ธุรกิจ SMEs มักประสบปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือขณะที่ธุรกิจกำลังดำเนินไปด้วยดี กลับพบว่าขายดีแต่ไม่มีกำไรมากเท่าที่ควรจะเป็น หรือผู้ประกอบการหลายรายผลิตสินค้าออกมา กลับประสบกับภาวะการขาดทุนโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะผู้ประกอบการไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าที่ขาย ต้นทุนขาย คือจำนวนเงินที่จ่ายไปในการซื้อสินค้า วัตถุดิบ เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นในการผลิตสินค้าและบริการที่ขายพร้อมกับกิจกรรมกระบวนการที่ทำให้สินค้าและบริการพร้อมขายหรือใช้ในภายหลัง เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การทดสอบ การจัดเก็บ การขนส่ง เป็นต้น วิธีคำนวณต้นทุนขายเพื่อให้เข้าใจการคำนวณต้นทุนขายของธุรกิจSMEs จึงขอแยกอธิบายในแต่ละประเภทของธุรกิจ ดังนี้ 1. ธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจขายของทางออนไลน์ ต้นทุนขายคำนวณไม่ยากคือคิดจากราคาสินค้าที่ซื้อมาโดยตรง รวมทั้งค่าขนส่งสินค้าเข้าร้าน 2. ธุรกิจผลิตสินค้า เช่น ธุรกิจโรงงาน หรือผู้ประกอบการที่ทำขนมขาย ซึ่งใช้วัตถุดิบหลายอย่างในการผลิต โดยทั่วไปต้นทุนการผลิตเป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสินค้า ได้แก่ ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าใช้จ่ายในการผลิตเช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ รวมทั้งของเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ในทางบัญชีถ้าจัดจำแนกตามลักษณะพฤติกรรมของต้นทุนจะแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ ก.ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่มีมูลค่าเท่าเดิมไม่ว่าจะมีการผลิตสินค้าในปริมาณมากหรือน้อย ได้แก่ เงินเดือน ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกันภัย เป็นต้น ข.ต้นทุนผันแปร เป็นต้นทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิตสินค้า ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าน้ำค่าไฟ เป็นต้น สำหรับธุรกิจ SMEs ที่เป็นธุรกิจผลิตที่ไม่ซับซ้อนมาก ผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนได้ดังนี้ 1. ต้นทุนวัตถุดิบ เป็นต้นทุนหลักในการผลิตสินค้า ยกตัวอย่างการคำนวณง่ายๆ เช่น ผู้ประกอบการที่ทำขนมขาย วัตถุดิบได้แก่ แป้ง น้ำตาล ไข่ เป็นต้น รวมราคาวัตถุดิบที่ซื้อมาเท่ากับ 500 บาทและผลิตขนมออกมาได้ 1,000 ชิ้น ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบต่อขนม 1 ชิ้น เท่ากับ 2 บาท หรืออีกวิธีหนึ่งคือคำนวณต้นทุนวัตถุดิบจากปริมาณที่ใช้จริง จากสมการนี้ ต้นทุนวัตถุดิบ = ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้จริง x (ราคาที่ซื้อหารด้วยปริมาณที่ซื้อ) เช่น ธุรกิจที่ทำขนมขายซื้อแป้งสาลีมาในราคา 50 บาทต่อ 1,000 กรัม (1ถุง) ใช้แป้งทำขนมไปแค่ 80 กรัม ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบคือ 80x(50/1,000) เท่ากับ 4 บาท 2. ค่าแรงการผลิต กรณีที่มีการจ้างพนักงานที่รับผิดชอบดูแลกระบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายประเภทเงินเดือน ถือเป็นต้นทุนการผลิตโดยตรง การคำนวณค่าแรงมีดังนี้ เช่น โรงงานผลิตสินค้าได้ 50,000 ชิ้นต่อวัน เงินเดือนของพนักงานที่ดูแลกระบวนการผลิตมี 2 คนเงินเดือนรวมกัน เดือนละ 40,000 บาท ดังนั้น ต้นทุนค่าแรงต่อสินค้า 1 ชิ้นเท่ากับ 40,000/50,000 เท่ากับ 0.8 บาทต่อ สินค้า 1 ชิ้น เป็นต้น หรืออย่างกรณีของโรงงานทำขนมที่จ้างลูกจ้างรายวัน