การพัฒนาระบบสารสนเทศ ความจำเป็นในการพัฒนาระบบสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารและการปฏิบัติงาน ระบบเดิมไม่สามารถให้ข้อมูลหรือทำงานได้ตามต้องการ มีการดำเนินงานหลายขั้นตอน ยุ่งยากในการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาจัดทำข้อมูลสรุปสำหรับการติดตามการปฏิบัติงานโดยรวมขององค์การ และไม่สามารถสนับสนุนให้กับผู้บริหารได้เป็นอย่างดี จึงจำเป็นต้องพิจารณาหรือปรับปรุงสารสนเทศที่สามารถช่วยให้ขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในและกระบวนการบริหารมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เทคโนโลยีราคาถูกลง เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในระบบสารสนเทศในปัจจุบันล้าสมัย ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบมีราคาสูง จึงต้องรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาประยุกต์ใช้ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการ ทำงานที่มีอยู่เดิม การปรับองค์การและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ระบบที่ใช้งานอยูในปัจจุบันมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน ขาดเอกสารอ้างอิงหรือเอกสารที่มีอยู่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้การปรับปรุงหรือการแก้ไขทำได้ยาก หรือมีความจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการควบคุม กอรปกับความต้องการปรับองค์การให้เหมาะสมเพื่อสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ซและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ องค์การจึงมองหาวิธีการหรือแนวทางใหม่ๆเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้หรือเพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้น การพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อสร้างระบบสารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ บริษัทจัดการหรือเพิ่มโอกาสและศักยภาพในการแข่งขันให้กับองค์การ โดยทั่วไปการพัฒนาระบบจะประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้ กระบวนการทางธุรกิจ(Business Process) บุคลากร(People) วิธีการและเทคนิค(Methodology and Technique) เทคโนโลยี(Technology) ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์การ (Infrastructure) องค์การควรมีโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ระบบเครือข่าย ระบบฐานข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัย และมีการเตรียมข้อมูลที่ดี อยู่ในรูปแบบเหมาะสมกับระบบที่จะพัฒนา เพื่อสนับสนุนและดำนวยความสะดวกในการใช้ระบบ การใช้ข้อมูลร่วมกัน และการติดต่อสื่อสาร การบริหารโครงการ(Project Management) การบริหารโครงการเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้การพัฒนาระบบเสร็จล่าช้า และมีค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณที่กำหนด ทีมงานพัฒนาระบบ การพัฒนาระบบสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีหน้าที่และรับผิดชอบในกระบวนการพัฒนาระบบหลายกลุ่มด้วยกัน ดังนี้ คณะกรรมการ(Steering Committee) ผู้บริหารโครงการ(Project manager) ผู้บริหารหน่วยงานด้านสารสนเทศ(Mis Manager) นักวิเคราะห์ระบบ(Systerm Analyst) – ทักษะด้านเทคนิค – ทักษะด้านการวิเคราะห์ – ทักษะด้านการบริหารจัดการ – ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร ผู้ชำนาญทางด้านความเทคนิค หลักในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ หลักการสำคัญที่ช่วยให้การพัฒนาระบบสารสนเทศมีประสิทธิภาพ มีดังนี้ 1. คำนึงถึงเจ้าของและผู้ใช้ระบบ 2. เข้าถึงปัญหาให้ตรงจุด 3. กำหนดขั้นตอนหรือกิจกรรมในการพัฒนาระบบ 4. กำหนดมาตรฐานในการพัฒนาระบบ 5. ตระหนักว่าการพัฒนาระบบเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง 6. เตรียมความพร้อมหากจะต้องยกเลิกหรือทบทวนระบบสารสนเทศที่กำลังพัฒนา 7. แตกระบบสารสนเทศที่จะพัฒนาเป็นระบบย่อย 8.
