ประจักษ์ ก้องกีรติ เรื่อง ผมเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่คงเคยได้ยินคำกล่าวที่พูดกันติดหูว่า “ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์” แต่ในสังคมไทยของเรา เรื่องราวกลับไม่ได้ดำเนินไปเช่นนั้น เพราะสิ่งที่เรียกว่า “ประวัติศาสตร์” ซึ่งคือการบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วให้คนรุ่นหลังได้จดจำนั้น ช่างเต็มไปด้วยความยอกย้อนและซ่อนเงื่อน ผู้ชนะในสมรภูมิทางการเมืองบ่อยครั้งกลับพ่ายแพ้ในสมรภูมิการเขียนประวัติศาสตร์ “คณะราษฎร” ก็อยู่ในข่ายนี้ อันที่จริงหากเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ คณะราษฎรนั้นเป็นกลุ่มที่น่าสงสารมิใช่น้อย แม้ว่าจะเป็นคณะบุคคลผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศให้ทันสมัยและก้าวหน้า แต่กลับไม่ถูกจดจำในประวัติศาสตร์ แทบไม่มีพื้นที่อยู่ในแบบเรียน ไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีภาพยนตร์หรืองานวัฒนธรรมที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้าใจถึงบทบาทของพวกเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจกว่าการหลงลืมและทำให้คณะราษฎรไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในพื้นที่สาธารณะ คือ การที่สังคมไทย
ซึ่งในที่นี้หมายถึงปัญญาชนและชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยม พยายามจัดการกับเหตุการณ์การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ที่นำโดยคณะราษฎร ผ่านการสร้างมายาคติขึ้นมาหลายประการ เพื่อลดทอนคุณค่าความสำคัญและทำให้เหตุการณ์นี้ดูรางเลือนและสับสน ยกตัวอย่างเช่น ในแบบเรียนกระทรวงศึกษาธิการวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (หลักสูตร พ.ศ. 2551) เขียนถึงกำเนิดประชาธิปไตยไว้ดังนี้ “ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งรับแบบอย่างมาจากประเทศอังกฤษโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (น. 109) สังเกตว่าไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์ 2475 ไม่มีการเอ่ยถึงคณะราษฎรและบทบาทของประชาชน ราวกับประชาธิปไตยอุบัติขึ้นมาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุที่ชัดเจน สังคมไทยตกอยู่ภายใต้การครอบงำของมายาคติทางประวัติศาสตร์แบบอนุรักษนิยม จนเราไม่ได้เรียนรู้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน
ประวัติศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือของการควบคุมกล่อมเกลาความคิดคนมากกว่าเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้เพื่อให้เท่าทันอดีตของสังคมตนเอง มายาคติเช่นนี้เองที่กลายเป็นฐานรองรับให้ความชอบธรรมกับกระแสการถวิลหา และนำพาสังคมไทยหวนคืนกลับไปสู่การปกครองแบบโบราณภายใต้ชนชั้นนำจารีต จากการสำรวจตรวจสอบ พบว่า มายาคติที่มีอิทธิพลครอบงำเกี่ยวกับการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 มีอยู่ 4 ประการหลักด้วยกัน คำว่า “ชิงสุกก่อนห่าม”
กลายเป็นคำที่ถูกผูกติดกับการปฏิวัติ 2475 เพื่อให้ภาพว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยที่ประชาชนยังไม่พร้อมเพราะขาดการศึกษา และเกิดขึ้นทั้งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเตรียมที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว ในขณะที่งานศึกษาวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า 2475 เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยหลายประการมาบรรจบกันจนสุกงอมแล้วต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น