เช่นค่าแรงวันละ400 บาท โดยเฉลี่ยผลิตขนมได้วันละ 1,000 ชิ้น ค่าแรงต่อขนม 1 ชิ้น เท่ากับ 0.4 บาท 3. ค่าใช้จ่ายในการผลิต ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ ของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต 3.1 ค่าไฟฟ้า โดยค่าไฟต่อสินค้า 1 ชิ้น คำนวณจากค่าไฟที่จ่ายจริงแต่ละเดือนหารด้วยปริมาณการผลิต เช่น โรงงานผลิตสินค้า จ่ายค่าไฟในเดือนตุลาคม 100,000 บาท ผลิตสินค้าได้ 20,000 ชิ้น ดังนั้น ค่าไฟต่อ สินค้า 1 ชิ้น เท่ากับ 5 บาท 3.2 ค่าน้ำมันรถ โดยคิดจากค่าน้ำมันที่ใช้จริงสำหรับรถแต่ละคัน หรือเทียบจากการใช้รถแท็กชี่โดยเข้าไปดูราคาใน Application Grab 3.3 ของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต ในช่วงแรกๆอาจใช้วิธีการประเมิน เช่น ผลิตขนม 10 ชิ้น เสีย 1 ชิ้น เท่ากับของเสียคิดเป็น 10% ของสินค้าที่ผลิตได้ ต่อไปอาจจะใช้วิธีเก็บข้อมูลและประเมินจากของเสียที่เกิดขึ้นจริงได้ ข้อดีของการทราบต้นทุนขาย1. นำไปใช้ในการตั้งราคาสินค้าได้อย่างถูกต้องเมื่อคำนวณต้นทุนขายได้แล้วในการตั้งราคาสินค้าค่อยบวกกำไรที่ต้องการเข้าไป โดยกำหนดเป็นกำไรเพิ่มเข้าไป เช่นต้นทุนขาย 5 บาทต่อชิ้น ต้องการกำไร1 บาทต่อชิ้น ราคาขายเท่ากับ 6 บาทต่อชิ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินผลกำไรการดำเนินงานเพื่อใช้ในการวางแผนงานได้ 2. สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ในเรื่องราคาผู้ประกอบการสามารถกำหนดกลยุทธเรื่องราคา ในการปรับเพิ่ม ลด ราคา หรือจัดการส่งเสริมการขายเพื่อให้แข่งขันทางด้านราคากับคู่แข่งได้ 3. ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิตได้เนื่องจากรู้ข้อมูลต้นทุนที่แท้จริง ทำให้วางแผนในการจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบ หรือการจ้างแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก 4. ช่วยลดการสูญเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตได้เมื่อทราบต้นทุนของเสียผู้ประกอบการสามารถวางแผนในการบริหารจัดการเพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิต ทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง 5. ตัวเลขต้นทุนขายและกำไรทางบัญชีและภาษีถูกต้องการที่ธุรกิจสามารถคำนวณตัวเลขต้นทุนขายซึ่งเป็นรายการที่มีสาระสำคัญในงบการเงิน ย่อมทำให้การคำนวณกำไรสุทธิถูกต้องและตัวเลขภาษีถูกต้องตามไปด้วย นอกจากจะลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับทางภาษีแล้ว ในกรณีธุรกิจต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน งบการเงินก็มีความถูกต้องน่าเชื่อถือทำให้มีโอกาสจัดหาแหล่งเงินกู้ได้ การคิดต้นทุนขายเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเหตุให้หลายธุรกิจขายขาดทุนกันมาแล้ว การคิดต้นทุนผิดอาจทำให้คิดราคาขายผิด ยิ่งคำนวณต้นทุนได้ถูกต้องมากเท่าไร ทำให้ทราบผลกำไรบริษัทได้แม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยลดการสูญเสียที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เมื่อต้นทุนขายลดลง ธุรกิจย่อมมีกำไรเพิ่มขึ้นและเติบโตยิ่งขึ้น PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการในการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ สร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ สมัครใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี คลิก peakaccount.com อ้างอิง: ไทยวินเนอร์ บล็อคสำหรับผู้ประกอบการคนไทย: การคิดต้นทุนกำไรและราคาขาย-สูตรคิดต้นทุนสินค้า 4 สิงหาคม 2563 |