การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
1.
สาเหตุของการปฏิวัติ เกิดจากปัจจัยทางการเมืองและปัจจัยทางเศรษฐกิจ ในด้านปัจจัยทางการเมือง การปฏิรูปบ้านเมืองและปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้เกิดชนชั้นกลางที่เรียนรู้รูปแบบการเมืองการปกครองของชาติตะวันตก ทำให้เห็นว่าการปกครองโดยคน ๆ เดียวหรือสถาบันเดียวไม่อาจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ชนชั้นกลางจำนวนมากไม่พอใจที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ผูกขาดอำนาจการปกครองและการบริหารราชการ
กลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการให้มีการปกครองระบอบรัฐสภาและมีรัฐธรรมนูญ บางกลุ่มต้องการให้มีการปกครองระบอบสาธารณรัฐ 2. เหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ในวันที่ 24 มิถุนายน คณะผู้ก่อการเข้ายึดอำนาจการปกครองที่กรุงเทพมหานคร และจับกุมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า ฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพอภิรัฐมนตรี เป็นตัวประกัน ที่มาและได้รับอนุญาตจาก : การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีผลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในด้านต่าง ๆ หลายประการ ดังนี้ 1) ด้านการเมืองการปกครอง ในสมัย พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงระบอบใน พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย เกิดองค์กรการเมืองต่าง ๆ เช่น พรรคการเมือง คณะรัฐมนตรี รัฐสภา ประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่บางสมัยถูกปกครองโดยเผด็จการที่ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มีการควบคุมสิทธิทางการเมืองของประชาชน 2) ด้านเศรษฐกิจ 3) ด้านสังคมและวัฒนธรรม 3.1) สมัยการสร้างชาติ 3.2) สมัยการฟื้นฟูพระราชประเพณี 3.3) สมัยการฟื้นฟูวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 3.4) สมัยการพัฒนาทางเศรษฐกิจถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการทางอำนาจของทหารไทย พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน วิวัฒนาการทางอำนาจของทหารหลัง พ.ศ. 2475 สามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังต่อไปนี้ ช่วงที่ 1 พ.ศ. 2475 – 2500 รัฐประหาร 21 มิถุนายน 2476 (สุขุม นวลสกุล
:81) กล่าวโดยสรุปความสำเร็จของทหารและจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในการครองอำนาจทางการเมืองในช่วงแรกหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475-2489 เกิดจากปัจจัยหลายประการ ประการที่หนึ่ง ความพยายามของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ใช้กำลังเข้าโค่นล้มคณะราษฎรในกรณีของกบฏบวรเดชเปิดโอกาสให้ฝ่ายทหารมีอำนาจทางการเมืองสูงขึ้นเนื่องจากอ้างได้ว่า
ฝ่ายที่ต่อต้านใช้กำลังจำ ประการที่สอง ไม่มีพลังทางการเมืองใดที่เข้มแข็งที่ท้าทายอำนาจของทหารได้แม้แต่กลุ่มพลเรือนของคณะราษฎรก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่เข้มแข็งมากนัก ในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้น พลังทางสังคมมีแต่เพียงเจ้านายและข้าราชการเท่านั้น การยึดอำนาจของคณะราษฎรเป็นเรื่องของข้าราชการยึดอำนาจจากเจ้านายและข้าราชการด้วยกันเอง คณะราษฎรไม่ได้สร้างองค์การที่มีพื้นฐานจากมวลชน ไม่ได้พัฒนาตนเองให้เป็นพรรคการเมืองอย่างแท้จริงจึงต้องพึ่งทหารเป็นสำคัญ ผู้นำทหารจึงได้เปรียบกว่าผู้นำพลเรือน เนื่องจากทหารเป็นสถาบันที่มีเกียรติภูมิอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่เป็นความยากลำบากเท่าใดนักที่ผู้นำทหารอย่างจอมพล ป.