กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 142 ประเภท

Nov 17, 2022 เททำกำไร! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดลงเกือบ 40 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 94 ดอลลาร์ ราคาทองคำปิดขึ้นเหนือ 1,778 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,553 จุด -39 จุด หรือ -0.12% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,958 จุด -32 จุด หรือ -0.83% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,183 จุด -174 จุด หรือ -1.54%

สาเหตุจากนักลงทุนผิดหวังกับผลประกอบการของทาร์เก็ต ยักษ์ใหญ่ธุรกิจขายปลีกในสหรัฐอเมริกา

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 85.59 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.33 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.5% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 92.86 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.00 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.1% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากท่อส่งน้ำมันดิบไปประเทศฮังการีที่มีชื่อว่า Druzhba ที่เกิดปัญหาขึ้นเมื่อวานก่อนหน้านี้ ทำให้น้ำมันดิบที่ส่งผ่านท่อดังกล่าวต้องหดหายลงนั้น ได้รับการเร่งซ่อมแซมจนกลับมาเป็นปกติแล้ว นอกจากนี้ สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมียอดติดเชื้อรายใหม่สูงสุดในรอบกว่า 7 เดือน และปักกิ่งติดโควิด-19 มากสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2 วันติดต่อกัน สร้างความกังวลในภาวะเศรษฐกิจจีนที่ตกต่ำต่อไป กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดการคาดการณ์ใช้น้ำมันดิบทั่วโลกปีนี้และปีหน้ารอบใหม่ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดิอนผ่านมา

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,778.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +2.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.00% ทำให้ราคาปิดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 เดือน

ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากนักลงทุนชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยเสี่ยงของสถานการณ์ขัดแย้งและตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับโปแลนด์ หลังรัสเซียยิงขีปนาวุธตกเข้าไปในพรมแดนของโปแลนด์ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มนาโต้ ส่งผลมีผู้เสียชีวิต 2 ราย กับโอกาสการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมช่วงกลางเดือนหน้าที่จะถึงนี้ หลังจากเงินเฟ้อผู้ผลิตเดือนตุลาคมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้

ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/

#ลงทุน #การเงิน #หุ้น #ทองคำ #น้ำมัน #ตลาดหุ้น #ราคาทอง #เศรษฐกิจ #เล่นหุ้น #สหรัฐ #ดาวโจนส์ #นาสแดค #เอสแอนด์พี500 #ดอกเบี้ย #เงินเฟ้อ #เศรษฐกิจถดถอย #BTimes

 

Nov 17, 2022 ติดวันละแสน! ญี่ปุ่นติดโควิด-19 รายใหม่กว่า 100,000 คนเป็นวันที่ 2 ติดกัน มากสุดใน 2 เดือน โตเกียวยังติดเกิน 10,000 คน

กระทรวงสาธารณสุข ญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาถึงเมื่อวานนี้ 16 พฤศจิกายน 2565 เมื่อเวลา 22.00 น. เวลาญี่ปุ่น ซึ่งตรงกับเวลา 20.00 น. ตามเวลาไทย พบผู้ติดโรคระบาดโควิด-19 รายใหม่ทะยานถึง 106,689 ราย ไม่เพียงทำสถิติยอดติดเชื้อรายวันเกิน 100,000 คนเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน แต่ทำสถิติยอดติดเชื้อรายวันพุ่งสูงสุดในรอบ 2 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2565 ส่งผลให้ยอดติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 23,426,796 ราย อยู่อันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มขึ้น 111 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสมเป็น 47,826 ราย

สาเหตุจากรัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกมาตรการปิดน่านฟ้าระหว่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวและผู้เดินทางจากต่างประเทศมาญี่ปุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อเดือนตุลาคมผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยวด้วยการใช้เงินอุดหนุนให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นเดินทางภายในประเทศมากขึ้น ด้วยการจ่ายเงินค่าที่พักจำนวนคนละ 11,000 เยนต่อคืน หรือ 79 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,845 บาทใช้สำหรับพักติดต่อกัน 7 คืน

สำหรับพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางการระบาดโควิด-18 รอบที่ 8 ในปัจจุบัน ได้แก่ กรุงโตเกียวพบผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงถึง 10,114 ราย ทำสถิติยอดติดเชื้อเกิน 10,000 รายเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ติดเชื้อรายใหม่ 11,196 ราย ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 2 เดือนผ่านมา ฮอกไกโด พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะยานขึ้นถึง 10,906 ราย ทำสถิติติดเชื้อรายวันมากเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่

ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/

#ญี่ปุ่น #โตเกียว #ฮอกไกโด #โควิด19 #รอบที่8 #ท่องเที่ยว #โรคระบาด #BTimes

 

