ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์โศกเศร้าที่เผชิญอยู่เป็นความจริง เกิดขึ้นจริง ๆ และไม่ควรปิดกั้นการแสดงออกถึงความรู้สึกเศร้าโศก ทว่าก็ควรแสดงออกอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งควรพูดคุยกับคนรอบข้าง เพื่อสร้างกำลังใจและแรงจูงใจซึ่งกันและกัน ประคับประคองความรู้สึกให้ผ่านพ้นความเศร้าไปให้ได้ Show 2. อยู่อย่างมีสติจงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความมีสติ หมั่นสังเกตปฏิกิริยาทางจิตใจและพฤติกรรมของตัวเองและคนรอบข้างให้ดี หากมีอาการคิดวนเวียน วิตกกังวล ไม่อยากพบเจอใคร หมกมุ่นกับความคิดของตัวเอง นอนไม่หลับ ฝันร้าย หรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น เริ่มพูดพึมพำกับตัวเอง เห็นภาพหลอน หูแว่ว หรือมีความคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรรีบมาพบจิตแพทย์ 3. ระบายความรู้สึกออกมาบ้างการได้ระบายความเศร้าโศกเสียใจหรือความรู้สึกหม่น ๆ ในใจให้กับคนรอบข้างและคนใกล้ชิดบ้างจะช่วยให้ความรู้สึกเศร้าผ่อนคลายลงบ้างไม่มากก็น้อย นอกจากนี้การได้ปรับทุกข์ซึ่งกันและกันยังจะช่วยให้ต่างฝ่ายต่างเยียวยาจิตใจซึ่งกันและกันด้วยความเข้าอกเข้าใจอีกด้วย 4. พาตัวเองออกจากสิ่งที่ทำให้รู้สึกเศร้าถ้าความรู้สึกซึมเศร้าถาโถมจนเกินจะรับได้ไหวอีกต่อไป ควรกันตัวเองออกจากปัจจัยที่ทำให้เศร้า เช่น พยายามไม่รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ ไม่ดูรูปภาพหรือคลิปวิดีโอที่ดูกี่ครั้งก็ร้องไห้ และควรพักใจอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเองสักพัก 5. พยายามคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ที่มีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียหากรู้สึกคิดถึงคนที่เราเพิ่งสูญเสียไป ให้เปลี่ยนความคิดถึงไปในทิศทางบวก เช่น คิดถึงช่วงเวลาที่ดี ๆ คิดถึงภาพความสุขและรอยยิ้มของคนที่จากไป ให้เป็นความทรงจำที่ดี ๆ และพยายามดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างปกติ 6. หมั่นฝึกสมาธิในกรณีที่รู้สึกแย่ในขั้นที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ให้หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกจิตใจให้สงบ และเรียกคืนสติให้กับตัวเอง 7. ปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนที่มีอาการเสียใจหนักมากจนเป็นลมล้มพับ หรือรู้สึกเหมือนจะล้ม ให้หายใจลึก ๆ ช้า ๆ พยายามอย่าตื่นตระหนก พาตัวเองออกมาอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ดื่มน้ำเย็น และหาผ้าเย็นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว พร้อมทั้งดมยาดมด้วย ซึ่งการปฐมพยาบาลดังกล่าวนี้สามารถนำไปใช้ดูแลผู้อื่นที่มีอาการเศร้าโศกเสียใจจนคุมสติและร่างกายไม่อยู่ได้ด้วย
การพัฒนาสุขภาพส่วนบุคคลหรือของตนเองจะเป็นการพัฒนาเฉพาะด้าน เฉพาะบุคคล ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามวัย โดยเฉพาะการพัฒนาและดูแลอาใจใส่เลี้ยงดูจากพ่อแม่ จะเป็นรากฐานที่ดีต่อชีวิตต่อไป เช่น การได้รับภูมิคุ้มกันโรคอย่างครบถ้วนเป็นระยะ การสร้างเสริมความแข็งแรงของร่างกายโดยได้รับการกระตุ้น การรับวัคซีนป้องกันโรคหรือวัคซีนที่จำเป็นเฉพาะโรค เช่น วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน เมื่อได้รับการพัฒนาสุขภาพด้านร่างายมาอย่างดี พร้อมกับได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ ได้รับความรักความอบอุ่นทางจิตใจอย่างเพียงพอ จะทำให้บุคคลนั้นสุขภาพจิตดีไปด้วย https://sites.google.com/site/healthgrade6/hnwy-kar-reiyn-ru-thi-1/hnwy-kar-reiyn-ru-thi-5 วิธีการวางแผนพัฒนาสุขภาพของตนเองและครอบครัว 1. การวางแผนพัฒนาสุขภาพ 1.1 ออกกำลังสม่ำเสมอ อย่างน้อย 2-3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ แต่ละครั้งควรใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที ควรยึดหลัก หนัก นาน บ่อย 1.2 รับประทานอาหารต้องครบ 5 หมู่ 1.3 พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่น้อยกว่า 6-7 ชั่วโมง 1.4 ตรวจสุขภาพอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง 1.5 หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อร่างกาย (ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา) 1.6 อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีปราศจากมลพิษต่างๆ 2. การวางแผนดูแลสุขภาพจิต 2.1 อ่านหนังสือที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย 2.2 ปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา 2.3 หมั่นนั่งสมาธิ เพื่อให้จิตใจผ่องใส 3. การวางแผนพัฒนาสุขภาพด้านสังคม 3.1 เข้าร่วมกิจกรรมตามวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่นอยู่เสมอ 3.2 เข้าร่วมเป็นสมาชิกของชมรมหรือสมาคมต่างๆ 4. การวางแผนพาสุขภาพด้านปัญญา 4.1 ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาจากข่าวหรือสถานการณ์สำคัญของสังคมรวมทั้งผลกระทบที่ตามมาเพื่อฝึกการคิดและนำไปปรับไข้ในการแก้ปัญหาชีวิตของตนเองหรือของครอบครัว 4.2 หมั่นฝึกฝนทักษะการอ่าน การฟัง การพูด อยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศอ่านหนังสือแปลฟังเพลงสากล ฝึกพูดภาษาต่างประเทศที่ตนสนใจ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ เสริมปัญญาให้กับตนเอง และเป็นประยชน์ในการประกบอาชีพในอนาคต 4.3 ศึกษาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อให้มีความรู้ สามรถใช้เครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ กระบวนการพัฒนาสุขภาพของตนเองและครอบครัว เป็นกระบวนการที่ต้องครอบคลุมทั้งการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกัน การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนการฟื้นฟูสุขภาพซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ |