เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา pantip

UPDATE: ผลศึกษาเผย อุบัติเหตุทางถนนทำคนไทยอายุสั้นลง ใน 5 ปีทำสูญเสียทางเศรษฐกิจ 12 ล้านล้านบาท
.
วานนี้ (13 ธันวาคม) ที่เวที BIG Talk 2022 ในหัวข้อ ‘How to ช่วยชีวิตคนไทย จากอุบัติเหตุทางถนน’ โครงการแผนงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้านความปลอดภัยทางถนน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (International Health Policy Program: IHPP), สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยงานด้านความปลอดภัยทางถนน ซึ่งผลสรุปชี้ชัดว่าการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์จากอุบัติเหตุเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่บั่นทอนศักยภาพการพัฒนาประเทศไทย
.
นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุและวิกฤตบำบัดของ WHO กล่าวว่า ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะไม่เพียงส่งผลให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ยังมีผลกระทบต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียของกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงานที่เป็นอนาคตของประเทศชาติ โดยในปี 2656 ตั้งแต่เดือนเมษายน-ตุลาคม พบว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตบนถนนมากกว่าปี 2564 ทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 10% จึงคาดว่ายอดรวมผู้เสียชีวิตปีนี้จะมากถึง 18,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 16,000 รายในปีที่ผ่านมา
.
“ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเป็นช่วงไฮซีซันการท่องเที่ยว มีงานบุญและปีใหม่ ซึ่งจะมีการเดินทางมากขึ้น น่าเป็นห่วงว่าอุบัติเหตุในช่วงนี้จะมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ที่น่าสังเกตคือไทยเราเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ติด 10 อันดับแรกของโลกที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด นอกนั้นอยู่ในแถบแอฟริกาเกือบทั้งหมด กลุ่มนี้เป็นประเทศที่รายได้ต่ำ ระบบสาธารณูปโภคไม่ดี การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มข้น ซึ่งในไทยเราเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ทำไมคนไทยเรายังตายกันมาก” นพ.วิทยากล่าว
.
ด้าน ภญ.ฐิติพร สุแก้ว นักวิจัยของ IHPP กล่าวว่า จากแผนงานพัฒนาดัชนีภาระโรคแห่งประเทศไทย IHPP รายงานข้อค้นพบเชิงวิชาการเพื่อลดการเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วและได้ผล ระบุว่า หากประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงไปได้ 50% ให้เหลือ 12 รายต่อแสนประชากร ภายในปี 2570 ได้สำเร็จ จะช่วยเพิ่มอายุคาดเฉลี่ย (LE) 0.9 ปีในกลุ่มประชากรชาย และ 0.2 ปีในกลุ่มประชากรหญิง และเพิ่มอายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพดี (HALE) เท่ากับ 0.8 ปีในกลุ่มประชากรชาย และ 0.2 ปีในกลุ่มประชากรหญิง ตรงกันข้าม หากปัญหาอุบัติเหตุไม่ได้รับการแก้ไข จะกระทบต่อการสูญเสียระยะเวลาที่ประชากรไทยจะมีชีวิตอยู่และอยู่อย่างมีสุขภาพดี
.
ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทยพบการสูญเสียของประชากรชายมีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่ผลกระทบที่เกิดจากประชากรหญิงมีแนวโน้มคงที่ ดังนี้
.
1. ผลกระทบต่ออายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด: ในปี 2562 ข้อมูลจากความสูญเสียในเพศชายแสดงถึงอายุคาดเฉลี่ยที่ลดลง เนื่องจากปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่ไม่ได้รับการแก้ไข โดยลดลง 1.9 ปี เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ค่าเฉลี่ยลดลง 1.5 ปี สำหรับเพศหญิงในปี 2562 ลดลง 0.5 ปี เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ค่าเฉลี่ยลดลง 0.4 ปี
.
2. ผลกระทบที่เกิดต่ออายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาวะของประชากร: ในปี 2562 ข้อมูลจากความสูญเสียในเพศชาย พบค่าเฉลี่ยการมีสุขภาพดีจากที่ควรจะเป็นลดลง 1.6 ปี เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ค่าเฉลี่ย 1.3 ปี สำหรับเพศหญิงในปี 2562 และ 2557 อัตราคงที่ที่ 0.4 ปี
.
“กล่าวได้ว่าทุกความพยายามในการลดการตายจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เพียงช่วยเพิ่มอายุขัยของประชากรไทย ขณะเดียวกันยังลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรในระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข ที่แสดงความยืนยาวของชีวิตที่คาดหวังว่าคนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพดีไม่ต่ำกว่า 75 ปี” ภญ.ฐิติพรกล่าว
.
ด้าน พญ.ศิริรัตน์ สุวรรณฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงตัวเลขคาดการณ์ความสูญเสียทางเศรษฐกิจปี 2566 กรณีเกิดผู้พิการรายใหม่จากอุบัติเหตุทางถนนว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ข้อมูล 3 ฐานคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนรวม 96,230 ราย เฉลี่ยปีละ 19,246 ราย เป็นชายมากกว่าหญิงในสัดส่วน 3.7 ต่อ 1 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-19 ปี ร้อยละ 11.37 และ 20-24 ปี ร้อยละ 11.05 ในจำนวนนี้ร้อยละ 80 เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ขณะที่ภาพรวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 12 ล้านล้านบาท
.
แบ่งตามระดับความรุนแรง ดังนี้
1. เสียชีวิต 511,515 ล้านบาท
2. บาดเจ็บรุนแรง (IPD) 158,669 ล้านบาท
3. บาดเจ็บเล็กน้อย (OPD) 144,957 ล้านบาท
4. พิการ 306,156 ล้านบาท
.
ด้าน พล.ต.ท. เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เน้นย้ำการขับขี่ตามกฎจราจรเพื่อลดอุบัติเหตุ รวมถึงแจ้งเตือนมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ภายใต้นโยบายตัดแต้มใบขับขี่ที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 อย่างเต็มรูปแบบ กล่าวว่า ที่ผ่านมาโทษเกี่ยวกับการผิดกฎหมายจราจรจะมีแต่โทษปรับและบำเพ็ญประโยชน์ ทุกคนจึงคิดว่าไม่รุนแรงและไม่เกรงกลัว เพราะแค่มีเงินจ่ายก็จบ แต่กฎหมายใหม่ภายใต้ระบบตัดคะแนน ไม่ว่ารวยหรือจนทุนคนมี 12 คะแนนต่อปีเท่ากัน คะแนนจะถูกตัดมากน้อยขึ้นแค่ไหนอยู่กับประเภทความผิดที่ผู้ขับขี่ละเมิด
.
พล.ต.ท. เอกรักษ์กล่าวต่อไปว่า มาตรการนี้จะทำให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตระหนักและหันมาเคารพกฎจราจรมากขึ้น และในที่สุดอุบัติเหตุก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะหากถูกตัดแต้มจนหมดจะถูกพักใช้ใบขับขี่ หรือห้ามขับรถเป็นเวลา 90 วัน หากทำผิดซ้ำๆ อาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตทุกประเภท
.
โดยระหว่างนั้นหากพบว่าฝ่าฝืนถูกจับได้จะมีโทษถึงขั้นจำคุก 3 เดือน และ/หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท ใครที่ต้องการขอคืนคะแนนต้องเข้าอบรมใหม่โดยกรมการขนส่งทางบก แต่กระบวนการเหล่านี้ผู้ขับขี่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองเพื่อให้ได้คะแนนคืนมา
.
ภาพ: ฐานิส สุดโต
.
#TheStandardPhoto #TheStandardNews #ฐานิสสุดโต