พิบูลสงคราม สามารถสร้างตนเองให้มีบารมีได้อย่างรวดเร็ว ประการที่สาม ทหารสามารถแสวงหาอุดมการณ์และสัญลักษณ์ทางการเมืองมาทดแทนของเก่าได้ คือ ใช้อุดมการณ์ รัฐธรรมนูญ ชาตินิยม และทหารนิยมเพื่อสร้างความนิยมให้แก่คณะราษฎรและการปกครองของทหาร ในช่วงแรก รัฐธรรมนูญได้รับการเชิดชูแทนสถาบันพระมหากษัตริย์ตามอุดมการณ์นี้ได้มีการเน้นเรื่องของความเท่าเทียมกัน สิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่ต่อมาทางทหารได้นำเอาอุดมการณ์ชาตินิยมและทหารนิยมมาใช้ มีการสร้างเพลงและละครปลุกใจให้คนมีความรักชาติ หลวงวิจิตรวาทการเป็นบุคคลสำคัญในเรื่องนี้ การสร้างยุวชนทหาร การขยายกองทัพบกและกองทัพเรือในช่วงนี้สนับสนุนบทบาททางการเมืองของทหารและลัทธิทหารนิยมเป็นอย่างดี บทบาททางการเมืองของทหารไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึง พ.ศ. 2500 มีลักษณที่แตกต่างไปจากก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง คือ มีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในระหว่างผู้นำทหารด้วยกันเองบ่อยครั้ง มีกลุ่มทหารรุ่นใหม่ขึ้นมาท้าทายอำนาจของทหารรุ่นเก่าซึ่งเป็นกลุ่มคณะราษฎรเดิม การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจเป็นเรื่องของกลุ่มผู้นำแคบๆ โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย การต่อสู้เป็นเรื่องของผลประโยชน์อย่างชัดเจนไม่ใช่เป็นเรื่องของอุดมการณ์แต่อย่างใด รัฐประหารและกบฏเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้ กลุ่มทางการเมืองที่มีบทบาททางการเมืองกลุ่มแรก คือ กลุ่มของนายปรีดี พนมยงค์เป็นกลุ่มมีความเข้มแข็งและมีความชอบธรรมมากกว่ากลุ่มอื่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงใหม่ๆ เนื่องจากนายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นหัวหน้าเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่นมาตลอดและเป็นหนึ่งในผู้นำคณะราษฎร นายปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นผู้นำที่มีอิทธิพล บารมี และความชอบธรรมแต่เพียงผู้เดียวในช่วงนี้ จึงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาลและการบริหารงานของรัฐบาลทุกชุดจนถึงการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ผู้ที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ส่วนใหญ่ คือ กลุ่มนักการเมืองพลเรือนที่เคยร่วมมือกันมาก่อนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เช่น นายดิเรก ชัยนาม นายเตียง ศิริขันธ์ นายเดือน บุนนาคนายจำลอง ดาวเรือง นายทองเปลว ชลภูมิ นายวิจิตร ลุลิตานนท์ นายวิลาศ โอสถานนท์ นาประจวบ บุนนาคและนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นอกจากนี้ ยังมีนายทหารเรือในคณะราษฎรที่ออกมาเล่นการเมืองเต็มตัวรวมเป็นพวกด้วย คือ พลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์และพลเรือตรีหลวงสังวรยุทธกิจ กลุ่มของนายปรีดี พนมยงค์ ได้พยายามรวมตัวเป็นพรรคการเมือง 2 พรรค คือ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ มีพลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นหัวหน้าและพรรคสหชีพมีนักการเมือง เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์และนายทองเปลว ชลภูมิเป็นตัวตั้งตัวตี แต่ เป็นการรวมกลุ่มอย่างแคบๆ ในหมู่นักการเมืองเท่านั้นไม่ได้มีการขยายฐานออกไปในหมู่ประชาชนหรือกลุ่มประโยชน์อื่นๆ การรวมกลุ่มจึงไม่มีความเข็มแข็งแต่อย่างใด กรณีเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489ซึ่งมีการกล่าวว่านายปรีดี พนมยงค์มีส่วนรู้เห็นด้วย ทำให้นายปรีดี พนมยงค์และพวกต้องหมดความชอบธรรมไปอย่างรวดเร็ว การรัฐประหารของคณะทหารเมื่อ พ.