ออกแบบระบบให้สามารถรองรับต่อการขยายหรือการปรับเปลี่ยนในอนาคต ขั้นตอนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ องค์การส่วนมากมองเห็นประโยชน์จากการใช้ขั้นตอน
ที่เรียกว่า วิธีการพัฒนาระบบ(System Development Methodology) สำหรับสร้างระบบสารสนเทศขององค์การ ซึ่งกระบวนการพัฒนาระบบมีวงจร(Life Cycle) ในการพัฒนาเปรียบได้เช่น เดียวกับวงจรของการผลิตสินค้าสู่ตลาด โดยวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ เป็นแนวคิดที่มีการกำหนดรูปแบบในการพัฒนาระบบอย่างมีแบบแผน มีการแบ่งระยะในการพัฒนาระบบ ซึ่งแต่ละองค์การอาจแบ่งระยะและขั้นตอนในแต่ละระยะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แต่โดยภาพรวมแล้วจะมีเค้าโครงที่เหมือนกัน วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ(SDLC) แบ่งออกเป็น
6 ระยะ(Phases) ได้แก่ กระบวนการพัฒนาระบบอาจมีการไหลย้อนกลับไปขั้นตอนก่อนหน้านี้ บางขั้นตอนอาจจะต้องการทำซ้ำ หรือทำในเวลาเดียวกับขั้นตอนอื่น ซึ่งขึ้นอยู่กับแนวทางการพัฒนาระบบที่เลือกให้ ทำให้การพัฒนาระบบมีรูปแบบต่างๆ เช่น การพัฒนาระบบแบบน้ำตก(Waterfall Model) แต่ละขั้นตอนของการพัฒนาระบบจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่อได้ทำขั้นตอนก่อนหน้านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะไม่ย้อนกลับไปทำขั้นตอนก่อนหน้านี้อีก จึงเปรียบลักษณะการทำงานเสมือนน้ำตกที่ไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ ไม่มีการไหลย้อนกลับทิศทางจากที่ต่ำไปที่สูง การพัฒนาระบบน้ำตกที่ย้อนกลับขั้นตอนได้(Adapted Waterfall) เป็นรูปแบบการพัฒนาที่หากดำเนินการในขั้นตอนใดอยู่สามารถย้อนกลับไปขั้นตอนก่อนหน้านี้ได้ เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือเพื่อต้องการความชัดเจน จากรูปแสดงการย้อนกลับด้วยลูกศรที่ชี้กลับไปสู่ขั้นตอนก่อนที่อยู่เหนือกว่า การพัฒนาระบบอย่างรวดเร็ว(Rapid Application Development) เป็นรูปแบบการพัฒนาที่มีการทำซ้ำบางขั้นตอน ในรูปเป็นการทำซ้ำในขั้นตอนการออกแบบและสร้างระบบจนกว่าระบบที่สร้างได้รับการยอมรับ ไม่เหมาะกับ Project ที่มีขนาดใหญ่ เหมาะกับ Project ที่มีขนาดเล็ก การพัฒนาระบบในรูปบบขดลวด(Evolutionary Model SDLC) การพัฒนาระบบแบบขดลวด(Spiral Model) เป็นการพัฒนาแบบวนรอบเพื่อให้การพัมนาระบบมีความรวดเร็ว โดยการพัฒนาระบบจะเร่มจากแกนกลาง
ในรอบแรกของการพัฒนาจะได้ระบบรุ่น(Version) แรกออกมา และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในรุ่นที่สอง และดำเนินการแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รุ่นที่สมบูรณ์ วิธีนี้ควรวางแผนกำหนดจำนวนรุ่นตั้งแต่ตอนเริ่มต้นการพัฒนาระบบและจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบของการพัฒนา Phase 1. การกำหนดและเลือกโครงการ(System Indentification and Selection) วงจรชีวิตของการพัฒนาระบบจะเริ่มต้นด้วยการขอมีระบบจากลุ่มบุคคลต่างๆภายในองค์การ เช่น ผู้ใช้งานที่ประสบปัญหาและต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานปัจจุบัน จึงมีความต้องการที่จะพัฒนาระบบหลากหลายโครงการ แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านเงินทุนและทรัพยากรต่างๆ ที่ใช้ในการพัฒนาทำให้องค์การไม่สามารถพัฒนาระบบได้ทุกโครงการพร้อมกัน จึงจำเป็นต้องมีการค้นหาโครงการที่สมควรได้รับการพัฒนา Phase 2. การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ หลังจากโครงการได้ผ่านการคัดเลือกหรือได้รับอนุมัติ จะเริ่มจัดทำโครงการ โดยจัดตั้งทีมงานพร้อมทั้งกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบให้กับสมาชิกในทีมอย่างชัดเจน รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อค้นหา สร้างแนวทางเลือกและเลือกหนทางที่ดีที่สุดในการนำระบบใหม่มาใช้งาน
โดยแนวทางเลือกนั้นจะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้(Feasibility) ความพร้อมในด้านต่างๆ ความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันขององค์การด้วย จากนั้นจึงนำแนวทางที่เลือกมาวางโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้(Feasibility Study) เป็นการพิจารณาถึงความเหมาะสมในการนำระบบมาใช้งานและประเมินความคุ้มค่าหรือผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ – ความเป็นไปได้ด้านเทคนิค(Technical Feasibility) – ความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน(Operational Feasibility) การพิจารณาผลประโยชน์หรือผลตอบแทนที่จะได้รับจากโครงการ แบ่งเป็น 2 ประเภท – ผลประโยชน์ที่สามารถวัดค่าได้(Tangible Benefits) เป็นผลประโยชน์ที่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้