______________________________________

 

UPDATE: เทศกาล ‘BANGKOK For ALL #กรุงเทพฯเพื่อทุกคน’ เปิดพื้นที่ร้อง-เต้น-โชว์ สร้างสีสันตลอด 5 วันใจกลางเมือง
.
วันนี้ (14 ธันวาคม) กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายจัดเทศกาล ‘BANGKOK For ALL #กรุงเทพฯเพื่อทุกคน’ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และบริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มามีส่วนร่วมเวิร์กช็อปสร้างการเรียนรู้และเพิ่มความเข้าใจในการอยู่ร่วมกับคนพิการในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างเมืองที่น่าอยู่ให้เป็นจริง
.
เทศกาล ‘BANGKOK For ALL #กรุงเทพฯเพื่อทุกคน’ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14-18 ธันวาคมนี้ มีกิจกรรมดังนี้
.
14 ธันวาคม
บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน
เวลา 17.00-18.00 น. Random Dance Bangkok
เวลา 19.00-20.00 น. Minizize Dance Studio (Cover Dance)
.
15 ธันวาคม
บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน
เวลา 16.00-17.30 น. Natawut (ดนตรีเด็กพิเศษ)
เวลา 17.30-20.00 น. Idol Exchange
.
16 ธันวาคม
บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน
เวลา 16.00-17.30 น. Natawut (ดนตรีเด็กพิเศษ)
เวลา 17.30-20.00 น. สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย (ดนตรีเปิดหมวก)
.
17 ธันวาคม
ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เวลา 13.00-14.00 น. ninenoii (Spacebar Music Hub)
เวลา 14.00-15.00 น. Domephat / Focus Thanabode / Praechana / John Nattachot (Lomabin)
เวลา 15.00-15.40 น. วงศูนย์เยาวชนคลองเตย
เวลา 16.00-17.00 น. วงดนตรีกองการสังคีต กทม.
เวลา 17.00-18.00 น. SB BAND
เวลา 18.00-19.00 น. Eii Thanaphan / VYBES / MARIKO (BEC Tero)
เวลา 19.00-19.20 น. การแสดงกลุ่ม EDeaf
.
บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน
เวลา 17.00-19.00 น. สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย (ดนตรีเปิดหมวก)
.
18 ธันวาคม
ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เวลา 14.00-15.00 น. The Proper Clan (Spacebar Music Hub)
เวลา 17.35-18.00 น. S2S
เวลา 19.00-20.00 น. Happy Unlimited
.
#TheStandardNews


______________________________________

 