ศ. 2490 ล้มรัฐบาลของพลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์สนับสนุนอยู่ เป็นการโค่นล้มบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองขอนายปรีดี พนมยงค์ มีผลให้กลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ได้สลายตัวไป (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2532 :634-637) รัฐประหาร 2490นับเป็นความพยายามของทหารบกที่ต้องการเข้ามามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหมดอำนาจลงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และระบบรัฐสภาเฟื่องฟูถึงขีดสุด รัฐบาลเข้าออกตามวิถีทางรัฐสภา ที่สำคัญก็คือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2489 ได้วางหลักการแยกข้าราชการประจำกับการเมืองทำให้ทหารต้องถอดเครื่องแบบถึงจะเข้ามาแข่งขันทางการเมืองได้ รัฐประหารครั้งนี้เป็นการกระทำของฝ่ายทหารบกแต่ฝ่ายเดียวซึ่งผิดกับการปฏิวัติ 2575 อันเกิดจากการร่วมมือทั้งสามฝ่ายของพลเรือน ทหารบก ทหารเรือ จึงทำให้ฝ่ายทหารบกครองอำนาจตั้งแต่นั้นมา เมื่อรัฐประหารสำเร็จ คณะรัฐประหารได้มอบหมายให้นายควง อภัยวงศ์หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 20 มกราคม 2491แต่ต่อมาคณะรัฐประหารกลับบีบบังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งลาออก 7 เมษายน 2491 และให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีแทน กบฏเสนาธิการ 1 ตุลาคม 2491 นายปรีดี พนมยงค์ พยายามกลับเข้ามามีอำนาจอีกโดยได้รับความร่วมมือจากทหารเรือบางส่วนทำการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 แต่ล้มเหลว การกบฏครั้งนี้รู้จักกันในนามของ กบฏวังหลวง(มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2532 :637) กบฏวังหลวง 26 กุมภาพันธ์ 2492ฝ่ายกบฏได้ยึดสถานีวิทยุกระจายเสียง ประกาศจัดตั้งรัฐบาลโดยให้นายดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ, นายทวี บุณยเกตุ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม,มหาดไทยตามลำดับ หลังจากเกิดกบฏ รัฐบาลของคณะรัฐประหารได้ทำการปราบปรามสำเร็จและต่อมาได้กวาดล้างนักการเมืองกลุ่มสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ เฉียบขาดชนิดถอนรากถอนโคน เป็นเหตุให้กลุ่มการเมืองของนายปรีดี พนมยงค์ไม่อาจมีบทบาททางการเมืองได้อีกต่อไป นักการเมืองที่เสียชีวิตได้แก่ นายทองเปลว ชลภูมิ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดร นายจำลอง ดาวเรือง ถูกยิงตายเมื่อ 3 มีนาคม2492 ขณะอยู่บนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกำลังนำผุ้ต้องหาทั้ง 4 ไปฝากขังที่สถานีตำรวจบางเขนเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่ามีคนร้ายมาแย่งชิงผู้ต้องหา นายทวี ตเวทิกุล ถูกเจ้าหน้าที่ยิงตายเมื่อ 1 เมษายน 2492ขณะที่กำลังหลบหนีที่จังหวัดสมุทรสงคราม นายเตียง ศิริขันธ์ นายชาญ บุนนาค และผู้ติดตามอีก 3 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลวงไปฆ่าเมื่อ 12 ธันวาคม 2495 แล้วนำไปเผาทำลายหลักฐานที่ทำการจังหวัดกาญจนบุรี กบฏแมนฮัตตัน 29 มิถุนายน 2494 รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494 สมัยของคณะรัฐประหาร 2490 มาสิ้นสุดลงโดยการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ16 กันยายน 2500 (สุขุม นวลสกุล :83-84) ส่วนกลุ่มทหารที่ทำรัฐประหารสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มกว้างๆ - กลุ่มที่หนึ่ง คือ กลุ่มของจอมพล
