องถิ่น การใชม้ ูลวัวปอ้ งกนั ววั กนิ ใบพืช การบังคับผลแตงโมเป็น
รปู สเี่ หลย่ี ม

2. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทการสารวจ
โครงงานประเภทนี้ไม่กาหนดตัวแปรในการเก็บข้อมูล อาจเป็นการสารวจในภาคสนาม หรือในธรรมชาติ

หรอื นามาศึกษาในห้องปฏิบัติการ ตัวอยา่ งโครงงานประเภทน้ี เชน่ การสารวจพชื พันธุ์ไม้ในโรงเรียนในท้องถิ่น การ
สารวจพฤตกิ รรมด้านตา่ ง ๆ ของสัตว์

3. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสง่ิ ประดิษฐ์

โครงงานประเภทนี้เป็นการประดิษฐ์ส่ิงใดสิ่งหน่ึง เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ หรืออุปกรณ์เพ่ือใช้สอยต่าง ๆ
สง่ิ ประดิษฐอ์ าจคดิ ข้ึนมาใหม่ ปรับปรุง หรือสร้างแบบจาลอง โดยประยกุ ต์หลกั การทางวิทยาศาสตรใ์ ช้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ มกี ารกาหนดตัวแปรทจี่ ะศกึ ษา และทดสอบประสทิ ธภิ าพของชิ้นงานด้วย

4. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภททฤษฎี
โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานท่ีผู้ทาโครงงานจะต้องศึกษารวบรวมข้อมูลความรู้ หลักการ

ขอ้ เทจ็ จรงิ และแนวความคิดตา่ ง ๆ อย่างลกึ ซ้งึ แลว้ เสนอเปน็ หลกั การ แนวความคิดใหม่ กฎ หรือทฤษฎีใหม่
2. การเลือกหัวข้อโครงงาน

หัวข้อโครงงานมักจะได้จากข้อมูล ดงั ตอ่ ไปนี้
1. ส่ือสง่ิ พิมพ์ เช่น หนังสอื เรยี น หนงั สือพมิ พ์ วารสาร เอกสารเผยแพร่ แผ่นพบั
2. สื่อวิทยุโทรทัศน์
3. การทศั นศึกษา เช่น การไปศึกษาดงู าน
4. งานอดิเรก
5. ศึกษาจากโครงงานวทิ ยาศาสตร์ของผู้อืน่ ที่ไดท้ าไวแ้ ลว้
6. การปรกึ ษาผมู้ ีความรู้
7. การหาขอ้ มลู จากอินเทอร์เน็ต

ลาดับขนั้ ตอนในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์
สารวจ และตดั สินใจเลือกเรื่องที่จะทาโครงงาน

ศกึ ษาขอ้ มูลทเี่ กย่ี วข้องกับเร่อื งทจี่ ะทาเอกสารและแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ

วางแผนทดลอง การใช้วสั ดุอุปกรณ์ และระยะเวลาในการดาเนินงาน

เขยี นเคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์

ลงมอื ศึกษาทดลอง วเิ คราะห์ขอ้ มลู และสรุปผล

เขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์

เสนอผลงานของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
3. การเขียนโครงงาน

การเขียนรายงานโครงงาน ควรใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย กะทัดรัด ตรงไปตรงมา และการเขียนรายงาน
โครงงานไม่ควรยาวเกนิ ไป เพราะทาใหไ้ มน่ า่ สนใจเทา่ ทค่ี วร

หัวเร่ืองในการเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตรม์ ี ดังน้ี
1. ชือ่ โครงงาน
2. ช่ือผูท้ าโครงงาน
3. ชอ่ื ท่ปี รึกษา
4. บทคดั ย่อ
5. ท่มี าและความสาคญั ของโครงงาน
6. จุดม่งุ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้
7. สมมตฐิ านของการศึกษาค้นควา้ (ถ้ามี)
8. วิธดี าเนินการ

8.1 วสั ดอุ ุปกรณ์
8.2 วิธดี าเนินการทดลอง
9. ผลการศึกษาค้นคว้า
10. สรปุ และข้อเสนอแนะ
11. คาขอบคณุ หน่วยงาน หรือบุคลากรทม่ี สี ่วนเกี่ยวข้อง
12. เอกสารอา้ งอิง

4. การนาเสนอโครงงาน
หลังจากทาโครงงานวิทยาศาสตร์เสร็จแล้วต้องนาเสนอโครงงาน การแสดงผลงานโครงงานนั้นอาจทาได้

หลายรปู แบบ เชน่ การแสดงในรูปนิทรรศการ หรือในรปู ของการรายงานปากเปล่า แต่ไม่ว่าจะแสดงผลงานรูปแบบ
ใด จะต้องครอบคลุมประเดน็ ดังต่อไปน้ี

1. ช่ือโครงงาน ชือ่ ผทู้ าโครงงาน ช่ือทปี่ รกึ ษา

2. คาอธบิ ายถึงเหตจุ ูงใจในการทาโครงงาน และความสาคัญของโครงงาน
3. วธิ ีดาเนินการ โดยเลอื กเฉพาะข้นั ตอนทเี่ ด่นและสาคญั
4. การสาธติ หรอื แสดงผลทไี่ ดจ้ ากการทดลอง
5. ผลการสงั เกต และข้อมูลต่าง ๆ ทไ่ี ด้จากการทาโครงงาน

นอกจากนแ้ี ลว้ ยังต้องคานงึ ถึงสง่ิ ตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี
1. ความแข็งแรง และความปลอดภัยของนิทรรศการ
2. ความเหมาะสมกบั พน้ื ท่ีจดั แสดง
3. คาอธบิ าย ควรเน้นข้อหวั ที่สาคญั ใชข้ อ้ ความกะทัดรัด ชัดเจน และเข้าใจง่าย
4. ใช้ตาราง และรปู ภาพประกอบ
5. สง่ิ ทจ่ี ดั แสดงจะต้องถูกต้อง ไมม่ ีคาสะกดผิด หรืออธิบายหลักการผิด
6. ในกรณที ่ีเป็นโครงงานประดษิ ฐ์ สง่ิ ประดษิ ฐ์จะต้องสามารถทางานได้อย่างสมบูรณ์

