โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแนวปฏิบัติในการจัดหลักสูตรของโรงเรียนตังเอ็งกำหนดโครงสร้างหลักสูตรขั้นการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ Show
ระดับการศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดระดับการศึกษาเป็น 2 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6) การศึกษาระดับนี้เป็นช่วงแรกของการศึกษาภาคบังคับมุ่งเน้นทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ทักษะการคิดพื้นฐาน การติดต่อสื่อสาร กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม และพื้นฐานความเป็นมนุษย์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างสมบูรณ์และสมดุลทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และวัฒนธรรม โดยเน้น จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3) เป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาคบังคับ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน มีทักษะในการคิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดำเนินชีวิต มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความสมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนใช้เป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อ การจัดเวลาเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนขั้นต่ำสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งโรงเรียนได้จัดเพิ่มเติมตามความพร้อมและจุดเน้น โดยปรับให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรียน ดังนี้ 1. ระดับชั้นประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6) จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลาเรียนวันละ ไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง 2. ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3) จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มีเวลาเรียนวันละไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียน มีค่าน้ำหนักวิชา เท่ากับ 1 หน่วยกิต (นก.) การกำหนดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐาน และเพิ่มเติม โรงเรียนได้ดำเนินการ ดังนี้ ระดับประถมศึกษา ปรับเวลาเรียนพื้นฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามความเหมาะสม มีเวลาเรียนรวมตามที่กำหนดไว้ในโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐาน และผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนด ระดับมัธยมศึกษา จัดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานเป็นไปตามที่กำหนดและสอดคล้องกับเกณฑ์การจบหลักสูตร สำหรับเวลาเรียนเพิ่มเติม ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมภาษาจีนโดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษาและเกณฑ์การจบหลักสูตร กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่กำหนดไว้ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีละ 120 ชั่วโมง เป็นเวลาสำหรับปฏิบัติกิจกรรมแนะแนวกิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ สถานศึกษาจัดสรรเวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ ระดับประถมศึกษา (ป.1-6) รวม 6 ปี จำนวน 60 ชั่วโมง ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) รวม 3 ปี จำนวน 45 ชั่วโมง เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดแนวทางการเปิด-ปิดภาคเรียน และการสอนชดเชยปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียน และกำชับให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนให้ครบ 200 วัน ตามหลักสูตร แม้เหตุการณ์จะไม่ปกติ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารงานในระดับนโยบาย ที่ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ยังคงยึดมั่นในหลักการแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไป อ่านข่าว: ศธ.ย้ำ 'เปิด-ปิด'ภาคเรียน ยึดตามกรอบเวลาเดิม เล็งนำผลการเรียนกลางเทอมมาใช้เลื่อนชั้นหรือจบการศึกษาตามโครงสร้างเวลาเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กำหนดให้การจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย มีเวลาเรียนแตกต่างกันไปและเวลาเรียนในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละวัน ไม่เท่ากัน ในระดับชั้นประถมศึกษา ต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่า 1,000 ชั่วโมงต่อปี วันละไม่เกิน 5 ชั่วโมง เมื่อหารเฉลี่ยแล้วต้องใช้เวลาเรียน จำนวน 200 วัน จึงจะครบตามที่หลักสูตรกำหนด ในกรณีที่จัดการเรียนการสอนตามปกติ ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) กระทรวงศึกษาธิการ โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดแนวทางการเปิด-ปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2563 ไว้ดังนี้ ภาคเรียนที่ 1/2563 เรียนตั้งแต่ 1 ก.ค.-13 พ.ย.2563 จำนวนวันเรียน 93 วัน ปิดภาคเรียน 14-30 พ.ย.63 รวม 17 วัน ภาคเรียนที่ 2/2563 เรียนตั้งแต่ 1 ธ.ค.63-9 เม.ย.64 จำนวนวันเรียน 88 วัน ปิดภาคเรียน 10 เม.ย.-16 พ.ค.64 รวม 37 วัน เท่ากับว่า ปีการศึกษา 2563 นักเรียนจะมีเวลาเรียนรวมทั้งสิ้น 181 วัน ซึ่งโครงสร้างเวลาเรียนระดับชั้นประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย กำหนดไว้ 200 วัน/ปี ดังนั้นส่วนเวลาที่ขาดหายไป 19 วัน โรงเรียนจึงต้องสอนชดเชยเพื่อให้นักเรียนเรียนครบตามหลักสูตร โดยภาคเรียนที่ 1 สอนชดเชย 7 วัน และภาคเรียนที่ 2 สอนชดเชย 12 วัน หลังจากนั้น ในวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ได้มีการระบาดของเชื้อ โควิด-19 รอบใหม่ ทำให้โรงเรียนต้องประกาศปิดเรียนอีกครั้ง แต่ว่าเป็นการปิดเรียนที่มากน้อยแตกต่างกันตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ เพราะรัฐบาลไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์ ทำให้เวลาเรียนส่วนหนึ่งหายไป และแต่ละโรงเรียนแต่ละพื้นที่ จำนวนวันไม่เท่ากัน จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องจัดการเรียนการสอนให้ครบ 200 วัน ในปีการศึกษา 2563 ด้วยข้อจำกัดว่า ในระดับประถมศึกษาต้องสอนไม่เกิน 5 ชั่วโมงใน 1 วัน หรือจะมีการปรับเปลี่ยนในวิชาที่ไม่สำคัญให้สอนน้อยลง เพิ่มเวลาเรียนให้กับวิชาอื่นๆ ที่จำเป็นมากกว่า หรือเพิ่มเวลาเรียนในแต่ละวันให้มากขึ้น เพื่อให้จำนวนวันในการจัดการเรียนการสอนครบถ้วนตามที่หลักสูตรกำหนด
เป็นการเน้นผลการปฏิบัติในเชิงปริมาณมากกว่าที่จะเน้นคุณภาพ ต้องเข้าใจนโยบายที่ผ่อนปรนของกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องของการเลื่อนชั้นอัตโนมัติ แต่เมื่อนโยบายดังกล่าวเดินทางไปถึงระดับโรงเรียน ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติจะเป็นอย่างไร หลายนโยบายที่ล้มเหลว เมื่อถึงระดับปฏิบัติ เพราะวิธีการสั่งการที่ไม่ชัดเจน เน้นการใช้ดุลพินิจของผู้ปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต (O-NET) ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กำหนดให้เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของนักเรียนที่จะสอบหรือไม่สอบก็ได้ เชื่อขนมกินได้เลยว่า พอถึงวันสอบนักเรียนได้สอบครบทุกคน |