ป.พิบูลสงครามซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารให้เป็นผู้นำคณะรัฐประหารหลังจากลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2487 กลุ่มของจอมพลป.พิบูลสงคราม ส่วนใหญ่ คือ นายทหารที่เคยมีบทบาททางการเมืองมาแล้วตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองหรือเป็นผู้ใกล้ชิดกับจอมพล ป.พิบูลสงครามมาก่อน เช่น พลเอกมังกร พรหมโยธี พลตรีประยูร ภมรมนตรีพลเอกเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ จอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล และจอมพลอากาศฟื้น รณนภากาศฤทธาคนี พลอากาศโทมุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษฏ์ นอกจากนี้
ยังมีนายทหารรุ่นหลังที่ร่วมในการรัฐประหาร นักการเมืองพลเรือนบางคนร่วมด้วย เช่น พลโทบัญญัติ เทพหัสดินฯ พลเรือโทหลวงสุนาวินวิวัฒน์นายวรการบัญชา นายเลียง ไชยกาล เป็นต้น การกลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการทำรัฐประหารในปี 2594นั้น แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร จอมพล ป. มิได้อยู่ฐานะ “ท่านผู้นำ” มีอำนาจสั่งการเด็ดขาดเหมือนเมื่อก่อน กล่าวคือในสมัยแรกนั้นจอมพล ป. ขึ้นสู่อำนาจด้วยความสามารถทางทหารเริ่มแต่การเป็นผู้บังคับการกรมผสมปราบกบฎบวรเดช เป็นต้น และเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้คุมอำนาจไว้อย่างมั่นคง โดยเป็นทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จอมพล ป. เป็นทหารนอกประจำการไม่มีตำแหน่งใดๆ เลย จะมีก็แต่ความนิยมนับถือเป็นการส่วนตัวในฐานะที่เป็น “สัญลักษณ์” (symblo) ในหมู่ทหารเท่านั้น หากพิจารณาโครงสร้างของคณะรัฐประหารตามลักษณะการเข้ามารวมตัวของกลุ่มต่างๆ ก็จะมองเห็นสถานภาพของจอมพล ป. ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้ 1) กลุ่มจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แก่ บุคคลที่เคยร่วมงานกับจอมพล ป. มาในอดีต อาทิเช่น พลตรีปลด ปลดปรปักษ์พิบูลภานุวัตน์ พลตรีเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ พลโทมังกร พรหมโยธี พันเอกน้อม เกตุนุติ 2) กลุ่มนายทหารนอกประจำการ แต่ได้กลับเข้ารับราชการภายหลังรัฐประหาร ได้แก่ พลโทผิน ชุณหะวัณ พันเอกกาจ กาจสงคราม พันเอกก้าน จำนงภูมิเวท พันเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นต้น 3) กลุ่มนายทหารประจำการซึ่งเป็นกำลังหลักในการทำรัฐประหาร ได้แก่ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พันโทบัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา พันโทถนอม กิตติขจร พันโทประภาส จารุเสถียร พันโทละม้าย อุทยานานนท์ เป็นต้น การก้าวขึ้นสู่อำนาจครั้งที่สองของจอมพล ป. จึงอยู่ในลักษณะมาด้วยมือเปล่า ไม่มีอำนาจในตัวเองที่จะต่อรองตามความต้องการ นอกจากนี้การวางตัวของจอมพล ป. ก็อยู่ในฐานะลำบากด้วยการระมัดระวังมิให้กลุ่มต่างๆ
ในคณะรัฐประหารเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ต้องคอยเป็นตัวกลางรักษาดุลย์อำนาจมิ รัฐประหาร 2500 จึงเป็นการแย่งชิงอำนาจกันเองภายในคณะรัฐประหาร ประจวบเหมาะกับได้มีการเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งสกปรก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงได้โอกาสยึดอำนาจจากรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม 20 ตุลาคม 2501 ประการที่หนึ่ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้สร้างระบบเผด็จการทหารที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปกครองประเทศในฐานะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติด้วยอำนาจเด็ดขาดตั้งแต่ พ.ศ. 2501 – 2502 เป็นการปกครองที่ใช้อำนาจปฏิวัติอย่างเดียวโดยไม่มีรัฐธรรมนูญ และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ปกครองโดยมีธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ยังมีอำนาจพิเศษตามมาตรา 17 ที่จะดำเนินการอย่างใดก็ได้เพื่อแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ
ได้ยกเลิกระบบรัฐสภาที่ใช้มาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองและใช้ระบบการแบ่งแยกอำนาจในรูปแบบกึ่งรัฐสภาแทน คือ ฝ่ายบริหารเป็นอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกสภานิติบัญญัติเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ฝ่ายบริหารเข้าบริหารประเทศโดยไม่ต้องขอความไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร ประการที่สาม การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิงไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีพรรคการเมือง สภาฝ่ายนิติบัญญัติเป็นสภาแต่งตั้งทั้งหมดและใช้ชื่อว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ทั้งร่างรัฐธรรมนูญและพิจารณาร่างกฎหมาย สมาชิกส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ทหารและพลเรือนปัจจัยที่ส่งเสริมการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มีอยู่หลายประการ ประการที่หนึ่ง บุคลิกภาพของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เองที่มีภาวะผู้นำสูง มีความเด็ดขาดเป็นที่ยำเกรงแก่คนทั่วไป บุคคลิกภาพของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เช่นนี้ ยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้ ประการที่สอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์สามารถคุมกองทัพได้อย่างเด็ดขาดโดยที่ตนเองได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด นอกเหนือจากเป็นบัญชาการทหารบก ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีครั้งสุดท้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กำหนดให้มีตำแหน่งนี้ขึ้นอีกเป็นการถาวรและให้ตั้งกอบบัญชาการทหารสูงสุดขึ้น ทำให้กอบทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศขึ้นกับกองบัญชาการทหารสูงสุดนี้แทนที่จะขึ้นโดยตรงต่อรัฐมนตรีกลาโหมอย่างที่เคยเป็นมาก่อน ประการที่สาม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สร้างความชอบธรรมต่อระบบของตนในสองลักษณะ คือส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้ฟื้นฟูกิจกรรมหลายประการที่ช่วยเสริมสร้างพระบารมี เช่น การเดินสวนสนามปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์และขบวนพยุหยาตราทางชลมารค อีกลักษณะหนึ่งของความชอบธรรมคือ การแก้ปัญหาของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดโครงสร้างของระบบราชการเสียใหม่ เพื่อเน้นงานด้านพัฒนา เช่น จัดตั้งกระทรวงพัฒนาแห่งชาติ สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมพัฒนาชุมชน และสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถือว่า เรื่องของการปรับปรุงฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นเรื่องต้องมาก่อนการพัฒนาทางการเมืองหรือการพัฒนาประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังได้แก้ไขปัญหา เช่น การแก้ปัญหากลุ่มอันธพาลการลอบวางเพลิง และการปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีทั้งการจำขังโดยไม่มีการไต่สวน และการประหารชีวิตผู้ที่กระทำผิดดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้ยกเลิกการสูบฝิ่น การมีโสเภณีทั้งหมดที่เป็นความพยายามสร้างความชอบธรรมในอีกรูปหนึ่งทดแทนความชอบธรรมที่มาจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรม ในระยะนี้เริ่มมีปัญหาเพราะเงื่อนไขทางการเมืองหลายประการได้เปลี่ยนแปลงไป ที่สำคัญคือ บุคลิกภาพของจอมพลถนอม กิตติขจรแตกต่างไปจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นคนนุ่มนวล