ในกรณีที่จัดแสดงผลงานดว้ ยปากเปลา่ จะตอ้ งคานึงถงึ เร่อื งต่อไปนี้
1. ตอ้ งเข้าใจเรื่องทอี่ ธบิ ายอย่างดี
2. ภาษาที่ใช้ตอ้ งกะทัดรัด เข้าใจงา่ ย ตรงไปตรงมา
3. ควรรายงานแบบเป็นธรรมชาติ ไมค่ วรรายงานแบบทอ่ งจา
4. ตอบคาถามอย่างตรงไปตรงมา
5. ควรรายงานให้เสรจ็ ส้ินภายในเวลาทีก่ าหนด
6. ควรมสี ่อื อปุ กรณ์ ประกอบการรายงานด้วย เพื่อจะทาใหก้ ารรายงานสมบรู ณ์มากย่ิงข้นึ

ตวั อย่างโครงงานวิทยาศาสตร์

โครงงานวิทยาศาสตร์
เรอ่ื ง กรดจากนา้ ผลไม้

จัดทาโดย เลขท่ี 32
1. นางสาวเยาวรตั น์ ตอสงู เนิน เลขท่ี 42
2. นางสาวสไบนาง สนทิ ภักดี เลขที่ 45
3. นางสาวสุมนิ ตรา ขวัญถาวร

ครทู ปี่ รกึ ษาการจัดทาโครงงาน
คุณครสู ราวธุ โครตมา

โรงเรยี นภูเขียว
สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาชัยภูมิ เขต 2

กิตติกรรมประกาศ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง กรดจากน้าผลไม้ จัดทาขึ้นเพ่ือศึกษาเก่ียวกับการทดลองหาระดับความเป็น
กรดของนา้ ผลไม้แตล่ ะชนิดท่มี าผสมกันและทดสอบความสามารถในการกัดกร่อนของน้าผลไม้ทผี่ สมกันแล้วนามาเติม
เกลือละลายน้าว่ามีฤทธิ์ในการขจัดคราบสกปรกของเหรียญหรือไม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากท่านคุณครู สราวุธ
โครตมา ครุประจาวิชาและได้รับการสนับสนุนจากผู้อานวยการโรงเรียนภูเขียวและขอขอบพระคุณท่ีได้ให้คาปรึกษา
ในการจัดทาโครงงานและได้รับความอนุเคราะห์จากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ได้ให้ข้อเสนอแนะ แนะนาเอกสารตาราต่างๆ
ใหศ้ ึกษาค้นคว้า
คณะผู้จัดทา ขอขอบพระคุณทุกท่านดังท่ีไดก้ ลา่ วถงึ มาข้างหนา้ และทไ่ี ม่ได้กล่าวถึงไว้ ณ ท่ีนีเ้ ปน็ อยา่ งสงู

คณะผจู้ ดั ทา
บทคัดยอ่
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง กรดจากน้าผลไม้ การทดลองน้ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบหาระดับความเป็นกรด
และความสามารถในการกัดกร่อน โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ตอน ดังน้ี คือ ตอนที่ 1 ศึกษาหาระดับค่าความ
เปน็ กรด โดยการนาน้ามะนาวผสมกับนา้ สบั ปะรด น้ามะนาวผสมกบั น้าสม้ และน้าสับปะรดผสมกบั น้าส้ม เพ่ือทดสอบ
หาระดบั ค่าความเป็นกรด ว่านา้ ผลไมท้ ีผ่ สมกนั นัน้ แบบใดมคี า่ ความเป็นกรดเรียงลาดับจากคา่ และใน ตอนที่ 2 จะ
ศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการกัดกร่อนของน้าผลไม้ท่ีผสมกันในตอนท่ี 1 โดยการเติมเกลือละลายน้าลงไปในน้า
ผลไม้ท่ีผสมกันไว้ทั้ง 3 แบบ แล้วหลังจากน้ันนาเหรียญที่มีคราบสกปรกมาใส่ในน้าผลไม้ทั้ง 3 แบบ และสังเกตผล
การทดลอง

บทที่ 1
บทนา
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน

ประชาชนส่วนใหญ่นิยมด่ืมน้าผลไม้เพื่อคลายร้อนและดับกระหาย บางครั้งก็นานาผลไม้มาแปรรูปซ่ึงเป็น
การถนอมอาหารอีกรูปแบบหนึ่งหรือนามารับประทานแทนของว่างก็ได้ กลุม่ ของดิฉนั จึงไดน้ าข้อมลู เหลา่ น้มี าคุยและ
ปรึกษากันกับสมาชิกภายในกลุ่มว่าเราสามารถนาผลไม้บางชนิดท่ีมีฤทธ์ิความเป็นกรดมาขจัดคราบสกปรกบนเหรียญ
ได้หรือไม่ และถ้าต้องจัดระดับค่าความเป็นกรดเมื่อนาน้าผลไม้มาผสมกับนั้นจะสามารถเรียงลาดับว่าอันไหนมีค่า
ความเปน็ กรดสูงสดุ จากข้อสงสยั ตา่ ง ๆ เหลา่ นี้กลุ่มของดิฉนั จงึ ไดค้ ิดคน้ จดั ทาโครงงานนี้ขนึ้ มา
วตั ถปุ ระสงค์

1. เพ่ือศึกษาหาระดบั ค่าความเปน็ กรดของน้าผลไม้เมื่อนามาผสมกัน
2. เพ่ือศึกษาวา่ กรดจากนา้ ผลไม้ทีผ่ สมแล้วเติมเกลือละลายนา้ ลงไปจะมีความสามารถในการขจัดคราบ
สกปรกหรอื ไม่
3. เพ่ือศึกษาหาความสามารถในการกดั กร่อนของน้าผลไม้เม่ือนาเกลอื ละลายน้ามาผสม
ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ บั
1. ได้ทราบถงึ ระดบั กรดเม่ือทาการทดสอบจากนา้ ผลไม้ และเรียงลาดับคา่ จากมากไปหาน้อย
2. ไดท้ ราบถงึ ความสามารถในการขจัดคราบสกปรกของน้าผลไมท้ ่ผี สมกันแลว้ เตมิ เกลือละลายนา้ ลงไปว่า
สามารถนามาใช้ประโยชนใ์ นการทาความสะอาดไดจ้ รงิ
3. ไดท้ ราบถงึ ความสามารถในการการกดั กร่อนของน้าผลไม้ทผี่ สมกบั แลว้ นาเกลอื ละลายน้ามาผสมว่ามี
ฤทธิ์กัดกร่อนจนสามารถขจัดสกปรกได้
ขอบเขตของการศึกษาคน้ คว้า
1. ศกึ ษาหาระดับค่าความเป็นกรด ของน้าผลไม้ที่นามาผสมกนั
2. ศกึ ษาหาความสามารถในการกัดกร่อนของนา้ ผลไม้ทผี่ สมกัน แลว้ เตมิ เกลือละลายน้าลงไปและ
ความสามารถในการขจัดคราบสกปรกบนเหรียญ
สมมตุ ิฐานของการศึกษา
ตอนท่ี 1 วัตถดุ บิ ทีน่ ามาทดลอง เมือ่ นามาผสมกนั จะทาใหร้ ะดบั ค่าความเปน็ กรดเปลีย่ นไป
ตอนท่ี 2 ระดบั คา่ ความเปน็ กรด เมือ่ นาเกลอื ละลายน้ามาผสมลงไปจะทาใหค้ วามสามารถในการกดั กร่อนและขจัด
คราบสกปรกไดด้ ยี ่งิ ขนึ้
ตัวแปร