คำกล่าวที่บอกว่ารัชกาลที่ 7 ทรงเตรียมที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องจริง ปัญหาอยู่ที่ว่าร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ได้มีเนื้อหาที่มุ่งปรับเปลี่ยนการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่ยังคงมุ่งรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ที่อำนาจกระจุกตัวอยู่ที่ชนชั้นสูงไว้ เพียงแค่ตั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและถอดถอนได้ และให้มีสภาที่มาจากการแต่งตั้งเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในการบริหารราชการ ข้อเท็จจริงก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ (ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและอำนาจทางการเมืองแต่อย่างใด) ก็ยังถูกบรรดาที่ปรึกษาของรัชกาลที่ 7 ลงความเห็นว่าก้าวหน้าเกินไป คนไทยยังไม่พร้อมกับการมีรัฐธรรมนูญแบบนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือ จวบจนเดือนมิถุนายน 2475 สถานการณ์ของการเมืองโลกและการเมืองไทยมาถึงจุดที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขาดความยืดหยุ่นและไม่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เงื่อนไขของการปฏิวัติสุกงอมเหมือนมะม่วงที่พร้อมจะหล่นลงจากต้น รอเพียงแค่มีคนมานำการเด็ดเท่านั้น 2. มายาคติ “การปฏิวัติของนักเรียนนอกจำนวนน้อย”อีกหนึ่งมายาคติที่แพร่หลาย คือ 2475 เป็นการปฏิวัติของคนหยิบมือเดียวที่เป็นนักเรียนนอกรุ่นหนุ่มใจร้อนฝักใฝ่แนวคิดฝรั่ง ในความเป็นจริง หลักฐานทางประวัติศาสตร์จำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ความเชื่อเช่นนี้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ประการแรก เฉพาะในกลุ่มคณะราษฎรเองก็ไม่ได้มีแต่นักเรียนนอก แต่มีทั้งนักเรียนใน และข้าราชการและพลเรือนที่เกิด เติบโต และเป็นผลผลิตของการศึกษาในประเทศ มายาคติที่บอกว่าการปฏิวัติ 2475 เป็นเรื่องของคนหนุ่มที่แปลกแยกจากความเป็นไทยจึงไม่เป็นความจริง ปัจจัยด้านแนวคิดจากต่างประเทศอาจมีส่วนสำคัญในการบ่มเพาะความคิด แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติคือ ความเสื่อมโทรมล้าหลังและความอยุติธรรมที่ดำรงอยู่ในระบบการบริหารราชการแผ่นดินในประเทศ ณ ขณะนั้น ดังที่ พระยาพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในผู้นำคณะราษฎร กล่าววิพากษ์วิจารณ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ว่า
ประการที่สอง การปฏิวัติ 2475 มิใช่การปฏิวัติของคนจำนวนร้อยกว่าคนที่รวมตัวกันในนามคณะราษฎรเท่านั้น หลักฐานประวัติศาสตร์จำนวนมากชี้ให้เห็นว่า มันคือการปฏิวัติที่มีฐานสนับสนุนทางสังคมอย่างกว้างขวางจากคนหลายกลุ่มหลายอาชีพ แน่นอนว่า หากนำเกณฑ์หลายอย่างมาวัด การปฏิวัติ 2475 มิใช่การปฏิวัติมวลชนที่มีคนเรือนแสนเรือนล้านมาเข้าร่วม แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่การยึดอำนาจของคนเพียงหยิบมือเดียว ความคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นความคิดที่แพร่หลายอยู่ในกลุ่มทางสังคมหลายกลุ่ม ได้แก่ นักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ผู้มีการศึกษา ครู ชนชั้นกลางในเมือง พ่อค้า เจ้าของกิจการขนาดย่อย ดังที่ เสนีย์ เสาวพงศ์ นักเขียนเรืองนามบันทึกไว้ว่า
3. มายาคติ “กระหายอำนาจและยึดอำนาจไว้กับกลุ่มตนเองเพียงลำพัง”การมองเช่นนี้เป็นการมองการเมืองหลังการปฏิวัติ 2475 แบบขาวดำและผิดไปจากความเป็นจริง ที่ยิ่งเป็นตลกร้ายก็คือ งานวิชาการทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ 2475 หลายชิ้นในระยะหลังกลับชี้ให้เห็นว่า สาเหตุหลักที่ทำให้การปฏิวัติ 2475 ล้มเหลวในการสถาปนาประชาธิปไตย เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของคณะราษฎรที่ประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเดิมในระบอบเก่ามากเกินไป แทนที่จะผนึกรวมอำนาจให้เป็นปึกแผ่นและผลักดันนโยบายของตนเองอย่างเต็มกำลัง การประนีประนอมนี้น่าจะเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคงในฐานอำนาจของฝ่ายนิยมระบอบใหม่ บวกกับความรู้สึกที่ไม่อยากหักหาญกับชนชั้นสูงในระบอบเก่า โดยเชื่อว่า หากแสวงหาความร่วมมือน่าจะผลักดันระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยได้ราบรื่นมั่นคงกว่า เราจึงพบว่ามีการประนีประนอมระหว่างคณะราษฎรกับราชสำนักตั้งแต่วันแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กรรมการร่างฯ ส่วนใหญ่เป็นขุนนางในระบอบเก่าในระดับพระยา มีปรีดีเป็นสมาชิกคณะราษฎรเพียงคนเดียวในกรรมการร่าง ส่วนอำนาจนิติบัญญัตินั้น คณะราษฎรตั้งผู้แทนราษฎร 70 นาย โดยเป็นฝ่ายของคณะราษฎรเพียง 32 นาย ที่เหลือเป็นขุนนางในระบอบเก่า ที่สำคัญคืออำนาจฝ่ายบริหารโดยเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้นำคณะราษฎรก็มิได้ดำรงตำแหน่งเอง แต่กลับไปเชื้อเชิญพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งเป็นขุนนางที่ศรัทธาในระบอบเก่าและมีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมมารับตำแหน่ง ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายตามมา เมื่อพระยามโนฯ คัดค้านแนวทางการจัดการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ โดยมีการนำกำลังทหารมาปิดล้อมรัฐสภาในวันที่ 1 เมษายน 2476 สั่งปิดสภา ยุบคณะรัฐมนตรี และงดเว้นการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปลดผู้สนับสนุนปรีดีจากอำนาจ และโยกย้ายนายทหารฝ่ายคณะราษฎรจำนวนหนึ่งถูกไปต่างจังหวัด นับเป็นการรัฐประหารครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มองในแง่นี้ ความวุ่นวายหลังการปฏิวัติ 2475 ระลอกแรกเกิดจากฝ่ายขุนนางเก่าที่ต้องการล้มล้างระบอบรัฐธรรมนูญและยื้อแย่งอำนาจกลับคืนจากคณะราษฎรไปสู่กลุ่มตน กระทั่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาหยุดชะงัก การรัฐประหาร 2476 ของพระยามโนฯ เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายคณะราษฎรที่ต้องการพิทักษ์รักษามรดกของการปฏิวัติ กับฝ่ายขุนนางอนุรักษนิยมที่ต้องการทำลายคณะราษฎรและล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่มีการแบ่งแยกอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญกลับไปสู่ระบอบกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์กบฏบวรเดชและอีกหลายเหตุการณ์ความขัดแย้งในเวลาต่อมา การโจมตีคณะราษฎรแต่เพียงฝ่ายเดียวว่าหวงแหนอำนาจและยึดอำนาจจากกลุ่มเจ้านายและขุนนางไปเป็นของกลุ่มตน โดยไม่พิจารณาความพยายามของขุนนางในระบอบเก่าที่ต้องการรวบอำนาจกลับไปไว้ที่ชนชั้นเจ้านายและขุนนางเช่นกัน จึงเป็นการมองประวัติศาสตร์แบบไม่รอบด้าน หากพยายามจะเข้าใจพฤติกรรมของคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ 2475 ก็จำเป็นต้องเข้าใจการปฏิปักษ์ปฏิวัติของกลุ่มขุนนางเก่าหลัง 2475 ด้วยเช่นกัน ประวัติศาสตร์คือเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอ มายาคตินี้บอกว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ไม่ใช่การปฏิวัติ เพราะมิได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เป็นเพียงการรัฐประหารที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้ถือครองอำนาจรัฐเท่านั้น ในข้อนี้อีกเช่นกันที่งานวิจัยทางประวัติศาสตร์หลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า “ไม่จริง” ในทางตรงกันข้าม เหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 ส่งผลกระทบเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลและครอบคลุมคนวงกว้างทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมความคิด ในด้านการเมือง เกิดการปรับโครงสร้างอำนาจ สถาปนาการปกครองโดยรัฐธรรมนูญที่มีการแบ่งแยกอำนาจเป็นสามฝ่าย (นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ) มีการสร้างสถาบันทางการเมืองใหม่ อาทิ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี สมาคมการเมือง กลุ่มผลประโยชน์วิชาชีพ การเลือกตั้ง ฯลฯ ที่เปิดให้คนหน้าใหม่และสามัญชนเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจสาธารณะมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การขยายระบบราชการและปรับวิธีการทำงาน ทั้งยังมีการปฏิรูประบบกฎหมาย มีการแก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบกับต่างชาติ ทำให้ประเทศมีเอกราชที่สมบูรณ์ ในด้านสังคม มีการจัดระบบการศึกษา ระบบการแพทย์และสาธารณสุข และระบบคมนาคมที่ทันสมัย ครอบคลุม และเสมอภาคมากขึ้น โดยรัฐบาลดำเนินบทบาทหน้าที่แบบรัฐสมัยใหม่มากขึ้น พยายามจัดหาสินค้าและบริการสาธารณะให้ถึงมือประชาชน เกิดการขยายตัวของโรงเรียนและมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลทั้งในและนอกกรุงเทพฯ และถนนหนทางเชื่อมต่อการเดินทางและขนส่งสินค้า สามัญชนมีโอกาสในการเลื่อนชั้นทางสังคมมากขึ้น ในด้านเศรษฐกิจ รัฐเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในการวางนโยบายและพัฒนาระบบการค้าและการลงทุนในภาคเกษตรกรรม บริการ และอุตสาหกรรม มีการวางโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ขึ้นมารองรับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เข้าไปจัดหางานและส่งเสริมอาชีพต่างๆ แน่นอนว่า การเข้าไปมีบทบาทของรัฐมากขึ้นในทางเศรษฐกิจนี้มีทั้งด้านบวกและลบ แต่ประเด็นตรงนี้คือ หลัง 2475 มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในด้านวัฒนธรรมและความคิด เกิดการเฟื่องฟูของหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วัฒนธรรมการพิมพ์ ละคร และวัฒนธรรมที่อยู่นอกภาครัฐ เกิดการถกเถียงทางอุดมการณ์อันหลากหลายเข้มข้นทั้งที่สนับสนุนและต่อต้านรัฐ มีทั้งแนวคิดประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ อนุรักษนิยม รอยัลลิสต์ สังคมนิยม รวมถึงชาตินิยมแบบต่างๆ แพร่หลายและต่อสู้กัน เกิดพื้นที่ทางปัญญาและวัฒนธรรมใหม่ๆ มากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐ ด้วยเหตุนี้ 24 มิถุนายน 2475 จึงมีฐานะเป็นการปฏิวัติ เพราะมันสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปริมณฑลวงกว้างที่นอกเหนือจากศูนย์กลางในกรุงเทพฯ เกิดโครงสร้างการเมืองใหม่ รูปแบบทางเศรษฐกิจใหม่ และจิตสำนึกแบบใหม่ในหมู่ประชาชน 24 มิถุนายน 2475 ก็เหมือนการปฏิวัติในสังคมอื่นๆ มีทั้งด้านที่สำเร็จและล้มเหลว มีจุดแข็งและจุดอ่อน มีความก้าวหน้าและมีข้อบกพร่อง เพราะมันเป็นการปฏิวัติของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อที่เป็นปุถุชน มิใช่อรหันต์ ความขัดแย้งและการช่วงชิงอำนาจในภายหลังก็เป็นเรื่องปกติเฉกเช่นการปฏิวัติครั้งอื่นที่เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์โลก ปัญหาอยู่ที่ว่า จนถึงวันนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ “พลิกแผ่นดิน” ครั้งนี้อย่างรอบด้านแล้วหรือยัง การถกเถียงและการประเมินฐานะความสำคัญของเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 เป็นเรื่องสำคัญและควรทำ แต่เงื่อนไขสำคัญคือสังคมต้องมีเสรีภาพให้ประชาชนได้เถียงและตั้งคำถามเรื่องประวัติศาสตร์ โดยไม่ต้องหวาดกลัวอำนาจลงทัณฑ์ทางกฎหมายหรือการปิดกั้นจากรัฐ ทั้งนี้การตั้งคำถามกับมายาคติที่ไหลเวียนอยู่ในสังคมน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของกระบวนการเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจพัฒนาการของสังคมอย่างถ่องแท้ มิใช่เข้าใจอดีตเฉพาะในแบบที่ชนชั้นนำอยากควบคุมให้เราเข้าใจ ———-ความน่าจะอ่าน 2475เล่มที่ 1ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2475: การปฏิวัติสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 2 (แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, “อ่านเข้าใจง่าย ไทม์ไลน์ชัดเจน อธิบายเป็นระบบ เขียนโดยนักประวัติศาสตร์อาวุโสมือฉมัง ควรเป็นเล่มนับหนึ่งสำหรับผู้เริ่มศึกษา” เล่มที่ 2ณัฐพล ใจจริง. ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500). นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2556. “อธิบายเรื่องการต่อต้านการปฏิวัติ 2475 โดยกลุ่มเจ้านายและขุนนางเก่าอย่างละเอียด ตื่นเต้น เร้าใจ เต็มไปด้วยเกร็ดเรื่องราวที่ไม่เคยรู้กันมาก่อน ท้าทายมุมมองเก่าที่เน้นแต่ความขัดแย้งภายในคณะราษฎร” เล่มที่ 3นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475. พิมพ์ครั้งที่ 5 (ฉบับแก้ไขและปรับปรุงครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2553. “เล่มนี้คลาสสิกขึ้นหิ้ง ผลจากการค้นคว้าร่วมทศวรรษ เปิดมุมมองให้เห็นการปรับเปลี่ยนสถาบันทางการเมือง โครงสร้างอำนาจ และฐานสนับสนุนทางสังคมของการปฏิวัติ ใช้หลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์มากมายมหาศาล ควรอ่านเล่มชาญวิทย์มาก่อน” เล่มที่ 4ศราวุฒิ วิสาพรม. ราษฎรสามัญหลังวันปฏิวัติ 2475. กรุงเทพฯ: มติชน, 2559. “งานวิจัยใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับ 2475 ฉายให้เห็นผลสะเทือนของการปฏิวัติ 2475 ว่าส่งผลกระทบกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าที่เราเข้าใจกัน โดยเฉพาะต่อชีวิตราษฎรที่เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับรัฐทั้งก่อนและหลังการปฏิวัติ” เล่มที่ 5สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย. เบื้องแรกประชาธิปตัย: บันทึกความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัย พ.ศ. 2475-2500. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2559. “สำหรับคนชอบอ่านประวัติศาสตร์ผ่านบันทึกความทรงจำของตัวบุคคล เล่มนี้รวมมาครบตัวละครสำคัญในห้วงยามความขัดแย้งก่อนและหลังการปฏิวัติ อาทิ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ปรีดี พนมยงค์ พระยาทรงสุรเดช ประยูร ภมรมนตรี ควง อภัยวงศ์ ผิณ ชุณหะวัณ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม อ่านสนุก” ประชาธิปไตย ประจักษ์ ก้องกีรติ การปฏิรูปการศึกษา คณะราษฎร 24 มิถุนายน 2475 2475 การอภิวัฒน์สยาม อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจักษ์สนใจศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทย สถาบันการเมืองและวัฒนธรรมการเมือง ความรุนแรงและความขัดแย้งทางการเมือง การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจักษ์เป็นผู้เขียนหนังสือ “และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ” “ประชาธิปไตยในยุคเปลี่ยนผ่าน” และ “การเมืองวัฒนธรรมไทย” ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คืออะไรการปฏิวัติดังกล่าวมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถูกจำกัดพระราชอำนาจและเอกสิทธิ์ที่มีมาแต่โบราณ แม้จะทรงได้รับถ้อยคำที่อบอุ่นและเป็นมิตร แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในความหวาดกลัวและทรงวิตกว่าการเผชิญหน้าระหว่างพระองค์กับคณะราษฎรในภายภาคหน้าจะทำให้พระองค์และสมเด็จ ...
เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เกิดขึ้นในสมัยใด24 มิถุนายน – การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475: คณะราษฎรดำเนินการปฏิวัติยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะราษฎร
คณะก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เรียกว่าอะไรคณะราษฎรเกิดขึ้นจากการประชุมของคณะผู้ก่อการในเดือนกุมภาพันธ์ 2469 จากนั้นมีการสมัครสมาชิกเพิ่ม จนในปี 2475 ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศสยาม จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แม้ว่าพระมหากษัตริย์และฝ่ายกษัตริย์นิยมจะต่อต้านคณะ ...
|