ท่าทางอ่อนโยน ไม่มีลักษณะเด็ดขาดห้าวหาญแบบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงไม่เหมาะกับการปกครองเผด็จการ ประการต่อมา อำนาจทางการเมืองและการทหารกระจายไปอยู่กับผู้นำต่างๆ ไม่ได้อยู่รวมกันในบุคคลคนเดียวอย่างในสมัยจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ ประการสุดท้าย ความรู้สึกในหมู่ประชาชนชิงชังระบบเผด็จการทหารมีมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อการคดโกงของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถูกเปิดเผย หลังจากได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับถาวรการเลือกตั้ง และเสรีภาพทางการเมือง จนในที่สุดรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจรได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรใน พ.ศ. 2511 การเลือกตั้งได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2512 จอมพลถนอม กิตติขจร จึงได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยการสนับสนุนจากรัฐสภาและทหาร(มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2532 :640-641) รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514 (สุขุม นวลสกุล :87)การปกครองประเทศไทย “คณะปฏิวัติ” มานานนับสิบปี ทำให้ฝ่ายทหารเคยชินกับการบริหารงานโดยปราศจากการคัดค้าน ฉะนั้นถึงแม้ว่า “คณะปฏิวัติ” จะได้หาทางสร้างความชอบธรรมในการปกครองประเทศโดยการจัดให้มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง มีรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 จอมพลถนอมกิตติขจร นายกรัฐมนตรีก็ได้ตัดสินใจทำรัฐประหารตัวเองเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2514 คือเพียงแต่ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ รัฐสภา ทางวิทยุ โทรทัศน์ เท่านั้น การเมืองในช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของบทบาททางการเมืองของทหาร ทางทหารจำต้องปรับบทบาททางการเมืองเสียใหม่ ลักษณะสำคัญของระบบการเมืองในช่วงนี้ คือ กลุ่มพลังนอกระบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพลังนักศึกษามีความเข้มแข็งมากขึ้นจนสามารถรวบรวมมวลชนล้มรัฐบาลทหารได้ ในช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2511-2516 มีลักษณะที่น่าสนใจ คือ ผู้นำทหารโดยพื้นฐานแล้วยังไม่มีความเต็มใจในการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้กับประชาชนเท่าใดนัก แต่ยังต้องการกลับไปมีอำนาจเด็ดขาดอย่างที่เคยมีมาก่อน ในช่วง พ.ศ. 2512-2514 ที่มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองและสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นการผ่านปรนเพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดทางการเมืองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่ออำนาจได้กระจายออกไปอยู่ในหมู่ผู้นำทหารหลายคน การจะดึงอำนาจกลับมาเป็นระบอบเผด็จการอีกเป็นของไม่ง่ายนักจึงต้องยอมอยู่ในระบบกึ่งรัฐสภาไปพลางก่อน ผู้นำทหารที่มีส่วนร่วมในโครงสร้างอำนาจในขณะนั้น คือ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียรพลเอกกฤษณ์ สีวะรา พลอากาศเอกทวี จุลทรัพย์ และพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ ทุกคนเป็นลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มาก่อน แต่ละคนมีกลุ่มนายทหาร พ่อค้า และนักการเมืองจำนวนหนึ่งเป็นผู้สนับสนุนการต่อรองผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มเหล่านี้มีอยู่ตลอดเวลา การรวมกลุ่มของผู้นำทหารเป็นไปอย่างแคบๆ และมีความพยายามที่จะให้อำนาจสืบทอดในหมู่ของญาติพี่น้องและพรรคพวกของตนเท่านั้น