การมีทักษะที่ไม่ถูกต้องในการจัดการความเครียด ก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพมากมายตามมา ซึ่งโรคหัวใจก็เป็นหนึ่งของปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น ความเครียดหรือความวิตกกังวลเมื่อขึ้นแล้ว ร่างกายจะสร้างสารที่เรียกว่า “อะดรีนาลิน” ซึ่งมีฤทธิ์ทำ ให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้นขึ้น จนทำให้หลอดเลือดบีบตัว เสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง เสี่ยงทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวได้ง่าย และ เกิดภาวะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ นำไปสู่โรคหัวใจในที่สุด ดังนั้น การจัดการความเครียดที่ถูกต้อง จึงเป็นสำคัญที่จะ ให้เกิดความเชื่อมั่นในความสามารถและทักษะของตนเองในการบริหารจัดการอารมณ์ให้ดี ไร้ซึ่งความวิตกกังวลอยู่เสมอ 10 วิธีบริหารจิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยอดเยี่ยม (จาก นพ.สุรเกียรติ อาซานานุภาพ ในหนังสือหมอชาวบ้าน) กล่าวไว้ว่า 1. .ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ไม่ว่ายจะเป็นว่ายน้ำ รำมวยจีน โยคะ เนื่องจากการออกกำลังกายสามารถบริหารจิตไปในตัวโดยการใช้สติระลึกรู้อยู่กับจังหวะการเคลื่อนไหว 2. นอนหลับให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับดีมีผลต่อการพัฒนาสมอง หลีกเลี่ยงการอดนอนและการมีอารมณ์เครียดติดต่อกันนานๆ เพราะมีผลลบต่อร่างกาย สมองและจิตใจเป้นอย่างยิ่ง 3. บริโภคอาหารสุขภาพตามหลักธงโภชนาการ บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดหวาน มัน เค็ม หันมากินปลา กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา บุหรี่ และสารเสพติด 4. หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยการอ่าน การฟัง การค้นคว้า การหาประสบการณ์ใหม่ๆ การคิดใคร่ครวญ การถาม การ บันทึกตามหลัก “สุ. จิ. ปุ. ลิ.” ควบคู่กับการฝึกใช้ความคิดเป็นประจำ 5. ฝึกสมาธิ เช่น ฝึกอานาปานสติ สวดมนต์ ไหว้พระ เดินจงกรม อธิษฐานจิตวันละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง นานครั้งละ5-10 นาที ช่วยให้จิตใจมั่นคงสงบนิ่ง ไม่วอกแวกได้ 6. เจริญสติ-รู้ตัวกับอิริยาบถและกิจกรรมต่างๆ มีความตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน เช่น ระลึกรู้ตัวอยู่ กับการนั่ง นอน ยืน เดิน การเคลื่อนไหวจังหวะ ทำกิจวัตรประจำวัน 7. ฝึกใช้ลมหายใจเป็นระฆังแห่งสติ เราสามารถตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก รู้เนื้อ รู้ตัว รู้สติตลอดเวลา 8. ฝึกพักใจและสมองเป็นระยะๆ ในแต่ละวัน เช่น หยุดคิด โดยหันมาชื่นชมธรรมชาติ หรือศิลปะ นานครั้งละ ½ ถึง 1 นาที ในสวน นั่งปล่อยวางอารมณ์อย่างเงียบๆ 9. เจริญปัญญาจากการสังเกตธรรมชาติของสรรพสิ่ง คิดเสมอว่า “ทุกสิ่งล้วนมีการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” เป็นธรรมดา ไม่ควรยืดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ควรใช้ปัญญามองทุกสิ่งตามความเป็นจริงตามเหตุปัจจัย 10. ฝึกคิดดี-พูดดี-ทำดี ให้เป็นนิสัย นอกจากนี้ควรหมั่นมีจิตอาสา ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เอกสารอ้างอิง กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หนังสือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การจัดการความเครียด