UPDATE: ศาลสหรัฐฯ ตั้ง 8 ข้อหาอาญาอดีตผู้ก่อตั้ง FTX ด้าน SEC สั่งฟ้องฐานฉ้อโกงนักลงทุน
.
สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า ศาลแขวงใต้ของรัฐนิวยอร์กในสหรัฐฯ ได้ตั้งข้อหาทางอาญารวม 8 ข้อหาต่อ แซม แบงก์แมน ฟรายด์ (Sam Bankman-Fried หรือ SBF) ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปเตอร์เคอร์เรนซี FTX หลังทางการสามารถจับกุมตัว Bankman-Fried ได้ที่บ้านของเจ้าตัวในบาฮามาสเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 ธันวาคม)
.
ทั้งนี้ ทางอัยการสูงสุดของบาฮามาสออกแถลงการณ์ระบุว่า การจับกุมตัว SBF เกิดขึ้นหลังจากทางการสหรัฐฯ แจ้งว่าได้ยื่นฟ้อง SBF ในคดีอาญา โดยขณะนี้หน่วยงานสหรัฐฯ และบาฮามาสกำลังตรวจสอบว่า SBF มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มละลายของ FTX หรือไม่
.
ด้าน เดเมียน วิลเลียมส์ อัยการประจำศาลแขวงใต้ของรัฐนิวยอร์กในสหรัฐฯ กล่าวว่า การจับกุมตัว SBF เป็นไปตามคำร้องขอของรัฐบาลสหรัฐฯ
.
รายงานระบุว่า ทางอัยการในเขตทางตอนใต้ของนิวยอร์กได้เปิดคำฟ้องเมื่อวันอังคาร โดยตั้งข้อหา SBF ด้วยการฉ้อโกง และข้อหาสมรู้ร่วมคิดหลายกระทง รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดในการฉ้อโกงนักลงทุน ผู้ให้กู้ และสหรัฐฯ กระทำการฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์ หลักทรัพย์ และการฟอกเงิน และละเมิดกฎหมายการเงิน
.
นอกจากนี้ทางอัยการยังกล่าวหาว่า SBF สมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นในแผนการมากมาย รวมถึงการใช้เงินฝากของลูกค้าใน FTX ในทางที่ผิด ซึ่งใช้เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายของ Alameda อีกทั้ง SBF ยังถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงผู้ให้กู้แก่ Alameda โดยให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของกองทุนเฮดจ์ฟันด์
.
ขณะเดียวกันนอกจากการตั้งข้อหาจากศาลแล้ว ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ SEC ยังได้สั่งฟ้อง SBF ฐานฉ้อโกงนักลงทุนอีกด้วย
.
ทั้งนี้ เอกสารคำร้องของ SEC ที่ยื่นต่อศาลระบุว่า SBF สามารถระดมทุนได้มากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์จากบรรดานักลงทุนในคริปโต นับตั้งแต่ปี 2019 จากแพลตฟอร์ม FTX ด้วยการโฆษณาว่าเป็นช่องทางที่ปลอดภัยในการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ก่อนถ่ายโอนเงินลงทุนของลูกค้าไปยังกองทุนส่วนตัวของตัวเองอย่าง Alameda Research LLC โดยมิได้แจ้งให้ลูกค้าทราบ
.
ยิ่งไปกว่านั้น SBF ยังผสมเงินทุนต่างๆ ของลูกค้าในกองทุนดังกล่าวและนำไปลงทุนส่วนตัว รวมทั้งซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาแพง และบริจาคให้นักการเมือง โดยไม่มีการเปิดเผยต่อลูกค้าและนักลงทุนใน FTX แต่อย่างใด ดังนั้นจึงเข้าข่ายฉ้อโกง
.
แถลงการณ์ของ แกรี เจนส์เลอร์ ประธาน SEC สหรัฐฯ ระบุว่า SBF ก่อร่างสร้างบริษัทด้วยพื้นฐานของการหลอกลวง โดยการโกหกนักลงทุนว่าการลงทุนในคริปโตเป็นการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยที่ปลอดภัย
.
นอกจากนี้ ทางคณะกรรมาธิการการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดฟิวเจอร์ส (The Commodity Futures Trading Commission) ยังตั้งข้อหาอดีตซีอีโอ FTX วัย 30 ปีรายนี้อีกหนึ่งกระทงต่างหาก ควบคู่ไปกับข้อหาของทาง SEC
.
