จ่ายค่าที่ปรึกษาไปสิงคโปร์ หัก ณ ที่จ่าย

การทําธุรกรรมระหว่างประเทศ อาจจะมีการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศ

  • ค่าบริการใดบ้างที่เข้าข่าย จะต้องถูกหัก ณ ที่จ่าย หรือ ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • ตรวจสอบให้ดีจะได้ไม่ผิดต่อกฎหมาย และไม่เสียผลประโยชน์เพราะบางประเทศอาจมีข้อยกเว้น หรือ ลดอัตราภาษี

  • การทําธุรกรรมระหว่างประเทศ อาจจะมีการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะต้องคํานึงถึงก็คือ ค่าบริการเหล่านั้น จะต้องถูกหัก ณ ที่จ่าย หรือต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

    กรณีนี้ขอกล่าวถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน จากประสบการณ์ที่เคยเจอ คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แต่ในความเป็นจริงนั้น จะต้องพิจารณาในรายละเอียดว่า

    • จ่ายไปยังประเทศใด

    • จ่ายค่าบริการประเภทไหน

    วิธีดูการหักภาษี ณ ที่จ่ายสําหรับการจ่ายค่าบริการ ให้ดูที่กฎหมายหลักก่อน คือมาตรา 70 ซึ่งมีใจความว่า

    มาตรา 70

    “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศที่มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย และได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2)(3){4}(5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย

    การเสียภาษีกรณีนี้ กฎหมายให้เสียโดยวิธีหักภาษี คือ

    • ผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าวจะต้องหักภาษี จากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามวิธีการ และอัตราดังหัวข้อถัดไป

    • ทั้งนี้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้จ่ายเงินได้ก็ตาม ภาษีที่หักไว้ในกรณีนี้เป็นภาษีที่เสียเด็ดขาด จึงเสร็จสิ้นเป็นรายครั้งไป”

    ในการพิจารณาเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายในการจ่ายค่าบริการไปยังต่างประเทศนั้น

    1 คือต้องพิจารณาว่า ค่าบริการนั้น จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(2) จนถึง (6) หรือไม่ ถ้าหลุดจาก 5 ประเภทนี้แล้ว

    = ไม่ต้อง หัก ณ ที่จ่าย

    2 แต่ถ้าตกอยู่ใน 5 ประเภทนี้ ยังต้อง พิจารณาต่อว่ากิจการของคู่ค้ารายนั้น ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการจดอนุสัญญาภาษีซ้อนกับเราหรือไม่

    = ถ้ามี อาจจะได้รับยกเว้น หรือลดอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย

    สําหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็แค่พิจารณาว่าผลของงานบริการนั้นได้ถูกใช้ ในประเทศไทยหรือไม่

    ถ้าคําตอบคือใช่ ก็ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

    ตัวอย่าง

    1.การจ่ายค่าโฆษณา

    ถ้าบริษัทในประเทศไทยมีการจ่ายค่าโฆษณาใน Search Engine ให้กับบริษัท G. ในต่างประเทศ เรามาพิจารณาว่า ค่าโฆษณาจัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด?

    คําตอบคือ ค่าโฆษณา จัดอยู่ในเงินได้ประเภท 40(8) ซึ่งไม่ได้ถูกระบุอยู่ในมาตรา 70 ดังนั้น การจ่ายค่าโฆษณาดังกล่าวจึงไม่ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และจึงไม่ต้องพิจารณาต่อว่า คู่ค้านั้นตั้งอยู่ในประเทศใด

    ส่วนในการพิจารณาเกี่ยวกับการนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ให้พิจารณาว่า

    บริการดังกล่าวนั้น ให้บริการในต่างประเทศ แต่มีการส่งผลของการให้บริการมาใช้ในประเทศไทยหรือไม่

    แนววินิจฉัยอันน่ารักของกรมสรรพากรก็คือ

    การโฆษณาบน Search Engine นั้น แน่นอนต้อง มีคนในประเทศไทยเห็น จึงถือว่าเป็นบริการ ในต่างประเทศที่นำผลของการบริการมาใช้ในราชอาณาจักร ดังนั้น

    • บริษัทผู้จ่ายเงินได้นี้ ต้องนําส่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าบริการ ในนามของบริษัทในต่างประเทศ ด้วยแบบฟอร์ม ภ.พ.36

    • แต่ในขณะเดียวกันบริษัทผู้จ่ายเงินได้ก็สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน

    ตัวอย่าง

    2 การจ่ายค่า Software

    บริษัทในไทยซื้อ Software บัญชี จากคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา = Software บัญชี จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(3) ค่าสิทธิ

    • ผู้จ่ายเงินได้นี้จึงมีภาระในการหัก ณ ที่จ่าย 15% ตามมาตรา 70

    • แต่ยังจ่ายเลยไม่ได้ ต้องมาดูต่อว่า ประเทศสหรัฐฯ นั้นมีการจดอนุสัญญา ภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่