เช่น เพิ่มผลผลิตร้อยละ 5 ต่อปี ลดต้นทุนการผลิตได้ 5 ล้านบาทต่อปี ลดจำนวนพนักงานธุรการได้ 5 คน เป็นต้น – ผลประโยชน์ที่ไม่สามารถวัดค่าได้(Intangible Benefits) เป็นผลประโยชน์ที่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้ เช่น สร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับองค์การ เพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นต้น –
ต้นทุนที่สามารถวัดค่าได้(Tangible Costs) เป็นต้นทุนที่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้ เช่น ค่าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ค่าซื้อซอฟต์แวร์ ค่าเงินเดือนพนักงาน เป็นต้น – ต้นทุนที่ไม่สามารถวัดค่าได้(Intangible Cost) เป็นต้นทุนที่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้ชัดเจน เช่น พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ สูญเสียภาพลักษณ์ เป็นต้น ต้นทุนยังสามารถถูกจำแนกออกเป็น ต้นทุนที่เกิดครั้งเดียว(One-time Costs)
และต้นทุนที่เกิดซ้ำ(Recurring Costs) การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการพัฒนาระบบสารสนเทศ วิธีวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการพัฒนาระบบสารสนเทศมีได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น 1. วิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(Net Present Value Method : NPV) 2. วิธีดัชนีผลกำไร(Profitability Index Method : PI) การวัดโครงการโดยวิธี PI และ NPV จะให้คำตอบในการรับหรือปฏิเสธโครงการในลักษณะเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันที่วิธี NPV จะแสดงให้เห็นถึงมูลค่าปัจจุบันสุทธิที่คาดว่าจะได้จากโครงการ แต่วิธี PI จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรเท่านั้น 3. อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน(Return On Investment : ROI) 4. การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน(Break-Even Point Analysis) Phase 3. การวิเคราะห์ระบบ(System Analysis) การวิเคราะห์ระบบมีจุดประสงค์ในการทำความเข้าใจกับระบบงานปัจจุบัน
เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบระบบใหม่ โดยนักวิเคราะห์ระบบทำการศึกษาระบบปัจจุบันอย่างละเอียดและหาความต้องการของระบบใหม่ที่จะพัฒนาในขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รวบรวมมา การวิเคราะห์กระบวนการต่างๆในระบบ การวิเคราะห์ลักษณะของผลลัพธ์และสิ่งนำเข้า เพื่อศึกษาถึงการทำงานของระบบปัจจุบันและวิเคราะห์ว่ามีงานใดบ้างที่มีปัญหาเกิดขึ้น ควรจะปรับปรุงหรือจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร สำหรับเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น –
Fact-Finding Technique เป็นกระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงและสารสนเทศของระบบแบบดั้งเดิมที่ยังนิยมใช้กันอยู่ เช่น การศึกษาจากเอกสาร แบบฟอร์ม และฐานข้อมูลที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน – Joint Application Design(JAD) เป็นการประชุมร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ อาทิ ผู้ใช้ระบบ นักวิเคราะห์ระบบ ผู้บริการขององค์การ และทีมงานด้านสารนเทศ รวมถึงผู้ดำเนินการประชุม(JAD Session Leader) ผู้จดบันทึกและสรุปรายละเอียดในการประชุม(Scribe) และผู้ที่ให้การสนับสนุนในการพัฒนาระบบ(Sponsor) โดยทั่วไประหว่างการประชุม JAD อาจจะมีการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้การประชุมดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว Phase 4. การออกแบบระบบ(System Design) การออกแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบระบบให้เข้ากับความต้องการของระบบใหม่ตามที่ได้มีการวิเคราะห์ไว้ โดยนักวิเคราะห์ระบบจะต้องออกแบบส่วนนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ(Input) ผลลัพธ์ที่ได้จากระบบฐานข้อมูล(Output)