สำหรับวัยทำงาน การบริหารจิต การบริหารจิตมาจากคำว่า จิตสิกขา หรือจิตภาวนา ทั้งสองคำนี้เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหนือกัน คือ เป็นเรื่องของการบริหารจิตหรือฝึกหัดพัฒนาจิต เหตุที่ต้องมีการบริหารจิตก็เพราะตามปกติจิตของคนเรามีสภาพที่ผ่องใส แต่เมืี่อใดก็ตามที่เราไม่มีการบริหารจิต จิตที่ผ่องใสก็จะกลายเป็นจิตที่ขุ่นมัวด้วยกิเลส จิตที่ขุ่นมัวย่อมเป็นจิตด้อยคุณภาพ ไม่อาจนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ตรงกันข้ามจิตที่ได้รับการฝึกหัดพัฒนาแล้ว ย่อมจะเป็นจิตที่มีทั้งคุณภาพ สุขภาพ และสมรรถภาพ พร้อมที่จะใช้สำหรับเป็นสนามปฏิบัติการทางปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม (พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี:แม็ค.2551) การบริหารจิตจึงมีความจำเป็นต่อมนุษย์ทุกคน เช่น ตื่นเช้ามาถ้าเราขาดการบริหารจิต จิตคิดไปในทางอกุศลเราจะเกิดความทุกข์ทางใจจิตจะเศร้าหมองหดหู่ ดังนั้นการบริหารจิตจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารจิต คือ การรักษาคุ้มครองจิต การฝึกฝนอบรมจิตหรือการทำจิตให้สงบ สะอาด ปราศจากความวุ่นวายเดือดร้อน ให้มีความเข้มแข็ง มีสุขภาพจิตดี และให้นำมาใช้ปฏิบัติงานได้ดี การบริหารจิตจึงเป็นการฝึกจิตให้แน่วแน่อยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ดังนั้น จิตที่ฝึกดีแล้วคือจิตที่มีความแน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่อความชั่วร้ายทั้งปวง ถ้ามีสิ่งใดมากระทบจะใช้ปัญญาในการพิจารณาเรื่องราวด้วยเหตุผลควรไม่ควรได้ดีขึ้น และแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล การบริหารจิตก็คือการพัฒนาจิตนั่นเอง หรือเรียกว่า จิตตภาวนา (คำศัทพ์ทางพระพุทธศาสนา) ซึ่งหมายถึงการอบรมใจ สมาธิ แปลตามศัพท์ว่า ความตั้งมั่น เป็นวิธีการบริหารจิต หรือ การทำจิตให้สงบ เป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่จะนำไปสู่การเกิดปัญญาและยังเป็นข้อพึงปฏิบัติโดยทั่ว ๆ ไปด้วย เพราะการกระทำทุกอย่างในชีวิตประจำวันรวมทั้งการปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีสมาธิ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงจุดมุ่งหมายของสมาธิไว้หลายประการด้วยกัน ได้แก่ เพื่อทำให้จิตใจมีความสงบจากอารมณ์และกิเลสหรือนิวรณ์ทั้งหลาย เพื่อให้ได้ญาณทัศนะหรือการเห็นด้วยปัญญา เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะ จะทำให้ไม่ประมาทหรือทำอะไรผิดพลาด เพื่อสิ้นอาสวะหรือสิ้นกิเลส สมาธิจึงเป็นรากฐานของวิปัสสนาหรือการพิจารณากฎธรรมดาแห่งสังขารตามความเป็นจริงด้วยปัญญา การสิ้นกิเลสถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการบำเพ็ญสมาธิ สมาธิมี 3 ระดับด้วยกัน คือ 1. ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิขั้นต้น และขั้นแรกของการฝึกวิปัสสนา 2. อุปจารสมาธิ หรือสมาธิจวนแน่วแน่ เป็นระดับที่ระงับอุปสรรคของการฝึกสมาธิ 3. อัปปนาสมาธิ หรือ สมาธิแน่วแน่ เป็นสมาธิระดับสูง บรรลุฌาณ จิตสงบ นิวรณ์ คือ สิ่งที่ขัดชวางจิตมิให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ประกอบด้วย 1. กามฉันทะ หรือความพอใจรักใคร่ในกามคุณ 5 ได้แก่ รู้ เสียง กลิ่น รส สัมผัส 2. พยาบาท หรือ ความโกรธ ความเคียดแค้นความผูกใจเจ็บ คิดทำร้ายผู้อื่น 3. ถีนมิทธะ หรือ ความท้อแท้ เซี่องซึม คร้านที่จะทำ หดหู่ 4. อุทธัจจกุกกุจจะ หรือความคิดฟุ้งซ่าน ความเดือดร้อนใจ ความรำคาญใจ ความระแวง จิตวอกแวก 5. วิจิกิจฉา หรือ ความลังเลไม่แน่ใจ สงสัย เคลือบแคลง นิวรณ์ทั้ง 5 เป็นอุปสรรคของการทำสมาธิ ผู้ทำสมาธิจะต้องดึงจิตกลับมาให้แน่วแน่กับสิ่งที่กำหนดให้สำเร็จ การฝึกสมาธิให้ได้ผลดีจึงต้องตัดนิวรณ์ออกไปให้ได้เสียก่อนโดยใช้หลักพุทธธรรม คือ อิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วย 1. ฉันทะ ความพอใจที่จะฝึก 2. วิริยะ ความเพียรพยายามที่จะฝึก 3. จิตตะ ความเอาใจใส่ในการฝึก 4. วิมังสา การพิจารณาใตร่ตรองหาเหตุผลในสิ่งที่ทำอยู่ หรือ สรุปรวมได้ว่า มีใจรักพากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน ที่มา : Google.co.th อานาปาณสติ คือ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปาณ คือ การหายใจเข้าออก+สติ = การระลึกถึง การกำหนดจิต) ซึ่งเป็นหนึ่งในสมถกรรมฐาน 40 วิธีที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และเป็นที่นิยมฝึกปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายเพราะ 1. ทำได้สะดวก ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มากเหมือนกรรมฐานอย่างอื่น เพราะใช้ลมหายใจเป็นสำคัญซึ่งทุกคนมีอยู่ในตัวเองแล้ว 2. เป็นวิธีการปฏิบัติที่ไม่ซับซ้อนสับสน สามารถทำได้ง่าย อลงมือปฏิบัติก็ได้รับผลทันทีตั้งแต่ต้นเรื่อยไป ไม่ต้องรอจนเกิดสมาธิเป็นขั้นเป็นตอน กล่าวคือกายใจผ่อนคลายได้พัก จิตก็สงบสบายลึกซึ้งลงไปเรื่อย ๆ 3. เป็นหนึ่งในจำนวนกรรมฐาน 12 อย่าง ที่สามารถปฏิบัติต่อเนื่องตั้งแต่ต้นไปจนสำเร็จผลสูงสุด โดยไม่ต้องพะวงที่จะหากรรมฐานอื่นมาสับเปลี่ยนหรือต่อเดิมอีก 4. ไม่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพ กายก็ไม่เหนื่อย ไม่เหมือนกรรมฐานอื่น ๆ ที่ต้องจ้องเพ่งหรือเดินกลับไปกลับมา ตรงข้ามกับวิธีอานาปาณสติกลับเกื้อกูลแก่สุขภาพอย่างดี คือ ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน 5. เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว จะปฏิบัติเพื่อมุ่งผลฝ่ายสมาธิอย่างเดียวก็ได้ จะปฏิบัติใช้เป็นฐานตามแนวสติปัฏฐาน จนครบทั้ง 4 อย่างก็ได้ ( 1.กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน 2. เวทนานุปัสสนา สติปัฎฐาน 3. จิตตานุปัสสนา สติปัฎฐาน และ 4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน) และการบริหารจิตแบบอานาปาณสติจัดอยู่ในกายานุปัสสนา สติปัฏฐาน 6. เป็นกรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงใช้เป็นส่วนมากในขณะทรงพระชนม์ชีพอยู่ และทรงแนะนำให้เหล่าสาวกปฏิบัติมากกว่าอย่างอื่น สติ คือ การระลึกรู้ในทุกสิ่งที่กระทำทั้งกาย วาจา และใจ ที่มา : Google.co.th การกำหนดลมหายใจมีด้วยกันหลายวิธี ให้นักเรียนเลือกฝึกปฏิบัติตามความเหมาะสมของตนเอง 1. การกำหนดลมหายใจแบบตามลมเข้าออก วิธีการให้ทำตามลำดับ ดังนี้ 1. ให้นักเรียนนั่งสมาธิบนพื้นหรือ เก้าอี้ ( หากเป็นไปได้ไม่ควรนั่งเก้าอี้ ) เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หลับตาตั้งกายให้ตรง อย่างุ้มไปข้างหน้าหรือเอนไปข้างหลัง) หากนักเรียนนั่งบนเก้าอี้ไม่ควรพิงพนักเก้าอี้เพราะจะทำให้ระบบลมหายใจเดินไม่สะดวก เกิดอาการง่วงนอนได้ง่าย สำหรับกรณีที่นักเรียน ทำที่บ้านให้นักเรียนหาสถานที่ที่มีบรรยากาศเหมาะสม สงบ ปลอดโปร่ง