กลุ่มของจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร เชื่อมโยงกันโดยการแต่งงานระหว่างพันเอกณรงค์ กิตติขจร บุตรชายของจอมพลถนอม กิตติขจร กับบุตรสาวของจอมพลประภาส จารุเสถียร พันเอกณรงค์ กิตติขจรได้แสดงบทบาททางการเมืองอย่างเข็มแข็งจนเป็นที่เข้าใจว่า จะเป็นผู้สืบทอดอำนาจทางการเมืองจากบิดาของตน จึงได้มีการรวมกลุ่มของตนมากขึ้นและมีนักธุรกิจเป็นจำนวนไม่น้อยเข้ามาร่วม ดังนั้น บทบาททางการเมืองและวิธีสร้างอำนาจทางการเมืองของผู้นำทหารไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนหน้านี้เลย คือ ยังคงเห็นว่าการคุมกำลังทหารกับการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างอำนาจทางการเมืองส่วนการสร้างความเชื่อมโยงกับประชาชนนั้นไม่มีการคำนึงถึงเลยและคิดว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น ความเชื่อเช่นนี้แสดงว่า ทหารปรับตัวช้ากว่าเงื่อนไขและสภาพทางการเมืองซึ่งเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่า ลักษณะเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้น เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจรยึดอำนาจตัวเองและประกาศจัดตั้งคณะปฏิวัติขึ้นปกครองประเทศ ความพยายามที่จะผูกขาดอำนาจเห็นได้จากการต่ออายุราชการทั้งจอมพลถนอม กิตติขจรและจอมพลประภาส จารุเสถียร ใน พ.ศ. 2514 ซึ่งยังความไม่พอใจในหมู่นิสิตนักศึกษาและบรรดานายทหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลเอกกฤษณ์ สีวะรา ซึ่งทำให้การเป็นผู้บัญชาการทหารบกต้องช้าออกไป สภาพเช่นนี้ทำให้ขบวนการนักศึกษาซึ่งคอยสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองเติบโตได้อย่างรวดเร็วและสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนได้สำเร็จ พ.ศ. 2516-2519 บทบาทของทหาร ตั้งแต่เหตุการณ์ “14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 -เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519” ได้ให้บทเรียนหลายประการแก่ฝ่ายทหารที่สำคัญ คือนับเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ประชาชนสามารถล้มรัฐบาลทหารได้ นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความตื่นตัวทางการเมืองอย่างมากของนักศึกษาและประชาชน การตื่นตัวของบรรดานิสิต นักศึกษา และประชาชนเช่นนี้เป็นผลของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวทางด้านการศึกษา เหตุการณ์นี้ยังแสดงให้เห็นอีกว่า ระบบการปกครองที่อำนาจผูกขาดอยู่ในคนกลุ่มเดียวกันเพียงไม่กี่คนไม่สามารถเผชิญกับการท้าทายของสังคมที่มีความหลากหลายมากขึ้น มีกลุ่มพลังรวมตัวเรียกร้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น มีกลุ่มพลังรวมตัวเรียกร้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น สังคมไทยในระยะนั้นเริ่มมีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีการรวมกลุ่มทางสังคมและเศรษฐกิจ กลุ่มเหล่านี้มีความตื่นตัวทางการเมืองและต้องการมีบทบาททางการเมืองสภาพเช่นนี้มีผลให้การต่อต้านระบอบเผด็จการขยายตัวได้รวดเร็ว บรรดาปัญญาชนขาดความเชื่อมั่นในกองทัพ เห็นว่าผู้นำทหารทุกคนไม่แตกต่างไปจากผู้นำทั้งสามนี้เท่าใดนักคือ ปกครองประเทศโดยไม่คำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชนและแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ กองทัพบกจึงถูกประชาชนและผู้นำนิสิต นักศึกษาโจมตีอย่างรุนแรงไม่ว่าเป็นเรื่องบทบาททางการเมืองในอดีต และการปราบปรามการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่า ผู้ใดเป็นคอมมิวนิสต์ ผู้ใดเป็นชาวบ้านธรรมดาการปราบปรามโดยไม่เลือกหน้าเช่นนี้มีผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนไปด้วย ดังนั้น กองทัพจำต้องปรับปรุงบทบาททางการเมืองใหม่และต้องสร้างภาพพจน์ใหม่ ทหารได้ลดบทบาททางการเมืองโดยตรงลง กลายเป็นกลุ่มกดดัน ยอมรับในบทบาทในด้านการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น ทหารเองต้องการเน้นเรื่องพัฒนาด้วยเพื่อสร้างภาพพจน์ใหม่ ช่วงที่ 3 พ.