การพัฒนาโปรแกรมตามขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมที่เป็นมาตรฐานจะทำให้ได้โปรแกรมที่ดี ซึ่งคุณสมบัติของโปรแกรมที่ดี มีดังนี้ ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม การเขียนโปรแกรมที่ดีนั้นจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม 6 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา การออกแบบโปรแกรม การเขียนโปรแกรม การทดสอบโปรแกรม และการจัดทำเอกสารประกอบ ควรทำตามแต่ละขั้นตอนให้เรียงตามลำดับ ไม่ข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง หรือทำไม่ครบขั้นตอน โดยมีรายละเอียดแต่ละขั้นตอน ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ปัญหา เป็นขั้นตอนแรกของการพัฒนาโปรแกรม เป็นการศึกษารายละเอียดพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาโปรแกรม ได้แก่ สิ่งที่ต้องการ รูปแบบของผลลัพธ์ ข้อมูลนำเข้า ตัวแปรที่ใช้ และวิธีการประมวลผล ดังนี้ 1.1 สิ่งที่ต้องการ (Requirement) คือ การกำหนดวัตถุประสงค์ของงานที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เช่น รวมคะแนนสอบคัดเลือก จัดลำดับที่สอบได้ พิมพ์รายชื่อผู้สอบได้ คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของพนักงาน การคำนวณค่าคอมมิชชั่น งานที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้นอาจจะมีหลายอย่าง จึงต้องเขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ ไว้ เพราะในการเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้น จะต้องทราบแน่ชัดว่าทำงานอะไรบ้าง
มิฉะนั้นโปรแกรมที่เขียนอาจทำงานไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนด 2. การออกแบบโปรแกรมเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการพัฒนาโปรแกรมคือการนำปัญหาที่วิเคราะห์ได้จากขั้นตอนที่1 มาวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนว่าจะต้องเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหาอย่างไรการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนนี้เรียกว่าอัลกอริทึม (Algorithm) ซึ่งอัลกอริทึมแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ รหัสจำลอง (Pseudo-code) คือการเขียนอัลกอริทึมโดยใช้ประโยคภาษาอังกฤษที่สื่อความหมายง่ายๆสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้โดยทันทีหรือผังงาน (Flowchart) คือการเขียนอัลกอริทึมโดยใช้สัญลักษณ์รูปภาพเป็นตัวสื่อความหมายจากโจทย์ ที่ทำให้ผู้ออกแบบสามารถเขียนลำดับการทำงานและขั้นตอนของการประมวลผลของโปรแกรมได้ โดยไม่ต้องกังวลกับรูปแบบคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์การจัดทำหรือเขียนโปรแกรม โดยไม่มีการวางแผนก่อนล่วงหน้า จะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไขโปรแกรม และก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่ผู้ใช้โปรแกรม เครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยในการออกแบบโปรแกรม 3. การเขียนโปรแกรม เป็นการนำเอาผังงานซึ่งได้จากการออกแบบโปรแกรม มาเขียนเป็นโปรแกรมสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษาซี ภาษาจาวา แล้วแต่ว่างานนั้นเหมาะสมกับภาษาใด ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องมีความสนใจต่อรูปแบบ กฎเกณฑ์การใช้ภาษานั้นๆ และควรมีคำอธิบายด้วยว่าโปรแกรมนี้ทำไรได้บ้าง เพื่อให้โปรแกรมนั้นมีความกระจ่าง ชัดเจน และง่ายต่อการตรวจสอบ 4. การทดสอบโปรแกรม เป็นการนำเอาโปรแกรมที่เขียนแล้วเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบรูปแบบกฎเกณฑ์ของภาษา และผลการทำงานของโปรแกรมนั้น ถ้าพบข้อผิดพลาดก็แก้ไขให้ถูกต้อง ข้อผิดพลาดที่มักพบบ่อยๆ ในการสั่งให้โปรแกรมทำงานมีอยู่ 3 แบบคือ 5. การจัดทำเอกสารประกอบโปรแกรม เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโปรแกรม และอาจจะเริ่มทำไปพร้อมกับการเขียนโปรแกรม เอกสารประกอบโปรแกรมที่ต้องจัดทำมีอยู่ 2 ประเภทคือ คู่มือผู้ใช้ (User’s Manual) และคู่มือนักเขียนโปรแกรม (Programmers Manual) โดยคู่มือผู้ใช้จะช่วยให้ผู้ใช้โปรแกรมเช้าใจวัตถุประสงค์และใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนคู่มือนักเขียนโปรแกรมจะช่วยในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไขโปรแกรมในอนาคต 6. การบำรุงรักษาโปรแกรมเมี่อโปรแกรมผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว และถูกนำมาให้ผู้ใช้ได้ใช้งาน ในช่วงแรกผู้ใช้อาจจะยังไม่คุ้นเคยก็อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงต้องมีผู้คอยควบคุมดูแลและคอยตรวจสอบการทำงาน การบำรุงรักษาโปรแกรมจึงเป็นขั้นตอนที่ผู้เขียนโปรแกรมต้องคอยเฝ้าดูและหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมในระหว่างที่ผู้ใช้ใช้งานโปรแกรมและปรับปรุงโปรแกรมเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรือในการใช้งานโปรแกรมไปนานๆ ผู้ใช้อาจต้องการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบงานเดิมเพื่อให้เหมาะกับเหตุการณ์ นักเขียนโปรแกรมก็จะต้องคอยปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมตามความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง เอกสารอ้างอิง น้อย สุวรรณมณี และคณะ.(2553). หนังสือเรียนแม็ค การงานอาชีพและเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 เล่มที่ 3.(หน้า 78-80).กรุงเทพฯ : แม็ค. สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)(2558). คู่มือครูหนังสือเรียน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 เล่มที่ 3 (หน้า 76-79).กรุงเทพฯ : คุณภาพวิชาการ (พว.). สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)กระทรวงศึกษาธิการ(2553). เทคโนโลยี |