ตัวแปรตน้
ตอนที่ 1 นา้ มะนาว นา้ สบั ปะรด น้าสม้
ตอนที่ 2 นา้ มะนาว น้าสบั ปะรด นา้ สม้ เกลอื ละลายน้า

ตัวแปรตาม
ระดบั ค่า ph ท่วี ัดไดจ้ ากการทดลอง

ตัวแปรควบคุม
ตอนท่ี 1 ปริมาณน้ามะนาว ปริมาณน้าสับปะรด ปรมิ าณน้าสม้
ตอนที่ 2 ปรมิ าณนา้ มะนาว ปรมิ าณน้าสับปะรด ปรมิ าณนา้ สม้ ปริมาณเกลอื ละลายน้า

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กย่ี วข้อง

สม้
การจาแนกชน้ั ทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Plantae
ส่วน Magnoliophyta
ชั้น Magnoliopsida
ชน้ั ยอ่ ย Rosidae
อนั ดบั Sapindales
วงศ์ Rutaceae
สกุล Citrus

ส้ม เปน็ ไมพ้ ุ่มหรอื ไม้ตน้ ขนาดเล็กหลายชนิดในสกุล Citrus วงศ์ Rutaceae มีด้วยกนั นบั รอ้ ยชนิด
เตบิ โตกระจายอยทู่ วั่ โลก โดยมากจะมนี ้ามนั หอมระเหยในใบ ดอก และผล และมีกลิ่นฉุน หากนาใบขึน้ ส่องกับ
แสงแดด จะเหน็ จุดเล็กๆ เตม็ ไปหมด ซึง่ จุดเหล่านั้นก็คือแหล่งนา้ มันนั่นเอง สม้ หลายชนดิ รับประทานได้ ผลมรี ส
เปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซยี ม โปแทสเซยี ม ไวตามนิ เอ และไวตามินซี มากเปน็ พิเศษ ถ้าผลไม้จาพวกนม้ี ี มะ อยู่
หน้า ต้องตัดคา สม้ ออก เชน่ สม้ มะนาว ส้มมะกรดู เป็น มะนาว มะกรูด

มะนาว
การจาแนกช้ันทางวทิ ยาศาสตร์
อาณาจักร Plantae
สว่ น Magnoliophyta
ช้นั Magnoliopsida
อนั ดบั Sapindales

วงศ์ Rutaceae
สกลุ Citrus
สปีชีส์ C. aurantifolia
ชอื่ วิทยาศาสตร์ Citrus aurantifolia Swing.

มะนาว (องั กฤษ: lime) เปน็ ไม้ผลชนดิ หน่ึง ผลมรี สเปรย้ี วจดั จดั อยู่ในสกุล สม้ (Citrus) ผลสีเขยี ว เมอ่ื สุก
จดั จะเป็นสีเหลอื ง เปลือกบาง ภายในมเี น้ือแบ่งกลบี ๆ ชมุ่ น้ามาก นับเป็นผลไม้ทม่ี ีคณุ ค่า นยิ มใชเ้ ป็นเคร่อื งปรงุ รส
นอกจากนย้ี งั ถือว่ามคี ุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ดว้ ย

สบั ปะรด

การจาแนกชัน้ ทางวิทยาศาสตร์

อาณาจักร Plantae

สว่ น พชื ดอก Magnoliophyta

ส่วนไมจ่ ดั อันดับ Angiosperms

ชน้ั ไม่จัดอันดบั Monocots

ชน้ั พืชใบเล้ียงเด่ยี ว Liliopsida

อันดับไมจ่ ดั อนั ดบั Commelinids

อันดับ Poales

วงศ์ Bromeliaceae

วงศ์ย่อย Bromelioideae

สบั ปะรด (ชื่อทางวทิ ยาศาตร์: Ananas comosus) เป็นพืชลม้ ลกุ ชนดิ หนึ่ง ลาต้นมขี นาดสูงประมาณ

80-100 เซนติเมตร การปลูกก็สามารถปลูกได้ง่ายโดยการใช้หน่อหรือที่เปน็ สว่ นยอดของผลทีเ่ รียก วา่ จุก มาฝงั กลบ

ดนิ ไว้ และออกเป็นผล เปลือกของผลสบั ปะรดภายนอกมีลักษณะคลา้ ยตาล้อมรอบผล

บทที่ 3
วิธดี าเนินการโครงงาน
อปุ กรณแ์ ละวิธกี ารทดลอง
1. วัสดุ
1.1 นา้ มะนาว
1.2 นา้ สบั ปะรด
1.3 น้าส้ม
1.4 เกลอื ละลายน้า
1.5 เหรยี ญหนึง่ บาท 3 เหรียญ
2. อปุ กรณ์
2.1 มดี
2.2 แกว้ ขนาดกลาง 3 ใบ

2.3 ชามใบเล็ก 2 ใบ
2.4 ชอ้ น 2 คนั
2.5 เขียง
2.6 กระดาษลิตมสั

ขนั้ ตอนและวิธีการดาเนินงาน
1. ข้ันตอนการเตรียมวัสดุ
1.1 นามะนาว สบั ปะรดและสม้ มาค้ันให้ไดน้ ้าและกรองเอาตะกอนท้งิ
1.2 นาเกลือมาละลายน้าละอาดท้งิ ไว้ประมาณ 5 นาที