โปรแกรม(Programs)ระบบปฏิบัติการ กระบวนการทำงาน(Procedures) เครือข่าย(Network) และออกแบบวิธีการที่จะทำให้ผู้ใช้มั่นใจว่า ระบบมีความถูกต้อง เชื่อถือได้และปลอดภัย – การออกแบบเชิงตรรกะ(Logical Design) เป็นการออกแบบโครงสร้างของระบบ กำหนดว่าระบบจะทำงานอะไรบ้าง โดยยังไม่คำนึงถึงลักษณะและรายละเอียดของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ – การออกแบบเชิงกายภาพ((Physical Design) เป็นการออกแบบรายละเอียดในการทำงานหรือกำหนดว่าระบบจะทำงานอย่างไร โดยคำนึงถึงเทคโนโลยีและลักษณะของอุปกรณ์ที่นำมาใช้ โปรแกรมภาษา ระบบปฏิบัติการ ฐานข้อมูลในระดับกายภาพ ระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัย Phase 5. การดำเนินการระบบ(System Implementation) การดำเนินการระบบมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบและติดตั้งระบบ ซึ่งจะครอบคลุมกิจกรรมดังต่อไปนี้ – จัดซื้อหรือจัดหาฮาร์แวร์(Hardware) และซอฟต์แวร์(Software) ที่เกี่ยวข้อง เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องพิม์ อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ – เขียนโปรแกรมโดยโปรแกรมเมอร์(Coding) หรือจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน – ทำการทดสอบ – การจัดทำเอกสารระบบ(Documentation) เอกสารมีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานและดูแลรักษาระบบ เช่น เอกสารคู่มือระบบและโปรแกรม คู่มือการปฏิบัติงาน หรือคู่มือผู้ใช้ เนื่องจากถ้าไม่มีคู่มือหรือเอกสารเหล่านี้อธิบายแล้ว หากการดำเนินงานมีปัญหาขัดข้อง ก็จะทำให้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหา การจัดทำเอกสารจึงเป็นสิ่งจำเป็นและจะต้องทำไปพร้อมกับการพัฒนาระบบ – การถ่ายโอนระบบงาน(System Conversion) เป็นการเปลี่ยนจากระบบงานเก่าเป็นระบบงานใหม่ โดยสามารถทำได้ 4 แนวทาง คือ – ฝึกอบรมผู้ใช้ระบบ(Training) ก่อนเริ่มใช้งานระบบควรทำการฝึกอบรมผู้ใช่เพื่อให้ผู้ใช้มีความรู้ความเข้าใจ
ขั้นตอนการทำงานและช่วยให้สามารถใช้ระบบเป็นและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Phase 6. การบำรุงรักษาระบบ(System Maintenance) การบำรุงรักษาระบบเป็นขั้นตอนการดูแลระบบเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพในการทำงาน
การบำรุงรักษาระบบอาจจะอยู่ในรูปของการแก้ไขข้อผิดพลาดของโปรแกรม การปรับปรุงหรือแก้ไขโปรแกรมให้รองรับกับความต้องการใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ระบบหรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ 1. การพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม(Traditional SDLC Methodology) วีธีนี้เป็นวิธีที่เก่าที่สุดและนิยมเรียกย่อๆว่า SDLC และยังเป็นวิธีที่ใช้กันอยู่ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้กับการพัฒนาระบบสารสนเทศที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน การพัฒนาระบบโดยวิธีนี้มีการแบ่งแยกบทบาทระหว่างฝ่ายผู้ใช้กับฝ่ายผู้พัฒนาออกอย่างชัดเจน 2. การสร้างต้นแบบ(Prototyping) เป็นการสร้างระบบต้นแบบขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้ทดลองใช้งาน ซึ่งนอกจากผู้ใช้จะได้แนวคิดเกี่ยวกับสารสนเทศที่ต้องการแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นภาพของระบบที่จะ พัฒนาได้อย่างชัดเจนขึ้น
หากต้นแบบที่สร้างขึ้นไม่เป็นไปตามความต้องการก็จะถูกนำมาแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นจตตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ แล้วจึงนำมาเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบสารสนเทศจริงต่อไป วิธีนี้มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงความต้องการมากกว่า รวมทั้งใช้เวลาและค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีการพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีการใช้ต้นแบบ 3. การพัฒนาระบบโดยผู้ใช้(End-user Development) เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้มีความรู้และทักษะเกี่ยวกบคอมพิวเตอร์มากขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาระบบด้วยตนเองได้
โดยไม่จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคหรืออาจจะได้รับบางอย่างไม่เป็นทางการ แต่ผู้ใช้จะทำกิจกรรมในการพัฒนาระบบเอง 4. การใช้บริการจากแหล่งภายนอก(Outsourcing) ในกรณีที่องค์การไม่ต้องการใช้ทรัพยากรขององค์การ หรือไม่มีบุคลากรที่มีทักษะและความชำนาญก็สามารถเลือกวิธีการจ้างหน่วยงาน หรือบริษัทภายนอก(Outsourcer) มาทำการพัฒนาระบบให้ได้ โดยองค์การมีแรงจูงใจในการทำ Outsourcing มาจากปัจจัยหลายด้าน ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยด้านความคุ้มค่าทางการเงิน ด้านคุณภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน และด้านความสามารถในการแข่งขัน ข้อจำกัดของการใช้บริการจากแหล่งภายนอก 5. การใช้ซอฟแวร์สำหรับรูปประยุกต์(Application Software Package) ซอฟแวร์สำหรับรูปประยุกต์เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาระบบสารสนเทศในองค์การต่างๆ จะมีส่วนหนึ่งที่มีขั้นตอนการทำงานเป็นมาตรฐานหรือคล้ายกัน หากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับงานทั่วๆไปนี้สามารถสนองต่อความต้องการระบบงานขององค์การได้
องค์การก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นมาเอง สามารถซื้อหรือเช่าซอฟต์แวร์สำเร็จรูปประยุกต์มาใช้งานได้ จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการพัฒนาระบบใหม่ลงมากและยังช่วยให้การทดสอบ การติดตั้ง และการบำรุงรักษาระบบเป็นไปได้ง่ายขึ้น การเลือกซอฟแวร์สำเร็จรูปประยุกต์ มีเกณฑ์การประเมินที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาระบบงานแบบออบเจ็กต์(Object-Oriented Methodology) การพัฒนาระบบออบเจ็กต์จะพิจารณาระบบว่า ประกอบด้วยกลุ่มของวัตถุ(Class of Objects) ซึ่งทำงานร่วมกัน มีการจัดกลุ่มของข้อมูลและพฤติกรรมหรือฟังก์ชันที่กระทำกับข้อมูลนั้นเป็นกลุ่มๆ ในรูปของออบเจ็กต์ เนื่องจากออบเจ็กต์มีคุณสมบัติในการกลับมาใช้ใหม่ได้(Reusability)
จึงใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าวิธีอื่น การพัฒนาระบบงานประยุกต์แบบรวดเร็ว(Rapid Application Development) หรือเรียกย่อๆ ว่า RAD
เป็นวงจรการพัฒนาระบบที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนารวดเร็วกว่าและคุณภาพดีกว่าวิธีพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม โดยมีการนำเครื่องมือซอฟต์แวร์มาช่วยในการพัฒนาระบบ 1. การกำหนดความต้องการ ผู้ใช้และผู้บริหารที่เกี่ยวข้องจะทำการกำหนดว่าระบบควรจะมีหน้าที่และมีงานใดบ้าง และสามารถนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการแก้ปัญหาได้อย่างไร การกำหนดความต้องการนี้อาจใช้วิธีสัมนาเชิงปฏิบัติการ(Workshop) 2. การออกแบบโดยผู้ใช้ ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมอย่างมากในการออกแบบ โดยอาจใช้สัมนาเชิงปฏิบัติการเช่นเดียวกับในขั้นการกำหนดความต้องการ และมีเครื่องมือซอฟต์แวร์มาช่วยในการออกแบบระบบด้วย 3. การสร้างระบบ โดยใช้เครื่องมือซอฟต์แวร์มาใช่วยในการสร้งระบบ เช่น สร้างส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบบกราฟิก สร้างโปรแกรมที่สามารถนำไปใช้งานไอ้รวดเร็ว โดยจะทำการทดสอบไปด้วย 4. การเปลี่ยนระบบ เป็นการเปลี่ยนจากระบบเดิมมาเป็ฯระบบใหม่ซึ่งจะมีขั้นตอนเหมือนกับวิธีพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม เช่น การทดสอบ การฝึกอบรมผู้ใช้ และการใช้ระบบใหม่ เครื่องมือสำหรับ RAD – ภาษารุ่นที่ 4(4GL) เป็นภาษาระดับสูง เช่น SQL
ซึ่งเป็นภาษาสอบถามที่มีใช้มากในโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ตัวอย่างของภาษา SQL เพื่อค้นหาข้อมูลของพนักงานที่ทำงานน้อยกว่า 5 ปี และมีเงินเดือนมากกว่า 30,000 บาทขึ้นไป – ภาษาเคส(CASE Tools) เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการพัฒนาระบบและสนับสนุนการทำงานใตแต่ละขั้นตอนของการพัฒนาระบบ
อำนวยความสะดวกในการสร้างเอกสารหรือแผนภาพต่างๆ อย่างมีคุณภาพ – เครื่องมือสร้างต้นแบบ(Prototype Tool) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถสร้างต้นแบบได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในขั้นตอนของการกำหนดความต้องการและการสร้างระบบ ข้อดีและข้อจำกัดของการพัฒนาระบบงานประยุกต์แบบรวดเร็ว – การสนับสนุนจากฝ่ายบริการ ที่มา : http://zigmagirl.exteen.com/20090221/entry-1 |