รายงานระบุว่า ท่าทีความเคลื่อนไหวทั้งหมดของทางการสหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า SBF อาจจะต้องเผชิญข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีกหลายกระทง โดย SEC เปิดเผยว่าขณะนี้มีการสอบสวนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับ ‘การละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์อื่นๆ’ และในหน่วยงานและบุคคลอื่นๆ
.
คดีความทั้งหมดของ SBF มีขึ้นหลังจากที่ทาง FTX ได้ยื่นเรื่องต่อศาลสหรัฐฯ ตามมาตรา 11 เพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่นานหลังจากที่ทาง Binance บริษัทซื้อขายคริปโตรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศยกเลิกข้อตกลงซื้อกิจการ FTX ซึ่งการล้มละลายดังกล่าวส่งผลให้ทั้ง FTX และ SBF เผชิญกับการสอบสวนจากทั้งหน่วยงานของสหรัฐฯ และบาฮามาส ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ FTX
.
อย่างไรก็ตาม มีรายงานระบุว่าทางการสหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบ FTX มานานหลายเดือนแล้วก่อนที่บริษัทจะล้มละลาย โดยการตรวจสอบมุ่งเน้นไปยังประเด็นที่ว่า FTX ดำเนินการตามข้อกฎหมาย Bank Secrecy Act ของสหรัฐฯ หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมานั้นทางการสหรัฐฯ ใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อกำหนดให้สถาบันการเงินใช้มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการระดมเงินเพื่อการก่อการร้าย และเพื่อตรวจสอบแพลตฟอร์มคริปโตที่กล่าวอ้างอย่างผิดๆ ว่าไม่ได้ให้บริการแก่ลูกค้าในสหรัฐฯ
.
วันเดียวกัน หลังจากมีรายงานการตั้งข้อหาดังกล่าว ทางจอห์น เรย์ ผู้บริหารคนใหม่ของ FTX ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า แนวทางการจัดการที่ไม่ดีและผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์นำไปสู่การล้มละลายของ FTX
.
“การล่มสลายของกลุ่ม FTX ดูเหมือนจะมีสาเหตุมาจากการกระจุกตัวของการควบคุมในมือของกลุ่มบุคคลกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่มีประสบการณ์และไม่มีความรู้ความสามารถ” เรย์กล่าว และเพิ่มเติมว่า แทบไม่มีความแตกต่างระหว่างการดำเนินงานของ FTX และ Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทการค้าคริปโตของ SBF ซึ่งยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแพลตฟอร์ม FTX
.
เรย์ยังกล่าวต่อคณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ (US House of Representatives Financial Services Committee) ว่าภายในบริษัทไม่มีการเก็บบันทึกหรือระบบการควบคุมภายในใดๆ เลย แถมยังต้องตกใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าองค์การมูลค่ามหาศาลอย่าง FTX ใช้ QuickBooks ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่มุ่งสู่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สำหรับการบัญชีและการอนุมัติใบแจ้งหนี้ผ่านข้อความ Slack
.
ขณะเดียวกันเรย์ยอมรับว่าไม่เชื่อในรายงานงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทสูญเสียเงินของลูกค้าไปถึง 8 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงไม่อาจวางใจในกระดาษที่ยืนยันเพียงแค่แผ่นเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งอาจต้องใช้เวลายาวนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เพื่อรักษาทรัพย์สินทั้งหมด และยอมรับว่ากระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลายาวนาน
.
อ้างอิง:
https://edition.cnn.com/.../sam-bankman-fried.../index.html
https://www.channelnewsasia.com/.../poor-management...
.
#TheStandardWealth
______________________________________

