ศาสตร์ว่าด้วยการควบคุมคุณภาพ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมได้เท่าเทียมมหาอำนาจผู้ชนะในสงครามโลกครั้งสองอย่างอังกฤษ–สหรัฐ ได้อย่างไร้ข้อสงสัยมานาน ในวงการวิศวกรรมอุตสาหกรรมทั่วโลกต่างก็ได้เรียนรู้ และ ได้เลียนแบบการทำอุตสาหกรรมแบบญี่ปุ่นกันหมดในท้ายที่สุด โดยหลักสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นจิตวิญญาณของอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วก็คือ Quality Control หรือ QC โดยมีแนวทางของ Professor Kaoru Ishikawa จาก University of Tokyo ซึ่งมีชื่อเสียงจากการพัฒนาเครื่องมือจัดการองค์กรอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ยุค 1960s โดยเฉพาะ หลักการ QC หรือ Quality Control Circle และ Ishikawa Diagram หรือ แผนภูมิก้างปลา ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในโลกธุรกิจและอุตสาหกรรม ประเด็นก็คือ… ในการวิเคราะห์ขบวนการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพสูง ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพัฒนา “วงจรควบคุมคุณภาพ หรือ Quality Control Circle” โดยต้องวิเคราะห์ละเอียดก่อนจะสร้างวงจรควบคุมคุณภาพขึ้นและนำใช้ในขั้นตอนต่างๆ ที่ออกแบบไว้ ซึ่ง Ishikawa Diagram หรือ Fishbone Diagram หรือ แผนภูมิก้างปลา นี่เองที่สามารถแจกแจงแบ่งแยกรายละเอียดจนเห็นภาพขบวนการผลิตทั้งหมด และ เห็นที่มาที่ไปของตัวแปรทุกรายละเอียดในระบบอย่างชัดเจน แผนภูมิก้างปลา จึงเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว และ ยังคงสำคัญกับทุกธุรกิจอุตสาหกรรมอยู่จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้จะมีแผนภูมิแบบอื่นที่ดูเหมือนจะใช้งานแทนกันได้อย่าง Mind Map และ Tree Map… แต่แผนภูมิก้างปลาก็ยังคงชัดเจนและเรียบง่ายจากแบบแผนในการเขียนและการอ่านเหนือกว่าอยู่ดี… แผนภูมิก้างปลาจึงยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในการใช้แจงรายละเอียดเชิงวิเคราะห์ ทั้งในวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมเช่นเดิม โดยเฉพาะการนำแผนภูมิก้างปลามาปรับใช้เป็นเครื่องมือทางเทคนิค สำหรับวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกการ “เตรียมรับมือปัญหา” เพื่อสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยข้อมูลและความหมายของข้อมูลที่เข้าใจได้ตรงกัน Fishbone Diagram หรือ แผนภูมิก้างปลา จึงเป็นเครื่องมือหลักในการใช้ค้นหาสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นความบกพร่อง และหรือ เป็นความล้มเหลวในกระบวนการต่างๆ โดยรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในระบบ จะถูกแสดงรายละเอียดทุกปัจจัยและตัวแปร… ซึ่งจะเห็นที่มาที่ไปทั้งหมดอย่างง่ายดาย ถึงตรงนี้… สิ่งที่อยากจะบอกจริงๆ ไม่ใช่วิธีเขียนแผนภูมิก้างปลาหรอกครับ เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เรื่องยากที่จะเขียน และ ยังมีคำแนะนำดีๆ มากมาย รวมทั้งซอฟท์แวร์ช่วยเขียนก็มีให้ใช้ไม่น้อย… ซึ่งแผนภูมิก้างปลาจะเขียนออกมาได้ละเอียดดิบดีสวยงามแค่ไหนก็ตาม ตัวแผนภูมิก้างปลาก็ยังทำหน้าที่ได้ดีที่สุดเพียงแค่ระบุปัญหา หรือ ให้ข้อมูลที่อาจจะเกี่ยวกับปัญหาออกมาให้ได้เท่านั้น… การแก้ไขหรือการจัดการ รวมทั้งการวิเคราะห์ซ้ำให้เข้าถึงรากเหง้าปัญหา ก็ยังเป็นหน้าที่ของคนทำงานอยู่ดี ที่สำคัญกว่านั้น… การทำแผนภูมิก้างปลามั่วๆ ตั้งแต่เริ่มแรกเพราะวัตถุประสงค์ หรือ เป้าหมายปัญหาที่ต้องการจัดการไม่ชัดเจน ก็ไม่มีใครรับประกันได้หรอกครับว่า ข้อมูลที่เห็นหรือใส่ไว้นั้นจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้แค่ไหน หรือแย่กว่านั้นอาจจะเพิ่มปัญหาเป็นการถกเถียงขัดแย้ง และ ความคิดเห็นแตกแยกในทีมเพิ่มมาอีกหนึ่งประเด็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้… ก็เคยเห็นมีมาแล้ว นั่นแปลว่า… แนวคิด หรือ Concept ที่ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหา สำคัญกว่าและมาก่อนการเลือกใช้เครื่องมือวิเคราะห์อย่างแผนภูมิก้างปลา หรือ เครื่องมือวิเคราะห์ปัญหาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้… โดยแนวคิดก่อนเริ่มต้นวิเคราะห์ปัญหา จะมีขั้นตอนคร่าวๆ อยู่ 4 ขั้นตอนคือ…
ส่วนใครจะดึงแผนภูมิก้างปลามาใช้ในขั้นตอนไหน… ก็แล้วแต่ถนัด และ ได้โปรดอย่าลืมที่จะระดมสมองให้มาก โดยเฉพาะ “ในขั้นตอนระบุสาเหตุที่เป็นไปได้” ทั้งหมด ซึ่งประเด็นเหล่านั้นมีแนวโน้มจะเป็นงานสำคัญในการแก้ปัญหาต่อไปนั่นเอง Keyword: ��ä����ҡ�ѭ��, ������������ҡ���˵� (RCA, Root Cause Analysis), Ἱ�ѧ���˵���м� (Cause & Effect Diagram), Ἱ�ѧ��ҧ��� (Fishbone Diagram, Ishikawa Diagram), ������ҧ������������ҡ���˵ش���Ἱ�ѧ���˵���м� (Cause and Effect Diagram), ������ҧ��ä����ҡ�ѭ�Ҵ���Ἱ�ѧ��ҧ���, ��þѲ�ҡ�кǹ��÷ӧҹ, ��èѴ��â�����, ��ú����÷�Ѿ�ҡ��آ�Ҿ, �ҹ�����÷�Ѿ�ҡ��آ�Ҿ, �����Ҫ, Utilization Management, Siriraj ข้อดีของเทคนิคนี้ คือ ทำให้เราสามารถรวบรวมความคิดจากหลายๆฝ่ายในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และเป็นเหตุเป็นผล อย่างไรก็ตาม การจะทำได้แผนผังก้างปลาที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยทักษะของผู้นำการประชุมด้วย เพื่อให้ได้ความคิดที่ต่อยอดออกไปและเป็นประโยชน์กับการแก้ปัญหาได้มากที่สุดแผนผังก้างปลา (Cause and Effect Diagram)มิถุนายน 7, 2012 โดย sirichai แผนผังก้างปลา หรือเรียกเป็นทางการว่า แผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) แผนผังสาเหตุและผลเป็นแผนผังที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา (Problem) กับสาเหตุทั้งหมดที่เป็นไปได้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหานั้น (Possible Cause) เราอาจคุ้นเคยกับแผนผังสาเหตุและผล ในชื่อของ “ผังก้างปลา (Fish Bone Diagram)” เนื่องจากหน้าตาแผนภูมิมีลักษณะคล้ายปลาที่เหลือแต่ก้าง หรือหลายๆ คนอาจรู้ จักในชื่อของแผนผังอิชิกาว่า (Ishikawa Diagram) ซึ่งได้รับการพัฒนาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1943 โดย ศาสตราจารย์คาโอรุ อิชิกาว่า แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว เมื่อไรจึงจะใช้แผนผังก้างปลา 1. เมื่อต้องการค้นหาสาเหตุแห่งปัญหา วิธีการสร้างแผนผังสาเหตุและผลหรือผังก้างปลา 1. กำหนดประโยคปัญหาที่หัวปลา การกำหนดปัจจัยบนก้างปลา เราสามารถที่จะกำหนดกลุ่มปัจจัยอะไรก็ได้ แต่ต้องมั่นใจว่ากลุ่มที่เรากำหนดไว้เป็นปัจจัยนั้นสามารถที่จะช่วยให้เราแยกแยะและกำหนดสาเหตุต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ และเป็นเหตุเป็นผล M – Man คนงาน หรือพนักงาน หรือบุคลากร แต่ไม่ได้หมายความว่า การกำหนดก้างปลาจะต้องใช้ 4M 1E เสมอไป เพราะหากเราไม่ได้อยู่ในกระบวนการผลิตแล้ว ปัจจัยนำเข้า (input) ในกระบวนการก็จะเปลี่ยนไป เช่น ปัจจัยการนำเข้าเป็น 4P ได้แก่ Place , Procedure, People และ Policy หรือเป็น 4S Surrounding, Supplier, System และ Skill ก็ได้ หรืออาจจะเป็น MILK Management, Information, Leadership, Knowledge ก็ได้ นอกจากนั้น หากกลุ่มที่ใช้ก้างปลามีประสบการณ์ในปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะกำหนดกลุ่ม ปัจจัยใหม่ให้เหมาะสมกับปัญหาตั้งแต่แรกเลยก็ได้ เช่นกัน การกำหนดหัวข้อปัญหาที่หัวปลา การกำหนดหัวข้อปัญหาควรกำหนดให้ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ ซึ่งหากเรากำหนดประโยคปัญหานี้ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว จะทำให้เราใช้เวลามากในการค้นหา สาเหตุ และจะใช้เวลานานในการทำผังก้างปลา ผังก้างปลาประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้ ส่วนปัญหาหรือผลลัพธ์ (Problem or Effect) ซึ่งจะแสดงอยู่ที่หัวปลา ซึ่งสาเหตุของปัญหา จะเขียนไว้ในก้างปลาแต่ละก้าง ก้างย่อยเป็นสาเหตุของก้างรองและก้างรองเป็นสาเหตุของก้างหลัก เป็นต้น หลักการเบื้องต้นของแผนภูมิก้างปลา (fishbone diagram) คือการใส่ชื่อของปัญหาที่ต้องการวิเคราะห์ ลงทางด้านขวาสุดหรือซ้ายสุดของแผนภูมิ โดยมีเส้นหลักตามแนวยาวของกระดูกสันหลัง จากนั้นใส่ชื่อของปัญหาย่อย ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาหลัก 3 – 6 หัวข้อ โดยลากเป็นเส้นก้างปลา (sub-bone) ทำมุมเฉียงจากเส้นหลัก เส้นก้างปลาแต่ละเส้นให้ใส่ชื่อของสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหานั้นขึ้นมา ระดับของปัญหาสามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก ถ้าปัญหานั้นยังมีสาเหตุที่เป็นองค์ประกอบย่อยลงไปอีก โดยทั่วไปมักจะมีการแบ่งระดับของสาเหตุย่อยลงไปมากที่สุด 4 – 5 ระดับ เมื่อมีข้อมูลในแผนภูมิที่สมบูรณ์แล้ว จะทำให้มองเห็นภาพขององค์ประกอบทั้งหมด ที่จะเป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง ข้อดี 1. ไม่ต้องเสียเวลาแยกความคิดต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายของแต่ละสมาชิก แผนภูมิก้างปลาจะช่วยรวบรวมความคิดของสมาชิกในทีม 2. ทำให้ทราบสาเหตุหลัก ๆ และสาเหตุย่อย ๆ ของปัญหา ทำให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ซึ่งทำให้เราสามารถแก้ปัญหาได้ถูกวิธี ข้อเสีย 1. ความคิดไม่อิสระเนื่องจากมีแผนภูมิก้างปลาเป็นตัวกำหนดซึ่งความคิดของสมาชิกในทีมจะมารวมอยู่ที่แผนภูมิก้างปลา 2. ต้องอาศัยผู้ที่มีความสามารถสูง จึงจะสามารถใช้แผนภูมิก้างปลาในการระดมความคิด สำหรับ เครื่องมือในการแก้ไขปัญหายังไม่จบแค่นี้ครับ ยังมีอีกหลายเครื่องมือที่น่าสนใจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องดูประเภทของปัญหาว่า เหมาะสมสำหรับการใช้เครื่องมือชนิดใด ที่จะสามารถแก้ไขและได้ผลที่สุด ผมจะยังเสนอเครื่องมืออีกเรื่อยๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องครับ ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้สั่งสอนวิชาต่างๆ ทำให้เกิดปัญญาในการเรียนรู้มากขึ้นครับ |