ขั้นตอนการทดลอง
ตอนท่ี 1 ศกึ ษาระดับค่าความเปน็ กรดของน้าผลไม้เมื่อนามาผสมและเรยี งลาดับจากคา่ มากไปหาคา่ น้อย
1.1 นามะนาว สม้ สับปะรด มาคั้นใหไ้ ด้น้า
1.2 เม่ือไดน้ า้ ผลไม้ทงั้ 3 ชนดิ แลว้ ใหน้ ามาผสมกันตามสัดส่วนดังนี้
1.2.1 นานา้ สับปะรดไปผสมกบั น้ามะนาว ในปรมิ าณ 1 ชอ้ นโตะ๊ เท่ากัน
1.2.2 นาน้าสม้ ไปผสมกับน้ามะนาว ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะเทา่ กนั
1.2.3 นานา้ ส้มไปผสมกบั น้าสับปะรด ในปริมาณ 1 ชอ้ นโตะ๊ เทา่ กนั
1.3 เม่ือนาไปผสมตามสดั สว่ นแล้ว คนใหเ้ ขา้ กันแล้วทดสอบหาระดับคา่ ความเป็นกรดดว้ ย

กระดาษลิตมสั
1.4 บันทึกผลการทดลองท่ีได้ โดยการเรียงลาดบั ระดับค่าความเปน็ กรด จากค่ามากไปหา

ค่านอ้ ย

ตอนท่ี 2 ศกึ ษาหาความสามารถในการกัดกร่อนและขจดั คราบสกปรกบนเหรยี ญ เม่ือนาเกลือละลายน้าผสม
ลงไป

2.1 ใหน้ าเกลือละลายน้าทไ่ี ด้ไปผสมกับนา้ ผลไม้ในตอนท่ี1 ในปรมิ าณ 1 ชอ้ นโตะ๊
2.2 คนให้เข้ากัน แลว้ นาเหรียญที่มคี ราบสกปรกใสล่ งไปในนา้ ผลไมท้ ่ผี สมเกลือละลายนา้ ไว้
2.3 ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสังเกตความเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดข้ึน
2.4 นาเหรยี ญออกมาลา้ งนา้ สะอาด เชด็ ให้แหง้ นามาเปรยี บเทยี บกนั แล้วบันทกึ ผลการ
ทดลองท่ีเกดิ ข้ึน

บทท่ี 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล/ผลการจดั ทาโครงงาน

ผลการทดลอง
ตอนท่ี 1 ระดบั ค่าความเป็นกรดของนา้ ผลไม้เมือนามาผสมกนั เรยี งลาดบั จากคา่ มากไปหาคา่ น้อยเป็นดงั น้ี

น้าผลไม้ทน่ี ามาผสมกัน ระดบั ค่า pH ทีไ่ ด้
1. น้ามะนาว + น้าสับปะรด 3.0
2. น้ามะนาว + น้าส้ม 4.0
3. น้าส้ม + นา้ สบั ปะรด 4.5

ตอนท่ี 2 ความสามารถในการกัดกร่อนและขจดั คราบสกปรกบนเหรยี ญเมื่อนานา้ น้าเกลือละลายนา้ ผสมลงไป
แกว้ ที่ 1 นา้ ส้ม + นา้ มะนาว
แกว้ ท่ี 2 นา้ มะนาว + น้าสับปะรด
แก้วท่ี 3 นา้ สม้ + นา้ สบั ปะรด
เหรียญหนง่ึ บาทท่ีสกปรกจานวน 3 เหรยี ญ
เหรยี ญทีม่ สี กปรกใสใ่ นแกว้ น้าผลไม้ผสมเกลือละลายน้า
เหรยี ญทีผ่ ่านการแชน่ ้าผลไม้ผสมเกลือละลายนา้ 30 นาที

บทที่ 5
สรุปผลและอภิปรายผลการดาเนินการจัดทาโครงงาน

จากผลการทดลองสรุปได้ ดงั นี้
1. เม่อื นาน้าสม้ ผสมกบั นา้ มะนาวจะไดค้ า่ pH เท่ากบั 4.0
2. เมื่อนาน้ามะนาวผสมกับน้าสับปะรดจะได้ค่า pH เทา่ กบั 3.0
3. เมื่อนาน้าสมผสมกับน้าสบั ปะรดจะไดค้ า่ pH เทา่ กับ 4.5

แสดงว่าเมื่อนาน้ามะนาวมาผสมกับน้าสับปะรดจะพบว่าค่าความเป็นกรดสูงกว่า น้ามะนาวผสมกับน้าส้ม
และน้าส้มผสมกับน้าสับปะรด นอกจากน้ีเรายังพบว่าเม่ือนาน้าผลไม้ท่ีได้จากการผสมกันดังกล่าวท้ัง 3 ชนิด มาเติม
เกลือละลายน้าลงไปแล้วนาเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปตั้งเวลาไว้ประมาณ 30 นาที ภายหลัง 30 นาที นา
เหรียญออกมาล้างน้าสะอาดพบว่าเหรียญท่ีอยู่ในน้าผสมไม้ที่มีค่า pH สูงที่สุดมี่ความสะอาดมากที่สุด เพราะกรดท่ี
เข้มข้นจะมฤี ทธ์กิ ารกดั กร่อนมากท่ีสุดตามลาดบั ความเข้มขน้ ของกรด

ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับจากการทดลอง
1. สามารถนานา้ ผลไมม้ าทาความสะอาดเหรียญทม่ี ีคราบสกปรกได้
2. สามารถทราบถึงฤทธ์ิของกรดที่กดั กรอ่ นคราบสกปรกบนเหรียญได้
3. สามารถทราบว่าน้าผลไมช้ นดิ ใดมคี ่าความเปน็ กรดมากและมฤี ทธิก์ ารกัดกร่อนไดดีทสี่ ดุ

ข้อเสนอแนะ
1. เราอาจนาน้าผลไม้ชนิดอื่นทม่ี ีฤทธิ์เป็นกรดทหี่ าได้ง่ายตามครวั เรือนของคุณ
2. เราอาจนาการทดลองนไ้ี ปทดลองกบั สิ่งอนื่ ๆทีม่ คี ราบสกปรกตดิ อยู่ เช่น สร้อยคอ แหวน พวงกญุ แจ

บรรณานกุ รม

_____ . หนังสอื เรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์เพมิ่ เติม เล่ม 4 (เคมี ). กรงุ เทพ: 2550
_____ . ตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตรจ์ ากโรงเรียนอรโุ ณทยั จังหวดั ลาปาง
_____. นพ.ประวติ ร พศิ าลบตุ ร.นิตยสารเพ่ือสุขภาพ หมอชาวบ้าน (กรดคอื ?) . ฉบบั ท่ี 322 : กรงุ เทพ:
สานักพมิ พ์หมอชาวบ้าน บจก. , 2550
_____. www.doctor.or.th
_____. www.google.com