ศ. 2519 – ปัจจุบัน เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 แสดงให้เห็นว่า ทหารได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่สำคัญ ผู้ทำการทำรัฐประหารครั้งนี้ไม่ใช่ทหารบก แสดงถึงกองทัพบกขาดผู้นำและมีการแตกแยกภายใน สภาพนี้เป็นผลของการที่กองทัพบกตกอยู่ภายใต้ผู้นำคนเดียว คือ จอมพลประภาส จารุเสถียรนานเกินไปตั้งแต่ พ.ศ. 2507 จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2516 ไม่มีการสร้างผู้นำขึ้นมาทดแทน ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังทำให้กองทัพบกต้องแสวงหาทางใหม่เพื่อกำหนดบทบาทของตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และยังต้องคำนึงถึงการกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติภูมิที่สูญเสียไป ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบให้เกิดการรวมกลุ่มของบรรดานายทหารเพื่อหาแสงทางการแก้ปัญหาข้างต้น กลุ่มที่หนึ่ง ที่จะกล่าวถึง คือ กลุ่มยังเติร์กหรือกลุ่มทหารหนุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจและบทบาทอย่างสำคัญก่อนหน้า พ.ศ. 2522 การรวมกลุ่มของนายทหารเหล่านี้เกิดขึ้นจากความไม่พอใจในการแบ่งพรรคพวกและทำประโยชน์ส่วนตัวในกองทัพ ทำให้กองทัพเสียชื่อเสียง และหย่อนสมรรถภาพเป็นกองทัพส่วนตัว เหตุการณ์วุ่นวายในช่วง พ.ศ. 2516-2519
ผลักดันให้นายทหารระดับกลางที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันรวมตัวกันอย่างจริงจัง ผู้นำสำคัญในกลุ่มนี้ คือ พันเอกมนูญ รูปขจร พันเอกชูพงษ์ มัทวพันธ์ พันเอกปรีดี รามสูตร พันเอกชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล พันเอกประจักษ์ สว่างจิตร และพันเอกจำลอง ศรีเมืองทั้งหมดเป็นนายทหาร กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ กลุ่มนี้มีการรวมตัวอย่างหลวมและต้องรวมตัวกันเพราะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศบุคคลสำคัญ คือ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ พลเอกยศ เทพหัสดินฯ และได้สร้างแนวร่วมกับพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ความคิดของกลุ่มนี้เป็นตัวแทนของกลุ่มทหารเก่าที่ไม่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน กลุ่มนี้อาศัยบารมีเก่าที่สะสมไว้และนับวันจะลดน้อยลงทุกทีจึงไม่ค่อยมีความเข็มแข็งนัก กลุ่มนี้ไม่มีกำลังทหารบกอยู่ในมือ จึงมีอิทธิพลลดน้อยลงไปอีก กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มของทหารประชาธิปไตย กลุ่มนี้มีลักษณะตรงกันข้ามกับกลุ่มยังเติร์ก คือ กลุ่มของทหารนักคิดหรือนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่สนใจในเรื่องของการพัฒนาทางการเมืองของประเทศ ความมั่นคงของชาติ และการขยายตัวของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ กลุ่มที่สี่ ที่จะกล่าวถึง คือ กลุ่ม จ.ป.ร. รุ่น 5 กลุ่มนี้รวมตัวกันเพื่อค้านอิทธิพลของกลุ่มยังเติร์กผู้นำของกลุ่มที่สำคัญมี พันเอกสุจินดา คราประยูร และพันเอกอิสรพงศ์ หนุนภักดี กลุ่มนี้มีลักษณะรวมกันเฉพาะรุ่นของตนเท่านั้น เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลนายทหารรุ่นเดียวกัน แต่ได้กลายเป็นกลุ่มทางการเมือง เป็น“ทหารนอกแถว” คือไม่ยอมเคารพเชื่อฟังนายทหารที่เป็นผู้ใหญ่กว่า (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2532 :647-648) |