รูปแบบขององค์กรธุรกิจ 1. กิจการเจ้าของคนเดียว 2. ห้างหุ้นส่วน 3. บริษัทจำกัด 4. บริษัทมหาชนจำกัด 5. สหกรณ์ 6. บริษัทข้ามชาติ 7. รัฐวิสาหกิจ 8. กิจการแฟรนไชส์ ข้อพิจารณาในการเลือก ประเภทขององค์กรธุรกิจ ในการเลือกรูปแบบขององค์กรธุรกิจ ส่วนใหญ่จะมองที่ 4 ประเด็นหลักใหญ่ๆคือ – ลักษณะ/รูปแบบ ขององค์กรธุรกิจที่จะประกอบการ ผู้ประกอบการจะต้องทราบก่อนว่าธุรกิจที่จะทำนั้นจะต้องใช้เงินหมุนเวียนในธุรกิจจำนวนประมาณเท่าใด ต้องการผู้ร่วมทุนหรือไม่มีระยะเวลาต่อเนื่องในการประกอบธุรกิจมากน้อยเพียงใด – การบริหารจัดการ ผู้ประกอบการควรจะทราบก่อนว่าตนเองมีความประสงค์ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการมาแล้ว ผู้ประกอบการยินดีที่จะอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมลงทุนเหล่านั้นเข้ามามีส่วนร่วมเหล่านั้นเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในระดับมากน้อยเพียงใด – เงินทุน ผู้ประกอบการจะต้องทราบก่อนว่าจะต้องใช้เงินลงทุนในจำนวนเท่าใดในตอนเริ่มต้นประกอบธุรกิจ จำเป็นจะต้องกู้ยืมธนาคารพาณิชย์หรือไม่ ผู้ประกอบการควรที่จะทราบ่วาธุรกิจที่ดำเนินอยู่จะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะก่อผลกำไรตามจำนวนที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ – วิธีแบ่งปันผลกำไร ผู้ประกอบการควรที่จะวางแผนกับผู้เข้าร่วมทุนตั้งแต่เริ่มประกอบการธุรกิจว่าจะแบ่งปันผลกำไรที่เกิดขึ้นในอัตราส่วนที่เท่าใดและอย่างไร เพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ประเภทองค์กรธุรกิจ (Visited 381 times, 1 visits today)
การรู้จักประเภทธุรกิจของตนเองเป็นอย่างดี จะทำให้การบริหารดำเนินงานเป็นไปได้ดีขึ้น มีความเป็นมืออาชีพและดูน่าเชื่อถือ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่านั่นเอง ประเภทของธุรกิจประเภทของธุรกิจสามารถแบ่งได้หลักๆ คือ แบบบุคคลธรรมดา ได้แก่ กิจการเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วนสามัญ และ แบบนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด 1. ประเภทของธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา1.1 กิจการเจ้าของคนเดียวธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียว มูลค่าของกิจการไม่สูงมาก มีการจดทะเบียนการค้าแบบบุคคลธรรมดา การตัดสินใจต่างๆ รวมทั้งเรื่องกำไรหรือขาดทุนก็มีผลต่อเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว ตัวอย่างเช่น เจ้าของร้านชำที่เราเห็นได้ทั่วๆ ไป 1.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญลักษณะธุรกิจคล้ายกับกิจการเจ้าของคนเดียว เพียงแต่มีผู้ร่วมธุรกิจตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ ผลจากกำไร และการขาดทุนเท่าๆ กันซึ่งห้างหุ้นส่วนสามัญจะต่างกับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลตรงที่ไม่ได้จดทะเบียน ทำให้มีสถานะเป็นคณะบุคคลนั่นเอง 2. ประเภทของธุรกิจแบบนิติบุคคล2.1 ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนและห้างหุ้นส่วนจำกัดลักษณะธุรกิจคล้ายกับห้างหุ้นส่วนสามัญ คือมีผู้ร่วมธุรกิจตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพียงแต่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ความแตกต่างคือ หุ้นส่วนมีความรับผิดชอบแตกต่างกัน คือ แบบรับผิดชอบในหนี้สินแบบจำกัด โดยรับผิดชอบไม่เกินเงินที่ได้ลงทุน แต่ไม่มีการสิทธิการตัดสินใจในกิจการ ส่วนแบบรับผิดชอบในหนี้สินไม่จำกัด โดยรับผิดชอบในหนี้สินไม่จำกัดจำนวน แต่มีสิทธิในการตัดสินใจต่างๆ 2.2 บริษัทจำกัดธุรกิจที่มีผู้ร่วมดำเนินงานตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ถือหุ้นในจำนวนเท่าๆ กัน ซึ่งเรียกว่า “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งรับผิดชอบหนี้สินร่วมกันไม่เกินจำนวนเงินที่ลงทุน บริษัทจำกัดต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ธุรกิจประเภทนี้เหมาะกับกิจการที่มีรายได้หรือมูลค่าสูง มีความเป็นสากลเพราะมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทขึ้นมาบริหารและตัดสินใจการดำเนินงานต่างๆ 2.3 บริษัทมหาชนจำกัดบริษัทจำกัดที่นำหุ้นออกจำหน่ายให้บุคคลทั่วไปซื้อ และร่วมเป็นหุ้นส่วนของบริษัทได้ตามสัดส่วนที่ซื้อ ซึ่งหุ้นดังกล่าวสามารถขายต่อให้ผู้อื่นได้ตามราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่เดิมบริษัทมหาชนจำกัดต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 100 คน แต่ปัจจุบันต้องมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 15 คน 2.4 องค์กรธุรกิจจัดตั้งหรือจดทะเบียนภายใต้กฎหมายเฉพาะองค์กรธุรกิจจัดตั้ง มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป หุ้นแต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่ากัน การชำระค่าหุ้นคือชำระครั้งเดียวเต็มจำนวน และกรรมการของบริษัทไม่น้อยกว่า 5 คน โดยลักษณะของธุรกิจมีดังนี้ ธุรกิจการเกษตร คือ การทำไร่ ทำสวน ปศุสัตว์ ธุรกิจอุตสาหกรรม ทั้งในครัวเรือน และอุตสาหกรรมโรงงาน ธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจการพาณิชย์ ธุรกิจการก่อสร้าง ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการให้บริการ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจอื่นๆ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ อย่างแพทย์ วิศวกร สถาปนิก เป็นต้น การทำธุรกิจไม่ว่าจะประเภทไหนก็ตาม การจดทะเบียนการค้าจะทำให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ คู่ค้าสนใจลงทุนมากขึ้นเพราะดูมีหลักประกันมากกว่าธุรกิจที่ได้ไม่ได้จดทะเบียนทางการค้าใดๆ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจดทะเบียนการค้า) บทความแนะนำ
ติดตามบทความการเงิน การลงทุน และบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ Finance-Rumour.com |