เค้าโครงงานวทิ ยาศาสตร์

1. ช่ือโครงงาน............................................................................................................................. ...............
2. ชอ่ื ผูท้ าโครงงาน

1 ...................................................................................................................................................
2 ...................................................................................................................................................
3 ...................................................................................................................................................
3. ชื่อทป่ี รกึ ษา............................................................................................................................. ...............
4. ท่ีมาและความสาคัญของโครงงาน
.................................................................................. ............................................................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................................... ...............
.................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. .................................
5. จุดมงุ่ หมายของการศึกษาคน้ ควา้
............................................................................................................................................. .................
................................................................................................................ ..............................................
............................................................................................................................. .................................
6. สมมตฐิ านการคน้ ควา้
...................................................................................................................................................... ........
......................................................................................................................... .....................................
............................................................................................................................. .................................
7. วิธีการดาเนินการ
7.1 วสั ดุ อุปกรณ์ และสารเคมี
............................................................................................................................... ...............................
.................................................................................................. ............................................................

............................................................................................................................. .................................
7.2 วธิ ดี าเนินการทดลอง
...................................................................................................................................... ........................
......................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
8. ผลการทดลอง
............................................................................................................................. ...............................
.................................................................................................. ..........................................................
............................................................................................................................. ...............................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................
............................................................................................................................. ..............................
9. สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. ..................................
.................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................................... ................
................................................................................................................. ..............................................
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................

10. เอกสารอ้างอิง
.......................................................................................................................... .....................................
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. .................................

ใบกจิ กรรมท่ี 2
เร่อื ง ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์
ใช้ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2
รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์

ระดบั ประถมศกึ ษา

คาชแ้ี จง จงบอกประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
1. ก้านผักตบชวากบั การลดปรมิ าณสารพิษในในควนั บหุ ร่ี

............................................................................................................................. ............................
2. เปลือกผลไมล้ บคาผิด

.........................................................................................................................................................
3. เครอ่ื งแยกไขแ่ ดงไข่ขาว

............................................................................................................................. ............................

4. การสารวจลักษณะทางพันธกุ รรมของนักเรยี นโรงเรียนบ้านบางสาน
............................................................................................................................. ............................
5. การอธิบายคล่ืนยักษส์ นึ ามิ
............................................................................................................................. ............................
6. การทากระดาษสาจากใบพืช

.........................................................................................................................................................
7. ปิโตรเลียมเกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร
............................................................................................................................. ............................
8. เครอื่ งให้อาหารปลาดกุ
.........................................................................................................................................................
9. เตาอบพลงั งานแสงอาทติ ย์
............................................................................................................................. ............................
10. การวิเคราะห์ค่ามุม โดยใชห้ ลกั ปโิ ตรเลียม
............................................................................................................................. ............................

แบบทดสอบหลังเรยี น
เรื่อง โครงงานวทิ ยาศาสตร์
ใช้ประกอบแผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 2
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์

ระดับประถมศกึ ษา
คาชีแ้ จง ใหว้ งกลมหนา้ คาตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงข้อเดยี ว
1. การทาโครงงานควรเริ่มตน้ จากส่ิงใด

ก. เรอื่ งในชมุ ชน
ข. เร่อื งใหมท่ ่ยี ังไม่มีใครทา

ค. เป็นเรื่องท่ที ุกคนใหค้ วามสนใจ
ง. เป็นเรอ่ื งอะไรก็ได้

2. ข้อใดควรเปน็ โครงงานประเภททดลอง
ก. การสารวจสามะโนครัวประชากร
ข. การใชข้ ้อมูลววั ป้องกันวัวกินใบพชื
ค. การดกั แมลงและแมลงสาบ
ง. รปู แบบของจักรวาล

3. ข้อใดไม่ควรกระทาในการรายงานโครงงานแบบปากเปลา่
ก. ควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา
ข. อ่านท่องจาส่ิงทจี่ ะรายงาน
ค. หากตดิ ขดั ควรยอมรับโดยดี
ง. ควรใชส้ ่ือประเภทโสตทัศนูปกรณป์ ระกอบ

4. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสารวจไมจ่ าเปน็ ตอ้ งมีขนั้ ตอนใด
ก. ต้งั ปญั หา
ข. สรปุ ผล
ค. ตัง้ สมมติฐาน
ง. ทดลอง

5. ในการต้ังสมมติฐานจะต้องยดึ อะไรเป็นหลัก
ก. สภาพปัญหา
ข. ขอ้ เทจ็ จรงิ
ค. ขอ้ มูล
ง. ผลการทดลอง

ใชข้ ้อความต่อไปนต้ี อบคาถามขอ้ 6 – 7
1. การศกึ ษาเอกสารโครงงาน
2. การจดั ทาเค้าโครงของโครงงาน
3. การลงมือทาโครงงาน
4. การเขยี นรายงาน
5. การแสดงผลงาน

6. การลงมือทาโครงงานเรยี งลาดบั ดังน้ี
ก. 1 2 5
ข. 2 5 4
ค. 2 3 4

ง. 3 4 1

7. ขอ้ ใดเปน็ ขนั้ ตอนสุดทา้ ยของโครงงาน
ก. ศึกษาเอกสาร
ข. ลงมอื ทาโครงงาน
ค. เขยี นรายงาน
ง. แสดงผลงาน

8. การผลติ ถา่ นจากวัสดเุ หลอื ใช้จดั เป็นโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทใด
ก. ประเภททฤษฎี
ข. ประเภททดลอง
ค. ประเภทสารวจ
ง. ประเภทประดิษฐ์

9. วนั วิทยาศาสตร์ไทยตรงกับวนั ที่เทา่ ใด
ก. 18 สิงหาคมของทุกปี
ข. 18 กันยายนของทกุ ปี
ค. 18 ตุลาคมของทุกปี
ง. 18 พฤศจกิ ายนของทุกปี

10. “จากการศกึ ษาผลของความเขม้ ขน้ ของฮอร์โมนชนดิ หนึ่งท่ีมผี ลต่อการงอกของกิ่งชามะลิ” ตัวแปรต้นคือข้อใด
ก. ความเขม้ ขน้ ของฮอรโ์ มน
ข. ปริมาณรากของกิง่ ชาทจ่ี ะงอก
ค. ลกั ษณะของการตัดกิ่ง
ง. ปริมาณปยุ๋

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน
เรื่อง โครงงานวทิ ยาศาสตร์

ใช้ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2
รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา

คาช้ีแจง ให้วงกลมหน้าคาตอบทีถ่ ูกตอ้ งทสี่ ุดเพียงข้อเดยี ว
1. การทาโครงงานควรเรม่ิ ตน้ จากสิ่งใด

ก. เรอ่ื งในชมุ ชน

2. ขอ้ ใดควรเปน็ โครงงานประเภททดลอง
ข. การใช้ข้อมลู ววั ปอ้ งกนั ววั กนิ ใบพืช

3. ขอ้ ใดไม่ควรกระทาในการรายงานโครงงานแบบปากเปล่า
ข. อ่านทอ่ งจาส่งิ ที่จะรายงาน

4. โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสารวจไม่จาเปน็ ต้องมขี ้ันตอนใด
ค. ตงั้ สมมติฐาน

5. ในการตัง้ สมมตฐิ านจะต้องยึดอะไรเปน็ หลัก
ก. สภาพปัญหา

6. การลงมอื ทาโครงงานเรยี งลาดับดงั น้ี
ค. 2 3 4

7. ขอ้ ใดเป็นขน้ั ตอนสุดทา้ ยของโครงงาน
ง. แสดงผลงาน

8. การผลิตถ่านจากวสั ดเุ หลือใชจ้ ัดเปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทใด
ข. ประเภททดลอง

9. วันวทิ ยาศาสตรไ์ ทยตรงกบั วนั ทเี่ ท่าใด
ก. 18 สิงหาคมของทุกปี

10. “จากการศกึ ษาผลของความเขม้ ข้นของฮอรโ์ มนชนิดหนึ่งท่มี ีผลตอ่ การงอกของก่งิ ชามะลิ” ตวั แปรตน้ คือขอ้ ใด
ก. ความเข้มขน้ ของฮอรโ์ มน

เฉลยใบกิจกรรมที่ 2

เรือ่ ง ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์
ใชป้ ระกอบแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 2

รายวชิ า พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดบั ประถมศึกษา

คาชแ้ี จง จงบอกประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
1. กา้ นผกั ตบชวากบั การลดปริมาณสารพิษในในควนั บหุ ร่ี

ตอบ โครงงานประเภททดลอง

2. เปลอื กผลไม้ลบคาผดิ
ตอบ โครงงานประเภททดลอง

3. เครื่องแยกไข่แดงไข่ขาว
ตอบ โครงงานประเภทส่งิ ประดิษฐ์

4. การสารวจลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของนักเรียนโรงเรียนบ้านบางสาน
ตอบ โครงงานประเภทสารวจ

5. การอธิบายคลนื่ ยักษ์สนึ ามิ
ตอบ โครงงานประเภททฤษฎี

6. การทากระดาษสาจากใบพืช
ตอบ โครงงานประเภทสงิ่ ประดษิ ฐ์

7. ปโิ ตรเลียมเกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร
ตอบ โครงงานประเภททฤษฎี

8. เครอื่ งให้อาหารปลาดุก
ตอบ โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์

9. เตาอบพลงั งานแสงอาทติ ย์
ตอบ โครงงานประเภทสงิ่ ประดิษฐ์

10. การวิเคราะห์คา่ มมุ โดยใชห้ ลักปโิ ตรเลียม
ตอบ โครงงานประเภททฤษฎี

ครัง้ ที่ 3
แผนการจัดการเรียนร้รู ายสปั ดาห์
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์

เร่ือง ส่งิ มีชีวติ

1. เนอ้ื หา
1. ลกั ษณะและการจัดกลมุ่ ของส่ิงมีชีวิต
2. พชื
2.1 ประเภทของพืช
2.2 ลกั ษณะภายนอกของส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของพชื
2.3 หน้าทีข่ องสว่ นประกอบของพืช
2.4 ปจั จัยทจี่ าเป็นต่อการดารงชีวิตของพืช
2.5 การขยายพันธ์ุพชื
2.6 พืชในท้องถนิ่
3. สัตว์
3.1 การแบง่ ประเภทของสตั ว์
3.2 โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะของสตั ว์
3.3 ปจั จยั ทจี่ าเปน็ ต่อการเจริญเตบิ โตของสตั ว์
3.4 การขยายพันธุส์ ัตวแ์ ละการนาไปใช้ประโยชน์

2. ตวั ชี้วัด

1. บอกลักษณะและการจัดกลุม่ ของส่ิงมชี วี ิตในท้องถน่ิ
2. อธิบายเกย่ี วกับประเภทของพชื ลกั ษณะภายนอกและหนา้ ที่ของราก ลาต้น และใบ ดอกและผลของพืช
ท้องถ่ินที่เหมาะสมต่อการดารงชีวิตทีแ่ ตกต่างกนั
3. อธบิ ายเก่ียวกบั ปจั จยั ทจี่ าเปน็ ตอ่ การดารงชวี ิตของพชื
4. อธบิ ายวิธีขยายพันธุพ์ ืชดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ
5. จาแนกพืชในท้องถิ่น
6. อธบิ ายเก่ยี วกับประเภท โครงสร้างและหน้าที่ของสัตว์ท้องถ่ินทเี่ หมาะสมต่อการดารงชวี ติ ในสิ่งแวดล้อมท่ี
แตกต่างกนั
7. อธิบายเกยี่ วกับปัจจยั ที่จาเป็นตอ่ การดารงชีวิตของสตั วแ์ ละการนาความรู้ไปใช้
8. อธิบายการขยายพันธ์สุ ัตวแ์ ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์

3. บรู ณาการกบั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

3 หว่ ง พอประมาณ มเี หตผุ ล ภมู ิคมุ้ กันทดี่ ี
ประเดน็
การจดั กิจกรรม วางแผนการจดั กิจกรรมให้สอดคล้อง การคิดวเิ คราะห์ และ กาหนดข้นั ตอนการจดั
การเรียนรู้
กบั มาตรฐาน และตัวช้วี ดั ในหลกั สตู ร กระบวนการทางานกล่มุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ให้
คุณธรรม
ของนักเรียน สอดคล้องกบั แผนการ

จดั การเรยี นรู้

ครูมีความรับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้ ความยุติธรรม ความขยนั อดทน เมตตาต่อผเู้ รยี น

ความพอเพียง

4. กจิ กรรมการเรียนรู้
4.1 ขน้ั นาเข้าสบู่ ทเรียน
1. ทบทวนความรเู้ ดิม
2. ครูผู้สอนยกตัวอย่างส่ิงมีชีวิต โดยให้ผู้เรียนร่วมกันสนทนาและยกตัวอย่างเก่ียวกับลักษณะและ