 

UPDATE: คาด Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบนี้ จับตาท่าที ‘เจอโรม พาวเวลล์’ หลังผลประชุมกำหนดทิศนโยบายการเงินปีหน้า
.
ความเคลื่อนไหวที่เป็นที่จับตามองในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของรอบปีนี้ยังคงเป็นการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ครั้งสุดท้ายในปี 2022 โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุม 2 วันที่จะสิ้นสุดในวันพุธที่ 14 ธันวาคมนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นข้อบ่งชี้ว่าธนาคารกลางกำลังผ่อนปรนท่าทีที่แข็งกร้าว เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้ออาจผ่อนคลายลง
.
นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ล่าสุดจะสูงกว่าคาด และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้ เพราะ Fed จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ตัวเลขดัชนี CPI ที่สูงกว่าคาดจะส่งผลกระทบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ Fed
.
ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากปรับขึ้น 0.75% เป็นจำนวน 4 ครั้งติดต่อกัน สอดคล้องกับท่าทีของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่ออกมาส่งสัญญาณว่า Fed จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
.
สิ่งที่ต้องจับตามองก็คือถ้อยแถลงของพาวเวลล์หลังการประชุมในวันที่ 14 ธันวาคม ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2023 รวมทั้งการเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่ Fed ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ Fed จนถึงปี 2025
.
ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึง 5.00% ในกลางปี 2023 หลังการเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของ Fed ในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่สามารถสกัดความร้อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่า Fed จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้า เพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อต่อไป
.
ด้าน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่กรอบ 5.00-5.25% ในเดือนพฤษภาคม 2023 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ที่ระดับ 4.75-5.00% ขณะที่ธนาคาร Standard Chartered ออกรายงานคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2.00% ในปีหน้า หากสหรัฐฯ เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนนักวิเคราะห์ของ J.P. Morgan คาดการณ์ไว้ในรายงานล่าสุดว่า Fed จะสรุปการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และนโยบายการคลังที่มีแนวโน้มถูกระงับ ดังนั้น Fed น่าจะยุติวงจรที่เข้มงวดในช่วงต้นปีใหม่ และอัตราเงินเฟ้ออาจเริ่มผ่อนคลายก่อนสิ้นปี 2023
.
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนหนึ่งเพิ่มคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินนัดแรกของ Fed ในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา
.
ในส่วนของความเป็นไปได้ในเรื่อง Soft Landing ทั้งพาวเวลล์ ประธาน Fed และเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ต่างออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มถดถอยจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเกิด Soft Landing เป็นไปได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นการที่ Fed ไม่ใช่ธนาคารกลางเพียงแห่งเดียวที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เพราะยังมีธนาคารกลางหลักอย่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และธนาคารกลางในนอร์เวย์ เม็กซิโก ไต้หวัน โคลอมเบีย และฟิลิปปินส์ ที่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ส่งผลให้ Soft Landing อาจไม่มีทางเกิดขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม เยลเลนยอมรับว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้เท่ากับการหาทางดึงให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงให้ได้
.
ทั้งนี้ เยลเลนพร้อมด้วยนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเห็นตรงกันว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังสามารถยืนหยัดต้านทานการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงของ Fed ได้ ขณะที่ตลาดงานยังคงโตอย่างแข็งแกร่ง ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ชาวอเมริกันกำลังใช้จ่าย และ GDP แข็งแกร่ง แถมธุรกิจยังไปได้ดี ดังนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่น่าจะเลวร้าย และรัฐบาลสหรัฐฯ กับ Fed จะสามารถรับมือได้
.
อ้างอิง:
https://edition.cnn.com/.../federal-reserve.../index.html
.
#TheStandardWealth
______________________________________