    ซึ่งในเว็บไซต์ของกรมสรรพากรระบุว่ามีจดกันไว้ ฉะนั้นก็ต้องไปดูต่ออีกว่าในอนุสัญญาภาษีซ้อนที่จดไว้กับประเทศสหรัฐฯ นั้น เขียนเกี่ยวกับเรื่อง Software ไว้อย่างไร

    ปรากฏว่าเขาระบุว่าถ้าจ่ายค่า Software ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 5%

    ดังนั้น ในกรณีนี้

    • บริษัทผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%

    จากค่าบริการแล้วนําส่งกรมสรรพากรด้วย ภงด.54

    • แต่ถ้าคู่ค้าของเราอยู่ในประเทศที่ไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย

    ก็จะต้องโดนภาษีหัก ณ ที่จ่ายไป 15% เต็มๆ

    ทีนี้มาดูกันว่าจะต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ก็พิจารณาว่าบริการนั้นได้ถูกนํามาใช้ ในประเทศไทยหรือไม่

    แน่นอน คําตอบคือ Software นั้นถูกนํามาใช้ในประเทศไทย ดังนั้น บริษัทผู้จ่ายเงินได้นี้

    ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าบริการในนามของบริษัทในต่างประเทศด้วยแบบฟอร์ม ภ.พ.36 แต่ในขณะเดียวกันบริษัทผู้จ่ายเงินได้ก็สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน เส้นตายของการนําส่งภาษีทั้ง 2 ประเภทนั้น คือภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

    จะเห็นได้ว่าการจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องระวังและเช็คให้ถี่ถ้วนว่ามีภาระภาษีอะไร อย่างใดบ้าง ซึ่งการตีความว่าเงินที่จ่ายนั้นเป็นเงินได้ประเทศใดหรือการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับอนุสัญญาภาษีซ้อน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนควรจะต้องปรึกษาคนในวิชาชีพที่มีประสบการณ์ช่วยแนะนําให้จะปลอดภัยกว่า :

    กรณีนี้ขอกล่าวถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน เพราะคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%  ซึ่งความเป็นจริงจะต้องพิจารณารายละเอียด ดังนี้

    1. จ่ายค่าบริการเป็นเงินได้ประเภทใด

    2. จ่ายไปประเทศใดมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่

    วิธีดูการหักภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับค่าบริการ ให้ดูที่กฏหมาย  มาตรา 70 ซึ่งมีใจความว่า

    1. เป็นบริษัทต่างประเทศ

    2. ที่ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย

    3. แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย

    4. เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2)(3)(4)(5) หรือ (6)

    ให้นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายภายใน 7 วันของเดือนถัดไป (ภ.ง.ด.54)

    วิธีการดูเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการจ่ายค่าบริการให้ดูที่กฏหมาย มาตรา 83/6 ซึ่ง มีใจความว่า

    1. ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร

    ( ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.104/2544 )  ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 7 วันของเดือนถัดไป(ภ.พ.36)

    ตัวอย่าง 1.การจ่ายค่าโฆษณา

    บริษัทในประเทศไทยมีการจ่ายค่าโฆษณา Google ให้กับบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา   เรามาพิจารณาว่า ค่าโฆษณา จัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด  และค่าบริการดังกล่าว  เป็นให้บริการในต่างประเทศ และมีการใช้บริการในประเทศไทยหรือไม่

    คำตอบ

    1. ค่าโฆษณา  จัดอยู่ในเงินได้ประเภท 40(8) ไม่ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย

    2. การโฆษณา Google  แน่นอนต้องมีคนในประเทศไทยเห็น  ถือว่าเป็นบริการในต่างประเทศและมีการใช้บริการในประเทศไทย  ต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.36)  และบริษัทผู้จ่ายเงินได้สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้

    ตัวอย่าง 2 การจ่ายค่า Software

    บริษัทในประเทศไทยซื้อโปรแกรม Software จากคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา  เรามาพิจารณาว่า โปรแกรม Software จัดอยู่ในเงินได้ประเภทใด  และค่าบริการดังกล่าว เป็นให้บริการในต่างประเทศ และมีการใช้บริการในประเทศไทยหรือไม่

    คำตอบคือ 

    1. ค่าโปรแกรม Software จัดเป็นเงินได้ประเภท 40(3) ค่าสิทธิ ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ในการหัก ณ ที่จ่าย 5%

    (เพราะประเทศสหรัฐอเมริกา มีการจดอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย  ระบุว่าถ้าจ่ายค่า Software ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 5%) และนําส่งกรมสรรพากรด้วยแบบ (ภ.ง.ด.54)

    2. ค่าโปรแกม Software นั้นถูกนํามาใช้ในประเทศไทย ดังนั้นต้องนําส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (ภ.พ.36) และบริษัทผู้จ่ายเงินได้สามารถนําใบเสร็จที่ได้จากกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อของบริษัทตนเองได้เช่นกัน