กระบวนการชองชวี ิตสัตว์

4.2 ขนั้ การจัดกิจกรรรมการเรยี นรู้
1. ครูผสู้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เร่อื ง สง่ิ มีชวี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม จานวน

20 ขอ้
2. ครผู ้สู อนให้ผเู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเปน็ 3 กล่มุ ๆ ละประมาณ 5 – 6 คน สง่ ตัวแทนออกมาจับสลาก

เลอื กใบความรู้ โดยให้แตล่ ะกล่มุ ศกึ ษาใบความรทู้ ีต่ นเองไดร้ บั มอบหมาย และนาเสนอหนา้ ช้ันเรียน
3. ครูผ้สู อนมอบหมายให้ผู้เรียนทาใบกิจกรรมที่ 3 เรื่อง พชื และสตั ว์

4.3 ข้นั สรุป
1. ตวั แทนแต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอขอ้ มูลท่ไี ด้ทาการศึกษาคน้ ควา้
2. ครูผู้สอนสรปุ สาระสาคญั พร้อมทง้ั เฉลยแบบทดสอบกอ่ นและหลังเรยี นและตรวจใบกิจกรรม
3. ครูผู้สอนมอบหมายผู้เรียนไปศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือแบบเรียน รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์

ระดบั ประถมศกึ ษา

5. สอื่ อปุ กรณ์และแหล่งเรียนรู้

1. ใบความรทู้ ี่ 5 เรื่อง ลักษณะและการจัดกลมุ่ สิ่งมชี ีวติ

2. ใบความรทู้ ี่ 6 เรือ่ ง พชื

3. ใบความรทู้ ี่ 7 เร่ือง สตั ว์
4. ใบกจิ กรรมท่ี 3 เร่ือง พชื และสัตว์
5. แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน เรอื่ ง ส่ิงมชี วี ติ และส่งิ แวดล้อม จานวน 10 ข้อ
6. หนงั สือแบบเรียน รายวชิ า พว11001 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา
6. การวัดและประเมินผล

1. สงั เกตพฤติกรรมการนาเสนอ การพูดแสดงความคดิ เห็นเปน็ รายบุคคล

2. สังเกตจากการเข้าร่วมกจิ กรรมกลมุ่

3. วดั ผลจากแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน

4. วัดผลจากใบกิจกรรมที่มอบหมายใหผ้ เู้ รียนไปปฏิบตั ิ
5. วดั ผลจากแฟม้ สะสมงานของผ้เู รยี น

แบบทดสอบก่อนเรียน

เรอื่ ง ส่ิงมชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม

ใช้ประกอบแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3
รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์

ระดบั ประถมศึกษา

คาช้ีแจง ใหว้ งกลมหนา้ คาตอบทถี่ กู ต้องทสี่ ุดเพียงข้อเดียว ก. โครงสร้าง
ข. อาหาร
1. การจัดใหค้ น นก กบ ปลา อย่ใู นกล่มุ เดยี วกันใชส้ ิง่ ค. แผนการเจริญเตบิ โต
ใดเปน็ เกณฑ์ ง. กระบวนการทางชวี วทิ ยา

2. พชื ใช้ก๊าชใดในการหายใจ 9. พชื ไร้ดอกมกี ารสบื พนั ธอ์ุ ย่างไร
ก. คาร์บอนไดออกไซค์
ข. ไนโตรเจน ก. สร้างสปอร์ ข. สร้างเมลด็
ค. ออกซเิ จน
ง. ไฮโดรเจน ค. อาศัยเพศ ง. ไมอ่ าศัยเพศ

3. พชื ใชก้ า๊ ชอะไรในการสังเคราะห์แสง 10. พชื ทม่ี รี ากคา้ จนุ ตรงกบั ข้อใด
ก. ออกซเิ จน ก. อ้อย ข้าวโพด
ข. คาร์บอนไดออกไซค์ ข. โกงกาง ขา้ วโพด
ค. ไนโตรเจน ค. มะมว่ ง มันแกว
ง. ไฮโดรเจน ง. โกงกาง รากไทรนอ้ ย

4. ลาตน้ ของพชื ชนดิ ใดท่ีชว่ ยในการสังเคราะหแ์ สง 11. สตั ว์ท่มี ีการสบื พนั ธ์ุโดยการแตกหนอ่
ก. กลว้ ยไม้ พลูด่าง ก. อะมบี า
ข. ผักบุ้งพญา ไร้ใบ ข. ไฮดรา
ค.โหระพา นา้ เต้า ค. พลาสโมเดยี ม
ง. ลีลาวดี กระบองเพชร ง. จิงโจน้ า้

5. การแลกเปลี่ยนอากาศเกดิ ข้ึนส่วนใดของพืช 12. โปรโตซวั ในลาไสข้ องปลวกเปน็ การอยูร่ ่วมกนั
ก. ราก ข. ลาตน้
ค. ใบ ง. ดอก แบบใด

ก. อิงอาศัย ข. ปรสติ

ค. พึง่ พา ง. ได้ประโยชนร์ ่วมกัน

6. ใบไมเ้ ปรียบไดเ้ หมือนกบั ห้องใด 13. สตั ว์ชนดิ ใดหายใจดว้ ยเหงอื ก
ก. ไฮดรา ฟองน้า
ก. หอ้ งครัว ข. ห้องน้า ข. ไส้เดอื นดิน แมงมุม
ค. หอย ดาวทะเล
ง. สัตว์มีกระดูกสันหลัง

ค. ห้องนอน ง. ห้องน่งั เล่น

7. พชื ชนิดใดสามารถขยายพันธไ์ุ ด้ดว้ ยใบ 14. สัตว์ชนดิ ใดทมี่ ลี กั ษณะการเจรญิ เติบโตเหมือนยุง
ก. ว่านหางจระเข้ ทง้ั หมด
ข. เศรษฐพี นั ล้าน
ค. ถว่ั ลนั เตา ก. สนุ ขั เสือ
ง. ขา้ วหมอ้ แกงลงิ ข. ปลากัด จงิ้ หรีด
ค. ผีเสื้อ แมลงวัน
8. กลีบดอกมหี นา้ ที่อะไร ง. ปลวก ปลาหางนกยุง

ก. ลอ่ แมลง ข.ป้องกนั แมลง 15. สตั ว์ที่เกิดจากการโคลนนง่ิ เปน็ ตวั แรกของไทย
คือข้อใด
ค. สร้างเรณู ง. เพ่ือความสวยงาม

ก. โคชื่อ “องิ ” ง. การเสียบยอด
ข. แมวชอื่ “ซซี ี”
ค. แกะชื่อ “ดอลลี่”
ง. มา้ ช่ือ “แบรง”

16. สตั ว์เล้ียงลกู ด้วยนมท่ีออกลูกเป็นไขค่ ือข้อใด

ก. ปลาโลมา ข. ปลาวาฬ

ค. ตนุ่ ปากเปด็ ง. ไก่

17. อวยั วะท่สี ร้างเซลลส์ บื พันธข์ุ องสตั ว์ตรงกับข้อใด

ก. อสุจิ ไข่ ข. อสุจิ รงั ไข่

ค. รงั ไข่ อสจุ ิ ง. รงั ไข่ อณั ฑะ

18. สัตว์ท่ีนิยมผสมเทยี มตรงกบั ข้อใด

ก. ววั ควาย ข. ช้าง ม้า

ค. กระตา่ ย หนู ง. สงิ โต ยรี าฟ

19. ส่งิ มีชีวติ ทม่ี ีการอยรู่ ว่ มกันแบบองิ อาศัยคอื ขอ้ ใด
ก. ผีเสอ้ื กบั ดอกไม้
ข. กล้วยไม้กับตน้ สัก
ค. เหากับคน
ง. โปรโตซัวในลาไสป้ ลวก

20. วธิ ีขยายพันธุพ์ ืชในข้อใดท่ีไม่ใช้ตน้ ตอ
ก. การตอนกงิ่
ข. การทาบก่ิง
ค. การติดตา

ใบความรู้ท่ี 5

เรอื่ ง ลักษณะและการจดั กลุ่มส่ิงมชี ีวิต
ใช้ประกอบแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 3

รายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์
ระดับประถมศกึ ษา

ลักษณะของส่ิงมีชีวติ
สิ่งตา่ งๆ ท่ีเราพบเห็นอยทู่ วั่ ไป ทุกคนคงสามารถแยกได้ว่าสงิ่ ใดเป็นส่ิงมีชีวิต ซากของสง่ิ มีชีวติ หรือ

สง่ิ ไม่มีชวี ิต ท้ังนี้เพราะส่งิ มชี วี ติ จะต้องมีลักษณะและกระบวนการของชีวิต ดงั นี้
1. การกนิ อาหาร ส่งิ มีชีวิตตอ้ งการอาหารเพ่อื สร้างพลังงานและการเจริญเติบโต โดยพชื สามารถ

สงั เคราะห์อาหารขึน้ เองได้ด้วยกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง ซึ่งต้องใช้พลังงานจากแสงอาทติ ย์เปล่ียนนา้ และแกส๊
คาร์บอนไดออกไซดเ์ ป็นนา้ ตาล สว่ นสัตว์ไม่สามารถสรา้ งอาหารเองไดต้ ้องกนิ พืชหรอื สตั วอ์ ืน่ เปน็ อาหาร

สตั วต์ ้องกนิ อาหารเพื่อสร้างพลงั งานให้แก่รา่ งกาย

48

พชื สงั เคราะห์อาหารไดโ้ ดยกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง
2. การหายใจ กระบวนการหายใจของสง่ิ มีชวี ิตเปน็ วธิ กี ารเปลย่ี นอาหารทกี่ ินเข้าไปเป็น พลงั งาน สาหรับ
ใชใ้ นการเคลื่อนไหว การเจริญเตบิ โต และการซ่อมแซมส่วนทส่ี ึกหรอของร่างกาย ส่งิ มีชีวติ ทัว่ ไปใช้แก๊สออกซิเจนใน
กระบวนการหายใจ

แผนภาพแสดงสมการการหายใจของสงิ่ มชี ีวติ
3. การเคลอื่ นไหว ขณะทีพ่ ืชเจรญิ เตบิ โต พืชจะมีการเคล่ือนไหวอย่างชา้ ๆ เชน่ รากเคลื่อนลงสู่พนื้ ดนิ
ด้านล่าง หรือสว่ นยอดของต้นทีจ่ ะเคล่ือนขึ้นหาแสงด้านบน สตั ว์จะสามารถเคล่ือนไหวได้ท้ังตัวไมใ่ ชเ่ พยี งสว่ นใดส่วน
หนึ่งของร่างกาย สัตวจ์ งึ เคล่ือนทไ่ี ปหาอาหารหรือหลบหนจี ากการถกู ลา่ ได้

สง่ิ มีชีวิตทุกชนดิ ขณะทีย่ ังมีชีวิตอยู่จะมีการเคล่ือนไหว

49

4. การเจริญเติบโต ส่งิ มีชวี ติ ทุกชนดิ เตบิ โตได้ พืชเตบิ โตไดต้ ลอดชวี ติ สว่ นสตั วห์ ยุดการเจรญิ เตบิ โตเม่ือ
เจรญิ เติบโตจนมขี นาดถงึ ระดับหนง่ึ สิง่ มีชวี ติ บางชนิดขณะเจรญิ เตบิ โตไมม่ ีการเปลีย่ นแปลงรูปรา่ ง แตบ่ างชนดิ ขณะ
เจริญเตบิ โตมีการเปลยี่ นแปลงรูปรา่ งซ่งึ สามารถสังเกตเหน็ ได้ อย่างชดั เจน

การเจริญเติบโตของไหมมีการเปล่ยี นแปลงรูปรา่ ง
ลกั ษณะเปน็ 4 ชัน้ คือ

ระยะวางไข่ ระยะตวั หนอนไหม ระยะดกั แด้ และระยะตัวเตม็ วยั
5. การขับถ่าย เปน็ การกาจดั ของเสยี ท่ีส่งิ มีชวี ติ นน้ั ไมต่ ้องการออกจากรา่ งกาย พืชจะขับของเสยี ออกมา
ทางปากใบ สัตวจ์ ะขบั ของเสียออกมาในรปู ของเหงือ่ ปัสสาวะ และปะปนออกมากับลมหายใจ

สุนัขขับเหง่ือออกมาทางจมูกและลน้ิ
6. การตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้า สิ่งมชี ีวิตมีการตอบสนองต่อสง่ิ แวดลอ้ มเพ่ือความอยู่รอด เช่น พืชจะหันใบเข้า
หาแสง สตั ว์มีอวยั วะรบั ความรสู้ กึ ทแี่ ตกตา่ งกันหลายชนดิ

50