ในช่วงหลายปีมานี้จนถึงปัจจุบันธุรกิจออนไลน์มีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆทั่วทุกมุมโลก รวมถึงประเทศไทยก็เช่นกัน ซึ่งเป็นยุคที่มีการซื้อขายกันได้อย่างรวดเร็ว สะดวกสะบาย รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆก็ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แทบจะเรียกได้ว่าเห็นแล้วชอบถูกใจเพียงนิ้วสัมผัสก็สั่งได้เลย จึงทำให้มีระบบการซื้อขายที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและความสะดวกสบายของผู้ขาย จึงเกิดเป็น “E-marketplace” ขึ้นมา E-marketplace
คืออะไรไปติดตามกันเลย E-marketplace คือ เว็บไซต์หรือแอพลิเคชั่น ที่เป็นสื่อกลาง ตัวกลางหรือเป็นตลาดซื้อขายสินค้า ผ่านเว็บไซต์หรือแอพลิเคชั่น ที่มีระบบจัดการสินค้าสำหรับผู้ขายและระบบตะกร้าการชำระเงินสำหรับผู้ซื้อโดย E-marketplace จะรวบรวมร้านค้า
และสินค้าในหลากหลายประเภทไว้ในที่เดียวกัน อาจจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ประเภทสินค้าเอาไว้อย่างชัดเจน สามารถสั่งซื้อได้ตลอด 24 ชม. มีการจัดส่งสินค้าจากร้านค้าไปยังลูกค้าถึงที่ นอกจากนี้ยังมีการทำการตลาด การโปรโมท การวางแผนธุรกิจ และศูนย์ส่งเสริมธุรกิจ เพื่อบริการผู้ขายอีกด้วย เรียกได้ว่ามีบริการแบบครบวงจรที่จะตอบโจทย์ให้กับผู้ขาย E-marketplace ยังช่วยเพิ่มช่องทางจำหน่ายและเพิ่มโอกาสการขายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในแต่ละ E-marketplace จะมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
ทำให้ลูกค้ามีโอกาสที่จะค้นหาร้านเราเจอได้มากและมีระบบชำระเงินที่น่าเชื่อถือลูกค้าสั่งซื้อได้อย่างไว้วางใจ นอกจากนี้ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับแบรนด์สินค้าหรือร้านค้าเกิดใหม่ ที่ยังไม่พร้อมที่จะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ให้สามารถเปิดร้านบนออนไลน์ได้ ตัวอย่าง E-marketplace ที่นิยมในไทย 1. Lazada 2. Shopee 3. JD Central นอกจากการเปิดร้านค้าหรือธุรกิจบน E-marketplace การทำการตลาดออนไลน์ในทุกช่องทางทั้ง เว็บไซต์ และ Social Media แบบครบวงจรก็ยังมีความสำคัญสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณได้เข้าถึงลูกค้าและเติบโตได้มากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านไหนที่สนใจการทำการตลาดออนไลน์แบบครบวงจรและต้องการผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำการตลาดออนไลน์มาช่วยวางแผนและช่วยดำเนินการทำโฆษณาให้ ก็สามารถติดต่อเข้ามาที่ Go Online ได้เลย เรามีทีมงานมากประสบการณ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถสร้างรายได้และเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการตลาด หรือกำลังมองหาผู้ช่วยในการวางแผนการตลาดออนไลน์ติดต่อเรา Go Online Author: supawatWEB BLOG: อยากเปิดร้านค้าออนไลน์ เลือกเว็บขายของออนไลน์แบบไหนดี?พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาจับจ่ายใช้สอยผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมาขายสินค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งเว็บร้านค้าออนไลน์ก็มีหลายแบบให้เลือก โดยมีรูปแบบการใช้งาน ข้อดีข้อเสีย และค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป สำหรับคนที่กำลังจะเลือกเว็บขายของออนไลน์ เราก็มีข้อมูลมาแนะนำดังนี้
เลือกเว็บขายของออนไลน์แบบไหนดี?Social MediaSocial Media เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมาก เช่น Facebook ซึ่งสามารถเปิดเพจสำหรับการขายของโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยสามารถเลือกหมวดหมู่ของเพจเป็นร้านค้า ระบุประเภทของสินค้า เพื่อให้ลงรายละเอียดได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งสามารถระบุข้อมูลการติดต่อ รวมถึงโลเคชั่นร้านค้าได้ด้วย ส่วนโซเชียลมีเดียอีกอย่างที่นิยมคือ Instagram การขายของในแพลตฟอร์มนี้จะเน้นภาพเป็นสำคัญ และเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ด้วยการติดแฮชแท็กเกี่ยวกับชื่อและประเภทของสินค้า เพราะผู้ใช้จะค้นหาสินค้าจากแฮชแท็กนั่นเอง ข้อดีของ Social Media
ข้อเสียของ Social Media
E-MarketplaceE-Marketplace (Electronic Marketplace) หรือตลาดขายสินค้าออนไลน์ เป็นแพลตฟอร์มรวมร้านค้าและสินค้าหลากหลายประเภท มีการจัดหมวดหมู่และจัดอันดับร้านค้าที่น่าเชื่อถือเอาไว้ด้วย ทำให้มีผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ใช้งานจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น Shopee, Lazada มีการใช้งานที่ง่ายและมีการระบุรายละเอียดครบถ้วน ทั้งรายละเอียดสินค้า ราคาสินค้า การจัดส่ง และสามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิตได้เลย ข้อดีของ e-Marketplace
ข้อเสียของ Marketplace
เว็บร้านค้าออนไลน์ฟรีเว็บร้านค้าออนไลน์ฟรีต่างกับ E-Marketplace ตรงที่ผู้ขายจะมีเว็บไซต์ขายของเป็นของตนเอง สามารถใช้บริการเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ฟรี สามารถลงขายสินค้าในร้านได้อย่างเต็มที่ และตกแต่งหน้าเว็บได้อีกด้วย ข้อดีของเว็บร้านค้าออนไลน์ฟรี
ข้อเสียของเว็บร้านค้าออนไลน์ฟรี
เว็บไซต์สำเร็จรูปเว็บไซต์สำเร็จรูปเป็นบริการระบบสร้างเว็บไซต์ที่อำนวยความสะดวกกับผู้ที่อยากมีเว็บไซต์ของตัวเองแบบรวดเร็ว โดยมีเทมเพลตหน้าตาเว็บไซต์ให้เลือกหลายแบบ สามารถปรับรายละเอียดในส่วนต่างๆ ได้ยืดหยุ่นกว่าเว็บร้านค้าออนไลน์ฟรี ทั้งนี้เว็บไซต์สำเร็จรูปมักมีการเรียกเก็บค่าบริการเป็นรายปี ข้อดีของเว็บไซต์สำเร็จรูป
ข้อเสียของเว็บไซต์สำเร็จรูป
เว็บไซต์ CMSCMS (Content Management System) เป็นระบบในการบริหารจัดการเว็บไซต์สำเร็จรูป ทำให้ผู้ใช้งานไม่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ดก็ใช้ได้ มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเว็บไซต์อย่างมาก สามารถซื้อเทมเพลตหน้าตาเว็บไซต์สำเร็จรูปหรือที่เรียกว่าธีมที่ชอบมาใช้งานได้โดยไม่ต้องออกแบบเอง และยังมีโปรแกรมเสริมหรือที่เรียกว่าปลั๊กอินมากมายที่เหมาะสมกับการทำเป็นร้านค้าออนไลน์สำหรับการทำธุรกิจแบบ e-Commerce เช่น ระบบตะกร้าสินค้า ระบบบริหารจัดการสินค้า เป็นต้น ตัวอย่าง CMS ที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่อยากเปิดร้านค้าออนไลน์ก็คือ WordPress (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ WordPress คือ?) ข้อดีของเว็บไซต์ CMS
ข้อเสียของเว็บไซต์ CMS
การมีร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยอำนวยความสะดวกลูกค้า ส่วนการจะเลือกเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์แบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความสามารถในการดูแลร้านค้า ทั้งนี้ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเลือกใช้แค่ช่องทางเดียว ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถมีเว็บไซต์หลักเป็น WordPress แล้วใช้ Social Media และ E-Marketplace เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นก็ย่อมได้
บทความแนะนำ
|