Nov 16, 2022 อย่าติดซ้ำ! หมอไทยเตือนไม่ควรติดโควิดซ้ำอีก เสี่ยงตาย 2 เท่า เสี่ยงป่วยหนัก 3 เท่า
.
น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความเกี่ยวกับคำเตือนไม่ควรติดโรคโควิด-19 ซ้ำอีกครั้ง มีดังนี้
.
จากสถานการณ์โควิดทั่วโลกที่ระบาดต่อเนื่องมา 3 ปี พบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก ตลอดจนมีการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้มีประชากรโลกติดโควิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 มากขึ้น จึงได้มีการศึกษาว่า ผู้ติดโควิดครั้งที่ 2 ขึ้นไปจะมีความเสี่ยงเรื่องต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับผู้ติดโควิดครั้งแรก
.
ได้มีรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารชั้นนำของโลกคือ Nature Medicine เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565การศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่คณะแพทยศาสตร์ เมืองเซ็นต์หลุยส์ โดย Dr. Ziyad Al-Aly เป็นการเก็บข้อมูลเวชชระเบียนจำนวน 5.3 ล้านคน จาก US. Department Of Veterans Affairs
.
โดยมีผู้ติดโควิดหนึ่งครั้ง 443,588 คน และผู้ที่ติดโควิดตั้งแต่สองครั้งขึ้นไปจำนวน 40,947 คน
.
พบผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้
1. ผู้ที่ติดโควิด 2 ครั้ง มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตเพิ่มเป็น 2.17 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ติดโควิดเพียงครั้งเดียว
.
2. ผู้ที่ติดโควิด 2 ครั้ง มีความเสี่ยงในการที่จะป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลสูงเพิ่มเป็น 3.32 เท่าเมื่อเทียบกับคนที่ติดครั้งเดียว
.
3. ผู้ที่ติดโควิด 2 ครั้ง มีความเสี่ยงในการที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆได้แก่ ปอด หัวใจ ไต กระดูก กล้ามเนื้อ เบาหวาน ระบบเลือด สุขภาพจิต ระบบประสาท และทางเดินอาหารมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
.
4. ผู้ที่ติดโควิดตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป มีปัญหาเสี่ยงเกี่ยวกับหัวใจเพิ่มเป็น 3 เท่า ปัญหาเกี่ยวกับปอด 3.5 เท่า และ 1.6 เท่าในระบบประสาท เมื่อเทียบกับติดครั้งเดียว ซึ่งมักจะพบในเดือนแรก แต่สามารถพบได้ไปถึง 6 เดือน
.
5. ไม่ว่าจะเป็นไวรัสสายพันธุ์เดลต้าหรือโอไมครอน BA.5 ก็มีผลการศึกษาที่ไม่แตกต่างกัน
.
6. แม้ผู้ติดเชื้อจะเคยได้รับวัคซีนมาก่อน ก็ยังคงมีความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้น
.
รายงานนี้นักวิจัยได้บอกถึงข้อจำกัด ซึ่งสอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่นักวิจัยคณะนี้ เช่น Professor J. Moore จาก Cornell Medical Center ที่คิดว่ากลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้แม้จะมีจำนวนมาก แต่ไม่สามารถแทนประชากรทั่วไปได้ เนื่องจากเป็นเวชระเบียนของคนที่อายุมาก เป็นผู้ชายผิวขาวและมีอาการหนัก
.
Dr.C.Gounder จาก Kaiser Health News ได้ให้ความเห็นว่า ดูเหมือนทิศทางความเสี่ยงที่เพิ่มมากนั้น จะค่อยเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ลดลง เมื่อติดเชื้อตั้งแต่ครั้งที่สามเป็นต้นไป
.
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ไม่ควรจะติดโควิด เพราะจะมีปัญหาลองโควิดได้ถึง 25% และยืดเยื้อไปได้ 6 เดือน และถ้าติดโควิดไปแล้วหนึ่งครั้ง ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการติดครั้งที่ 2 เพราะการติดครั้งที่ 2 ขึ้นไป มีอัตราการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรบกวนอวัยวะต่าง ๆ มากขึ้นด้วย
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก
กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 142 ประเภท
https://bit.ly/3UFYp2z
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/.../-pSW3jNiuk0/comments/inbox
.
#โควิด #โอมิครอน #ป่วยโควิด #BN1 #BA5 #Covid19 #โควิด19 #BTimes

 

Nov 16, 2022 ถึงไทยแล้ว! ผงะไทยเจอโอมิครอนพันธุ์ใหม่ BN.1 อย่างน้อย 5 ราย คาดระบาดแทนพันธ์ุ BA.5
.
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับการตรวจพบโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในไทย มีดังนี้
.
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (U.S. CDC) กำลังติดตามโอมิครอน สายพันธุ์ใหม่ “BN.1” ซึ่งถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์ย่อยลำดับที่ 6 ที่สหรัฐต้องเฝ้าติดตาม ไทยพบแล้วไม่น้อยกว่า 5 ราย มีความเป็นไปได้ที่อาจระบาดมาแทนที่ BA.5
.
โอมิครอน BN.1 มีชื่อเต็มว่า B.1.1.529.2.75.5.5.1 เป็นทายาทของโอมิครอน BA.2 มีศักยภาพสูงในการหลบหนีภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน
.
จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” พบ BN.1 ในประเทศไทยจากผู้ติดเชื้อไม่น้อยกว่า 5 ราย ถือเป็นสายพันธุ์ย่อยลำดับที่ 3 ที่ไทยควรเฝ้าติดตาม (อันดับ1 คือ BA.5 ลำดับสองคือ BA.2.75)
.
โอมิครอน BN.1* [BN.1.3 (87.50%), BN.1 (6.25%), BN.1.2 (6.25%)] ในประเทศไทยมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด เหนือกว่า BA.5* [BA.5.2 (55.04%), BA.5.2.26 (13.51%), BA.5.2.1 (11.69%), BA.5.2.22 (6.57%), BA.5.1 (3.02%)] ถึง 131% และมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด เหนือกว่า BA.2.75* [BA.2.75 (24.49%), BA.2.75.1 (8.16%), BA.2.75.2 (8.16%), etc.] ประมาณ 47%
.
จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่โอมิครอน BN.1 จะระบาดมาแทนที่โอมิครอน BA.5 ในประเทศไทย เมื่อ BA.5 อ่อนกำลังลง เนื่องจากมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด เหนือกว่า BA.2.75* ซึ่งเป็นโอมิครอนลำดับสองรองจาก BA.5 ที่ระบาดในไทย
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก
กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 142 ประเภท
https://bit.ly/3AeXvBZ
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/.../-pSW3jNiuk0/comments/inbox
.
#โควิด #โอมิครอน #BN1 #BA5 #Covid19 #โควิด19 #BTimes