 

Dec 14, 2022 รวยตกแชมป์! เจ้าพ่อเทสลาตกแชมป์รวยที่สุดของโลก ราคาหุ้นร่วงต่ำสุดใน 2 ปี ฉุดรวยหายกว่า 500,000 ล้านบาท
.
การจัดอันดับมหาเศรษฐีของโลกจากดัชนีมหาเศรษฐีบลูมเบิร์ก ที่จัดทำโดยบลูมเบิร์ก ซึ่งเป็นสื่อด้านเศรษฐกิจการเงินการลงทุนชื่อดังระดับโลกในสหรัฐอเมริกา พบว่า นายอีลอน มัสก์ วัน 51 ปี หลุดตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก โดยมีมูลค่าความมั่งคั่งลดลงมาอยู่ที่ 163,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5.73 ล้านล้านบาท จากเดิมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเคยมีมูลค่าความมั่งคั่งอยู่ที่ 171,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6.07 ล้านล้านบาท
.
ดังนั้น นายเบอร์นาร์ด อาร์โนลท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอบริษัทแอลวีเอ็มเอช อายุ 73 ปี ซึ่งเคยอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก จึงได้ขึ้นอันดับ 1 มหาเศรษฐีของโลก มีมูลค่าความมั่งคั่งอยู่ที่ 170,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5.98 ล้านล้านบาท จากเดิมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเคยมีมูลค่าความมั่งคั่งอยู่ที่ 166,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5.89 ล้านล้านบาท
.
นายอีลอน มัสก์ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือน หรือเมื่อเดือนกันยายน ปี 2021 ซึ่งในขณะนั้นอยู่อันดับ 2 ของโลก สาเหตุจากราคาหุ้นของเทสลา อินคอร์ปอเรชั่น มีราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเมื่อคืนผ่านมา ราคาหุ้นเทสลา อินคอร์ปอเรชั่น ร่วงลงปิดที่หุ้นละ 160.95 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5,633 บาทต่อหุ้น ลดลง -4% ส่งผลทำสถิติราคาหุ้นเทสลา อินคอร์ปอเรชั่น ต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายน ปี 2020 เป็นต้นมา
.
นอกจากนี้ ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าวยังได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ อินคอร์ปอเรชั่น มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.54 ล้านล้านบาทนับตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ ด้วยการเทขายหุ้นส่วนตัวที่นายอีลอน มัสก์ ถืออยู่ถึง 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนเมษายน เทขายหุ้นออกมาเป็นมูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 297,500 ล้านบาท ต่อมาเทขายครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคมเป็นมูลค่า 6,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 241,500 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ครั้ง นายอีลอน มัสก์ เทขายหุ้นส่วนตัวที่ถือในเทสลา อินคอร์ปอเรชั่น ทั้งสิ้น 15,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 539,000 ล้านบาท
.
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น ฟอร์บส สื่อด้านการลงทุนชั้นนำระดับโลกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลมหาเศรษฐีแบบเรียลไทม์ซึ่งจัดโดยฟอร์บส พบว่านายอีลอน มัสก์ มีมูลค่าความมั่งคั่งร่ำรวยลดลงมาอยู่ที่ 183,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6.52 ล้านล้านบาท ทำให้นายอีลอน มัสก์ หลุดจากอันดับมหาเศรษฐีที่ 1 ของโลกมาอยู่อันดับที่ 2 ของโลก
.
ในขณะเดียวกัน นายเบอร์นาร์ด อาร์โนลท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอบริษัทแอลวีเอ็มเอช เป็นกลุ่มบริษัทสินค้าแบรนด์เนมหรูหราหลายยี่ห้ออย่างเช่น หลุยส์ วิตตอง ขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกด้วยมูลค่าความมั่งคั่ง 186,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6.61 ล้านล้านบาท โดยรวยกว่ามหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ถึง 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 92,300 ล้านบาท

#Tesla #อีลอนมัสก์ #หุ้นเทสลา #รวยที่สุดในโลก #มหาเศรษฐี #หุ้นTESLA #BTimes