ปราศจากเสียง กลิ่น รบกวน *จากนั้นให้นักเรียนสูดลมเข้าจนเต็มปอด กั้นลมหายใจค้างไว้ 3 วินาที แล้วค่อยปล่อยลมออก ทำประมาณ 3 ครั้ง เพื่อปลุกความพร้อม 2. ให้นักเรียนหายใจเข้าออกตามธรรมชาติ ตั้งสติตามลมหายใจเข้าออก ดึงไปดึงมาเหมือนคนเลื่อยไม้ ขณะหายใจเข้าให้รู้ว่าหายใจเข้ายาว/สั้น ขณะหายใจออกให้รู้ว่ายาว/สั้น โดยการส่งใจตามไปกำหนดตามจุดเริ่มต้น ช่วงกลาง และที่สุดของลมหายใจ (ปลายจมูก ทรวงอก และท้อง (เวลาหายใจออก ท้องเป็นต้นลม ทรวงอกเป็นกลางลม ปลายจมูกเป็นปลายลม)
ที่มา : Google.co.th 2. การกำหนดลมหายใจด้วยการนับ 2.1 การนับอย่างช้า คือ เมื่อนักเรียนนั่งสมาธิเรียบร้อยแล้วให้เริ่มนับในใจโดยนับเป็นคู่ ๆ คือ หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 1 เรื่อยไป ดังนี้ เมื่อจบชุด แล้ว ให้นักเรียน นับย้อนขึ้นไปดังนี้ ที่มา : Google.co.th 2.2 การนับอย่างเร็วให้นับเป็นคู่ ๆ เช่นเดียวกับข้างต้น 2.3 หากนักเรียนนับข้ามหรือลืมว่าถึงเลขอะไรแล้วให้นักเรียนเป็นเริ่มต้นนับใหม่ จนกว่าจะนับไม่หลงลืม คล่องแคล่ว ไม่สับสน และจิตเป็นสมาธิดี 3. 4. หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกบริหารจิตแต่ละครั้งให้นักเรียนแผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์โดยวาจาด้วยการออกเสียงหรือการนึกในใจก็ได้ 5. หากนักเรียนไม่เข้าใจ หรือ มีปัญหาในการปฏิบัติให้นักเรียนแจ้งให้ครูผู้สอนทราบเพื่อแก้ปัญหาต่อไปทาง web:[email protected] หรือ เบอร์โทร.081-5327538 หรือ พบครูผู้สอนในวันทำการเรียนการสอนปกติ อานิสงส์ของการฝึกอานาปาณสติซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย อานาปาณสตินี้แลที่บุคคลเจริญแล้ว (อบรมแล้ว) ทำให้มากแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ 5 ประการ คือ 1. สนฺโต หรือ การสงบระงับสนิท 2. ปณีโต หรือความประณีตละเอียด 3. อเสจนโก หรือ ไม่ต้องรดน้ำก็เย็น 4. สุโข วิหาโร มีความสุขสำราญเป็นเครื่องอยู่ 5. อุปฺปนฺนุปฺปนฺเน ปาปเก อกุสเล ธมฺเม ฐานโสอนฺตรธาเปติ วูปสเมติ นั่นคือย่อมทำให้อกุศลบาปธรรมที่เกิดขึ้น อันตรธานสงบราบคาบไปได้ สรุป ผู้ที่หวังความสงบสุขแก่ตนในปัจจุบันและในภายภาคหน้า พึงพัฒนาจิต บริหารจิตของตนด้วยการบำเพ็ญอานาปาณสติสมาธิ เพื่อความสุขสำราญเป็นเครื่องอยู่ ประโยชน์ของการบริหารจิต 1. ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตใจสบายหายเครียด มีความว่องไว กระฉับกระเฉง มีประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมความจำและสมรรถนะทางสมอง 2. ประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพ ทำให้บุคลิกเข้มแข็ง หนักแน่น มีความสงบเยือกเย็น มีความมั่นคงทางอารมณ์ สดชื่นผ่องใส มีเสน่ห์ดึงดูดใจ น่าคบหา 3. ประโยชน์อันเป็นจุดมุ่งหมายของศาสนา พร้อมจะนำไปสู่ปัญญาเห็นแจ้งความจริงสูงสุด (นิพพาน) การบริหารจิตและการเจริญปัญญา พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องการฝึกจิตเป็นสำคัญ เพราะมนุษย์มีจิตเป็นตัวนำการ กระทำทุกอย่าง จะต้องมีการพิจารณา คิดนึกตรึกตรองเสียก่อน การฝึกจิตหรือการบริหารจิต จึงเป็นการกระทำเพื่อให้จิตมีสภาพตั้งมั่น มีสติระลึกได้ มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ผลของการบริหารจิต สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติ วิธีการบริหารจิต การเจริญปัญญา |