วิธีแก้ปัญหา FPS ตก หรือ เฟรมเรตต่ำลง ในขณะเล่นเกมบน Windows (How to Fix Low Frame Rate on PC ?)การเล่นเกมบนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ PC นั้น มันจะมีความอภิรมย์ตรงที่ เราจะสามารถได้เสพกราฟิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผู้ผลิตสร้างขึ้นมา (หากว่าการ์ดจอเราแรงพอ) แต่มันก็มักจะมีปัญหากวนใจอยู่เรื่องหนึ่งที่ชาว PC มักต้องเผชิญ นั่นก็คือ เฟรมเรทต่ำ (Low Frame Rate) หรือ FPS ตก ซึ่งมันเป็นเรื่องชวนหัวเสียอย่างมากสำหรับเกมเมอร์ Show
บทความเกี่ยวกับ Windows อื่นๆ ในกรณีที่ FPS ตก เพราะว่าเกมที่เราเลือกเล่นมันต้องการสเปกคอมแรงกว่าที่เราใช้งานอยู่ อันนี้เราคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้า FPS ตกเพราะเรื่องซอฟต์แวร์ล่ะก็ ลองทำตามเทคนิคในบทความนี้ดู คุณน่าจะเล่นเกมได้ลื่นขึ้นนะ 1. อัปเดทไดร์เวอร์การ์ดจอ (Graphic Card Driver) ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดไดร์เวอร์เป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยให้ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ รู้จักกัน และทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ธรรมดาแล้ว ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการอัปเดทเวอร์ชันของไดร์เวอร์มากนัก แต่สำหรับการ์ดจอแล้ว ไดร์เวอร์เวอร์ชันใหม่มักจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น รวมถึงปรับรูปแบบการทำงานของมันให้เข้ากับเกมใหม่ๆ อีกด้วย หากไม่รู้ว่าไดร์เวอร์ในเครื่องเป็นเวอร์ชันอะไรอยู่ ลองเข้าไปตรวจสอบ และดาวน์โหลดไดร์เวอร์ชันใหม่มาติดตั้งเลยก็ได้จาก สำหรับผู้ใช้การ์ดจอของค่าย NVIDIAแนะนำให้ดาวน์โหลดโปรแกรม GEFORCE® EXPERIENCE มาติดตั้งนะครับ มันเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการปรับแต่งการทำงานของการ์ดจอให้เหมาะสมกับเกมต่าง ๆ ได้อัตโนมัติ และมันก็มาพร้อมกับเครื่องมือช่วยอัปเดตไดร์เวอร์การ์ดจอของเราให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอด้วย
โดยในโปรแกรม GEFORCE® EXPERIENCE ให้เราไปที่ "แท็บ DRIVERS" แล้วคลิกที่ "ปุ่ม CHECK FOR UPDATES" มันจะทำการตรวจสอบและหากพบว่ามีไดร์เวอร์เวอร์ชันใหม่ มันจะดาวน์โหลดเพื่อติดตั้งให้โดยอัตโนมัติครับ สำหรับผู้ใช้การ์ดจอของค่าย AMDค่ายนี้ก็ไม่ต่างจากค่ายเขียวนะครับ มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการกับไดร์เวอร์การ์ดจอให้เหมือนกัน มันชื่อว่า AMD Radeon™ Software
โดยในโปรแกรม AMD Radeon™ Software ให้เราไปที่ "แท็บ System" แล้วคลิกที่ "ปุ่ม Check for updates" มันจะทำการตรวจสอบและหากพบว่ามีไดร์เวอร์เวอร์ชันใหม่ มันจะดาวน์โหลดเพื่อติดตั้งให้โดยอัตโนมัติครับ ภาพจาก https://community.amd.com/t5/blogs/introducing-the-new-radeon-software-adrenalin-edition-21-4-1/ba-p/464448 2. ปิดโปรแกรมเบื้องหลัง (Background App) ที่ไม่ใช้งานให้หมดเวลาเล่นเกมนั้น CPU และ GPU จะทำงานหนักมาก หากเครื่องเราแรงอยู่แล้วล่ะก็ เรื่องพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลย แต่หากคอมพิวเตอร์ของเราไม่ได้แรงมาก การปิดพวกโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง จะช่วยให้ CPU มีทรัพยากรเหลือมาประมวลผลการทำงานของเกมมากขึ้น ก็จะทำให้เราได้ FPS สูงขึ้นนะ คอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊กบางรุ่น ผู้ผลิตอาจจะใส่ "Game mode" มาให้ในตัว หลักการทำงานของมันก็เหมือนกับที่บอกไปในย่อหน้าก่อนหน้านี้ คือ ปิดการประมวลผลที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เครื่องเหลือทรัพยากรมากขึ้นนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ ปิดเองก็ได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ วิธีปิดโปรแกรมเบื้องหลังที่ไม่ใช้งาน
3. จัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ (HDD) บ้างเกมเมอร์ส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้ Solid-state Drive (SSD) กัน เพราะการลงเกมไว้ในไดร์ฟแบบ SSD ช่วยให้เกมโหลดได้ไวขึ้น และหากเล่นเกมที่มีฉากขนาดใหญ่ ก็ลดปัญหาภาพเป็นดินน้ำมันด้วยส่วนหนึ่ง แต่หากคุณลงเกมไว้บน Hard Disk Drive (HDD) ล่ะก็ การจัดเรียงข้อมูล (Defragment) บนฮาร์ดดิสก์จะช่วยให้ระบบเข้าถึงไฟล์ได้เร็วขึ้น นั่นรวมถึงการโหลดเกมที่ลื่นขึ้นด้วย วิธีทำการจัดเรียงข้อมูลบน Hard Disk Drive (HDD)
4. ปรับแผนการใช้พลังงาน (Power Plan)ปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับผู้ที่เล่นเกมบน โน้ตบุ๊ก มีหลายคนที่ถามเข้ามาว่า ซื้อโน้ตบุ๊กมาสเปกก็แรงแรง แต่ทำไมรู้สึกเครื่องมันอืด ๆ ขนาดเสียบสายชาร์จเอาไว้แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะว่าตัวระบบปฏิบัติการ Windows ได้เปิดโหมดประหยัดพลังงานเอาไว้ ให้เราปรับแผนการใช้พลังงาน Power Options เป็นแบบ Balance หรือ High performance ปัญหาก็จะหายไป วิธีตั้งค่าแผนการใช้พลังงาน Power Plan ใน Windows 10
5. ปิดการแสดงผลแบบเน้นสวยงาม ของระบบปฏิบัติการ Windowsโดยปกติแล้ว Windows จะเปิดใช้งานพวกลูกเล่นด้านการแสดงผลให้มีความสวยงามเอาไว้ ซึ่งอันที่จริงมันก็ใช้ทรัพยากรในการทำงานไม่เยอะหรอก แต่หากว่าคอมพิวเตอร์ของคุณมีสเปกค่อนข้างต่ำ ไม่อยากให้ทรัพยากรที่มีในระบบน้อยอู่แล้ว ต้องสิ้นเปลืองไปกับความสวยงาม ต้องการรีดประสิทธิภาพทุกอย่างของเครื่องเพื่อการเล่นเกมแล้วล่ะก็ การปิดลูกเล่นที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ก็ช่วยได้อยู่นะ วิธีปิดการแสดงผลแบบเน้นสวยงามของระบบปฏิบัติการ Windows
6. ปิด Game Bar และ Background Recordingแถบเกม (Game Bar) เป็นคุณสมบัติที่มาพร้อมกับ ระบบปฏิบัติการ Windows 10 โดยมันจะช่วยให้เราบันทึกวิดีโอหน้าจอ, ภาพนิ่ง หรือสตรีมเกมที่เรากำลังเล่นอยู่ได้ แม้จะเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ แต่หลายคนพบว่ามันมีส่วนทำให้ค่า FPS ภายในเกมลดลงเช่นกัน และอีกอย่างมันทับซ้อนกับฟีเจอร์ ShadowPlay ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ NVIDIA หรือ ReLive ของ AMD อยู่แล้ว ดังนั้นหลายคนจึงเลิอกที่จะปิดการทำงานของคุณสมบัติดังกล่าว วิธีปิด Game Bar และ Background Recording
7. ตั้งค่าคุณภาพการแสดงผลของเกมให้ต่ำลงเกม PC เกือบทุกเกมมีตัวเลือกให้เราปรับคุณภาพของการแสดงผลได้ ถ้าหากว่าปรับความละเอียดสูงสุด (เช่น Ultra) มันทำให้ภาพคุณกระตุก ก็ลองลดระดับความสวยงามมาเป็น ระดับสูง (High), ระดับปานกลาง (Medium) หรือ ระดับต่ำ (Low) หากมีตัวเลือกระบบการลบรอยหยัก (Anti-Aliasing) ให้ปิด ก็ลองปิดดู เพราะฟีเจอร์นี้ใช้ทรัพยากรเยอะพอสมควรเลย สุดท้ายหากปรับคุณภาพแล้วยังกระตุกอยู่ดี เราก็มีท่าไม้ตายอย่างการลดความละเอียดในการแสดงผล ลองเปลี่ยนจาก 1920 x 1080 พิกเซล เป็น 1080 x 720 พิกเซล ดู เราจะได้ FPS เพิ่มมาเยอะขึ้น อย่างแน่นอน 8. เล่นเกมในโหมดเต็มหน้าจอ (Fullscreen Mode)เกม PC เกือบทั้งหมดจะมีตัวเลือกให้เราตัดสินใจว่าจะเล่นเกมแบบเต็มหน้าจอ (Fullscreen), หน้าต่าง (Windowed) หรือหน้าต่างไร้ขอบ (Borderless Windowed) ซึ่งการเล่นเกมแบบ Fullscreen จะลื่นที่สุด เหตุผลก็คือ เมื่อโปรแกรม หรือเกมทำงานในโหมด Full screen คอมพิวเตอร์จะควบคุมการแสดงผลเพียงหน้าต่างเดียวเป็นหลัก ในขณะที่โหมด Windowed มันจะต้องแสดงผลของทุกหน้าต่างพร้อมกัน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพได้ 9. ซ่อมแซมไฟล์ หรือ ลงเกมใหม่บางทีสาเหตุของการกระตุก หรือ FPS ตก ก็มาจากการติดตั้งเกมที่ไม่สมบูรณ์ หรือเกิดปัญหาระหว่างที่เกมได้รับการอัปเดท เกมส่วนใหญ่เมื่อเราทำการติดตั้งซ้ำ จะมีตัวเลือกซ่อมแซมไฟล์ (Repair) ให้เลือก หรือหากเป็น STEAM ให้เรา "คลิกขวา" ที่ชื่อเกม แล้วเลือก "เมนูProperties" → "LOCAL FILES" → "VERIFY INTEGRITY OF GAME FILES..." ครับ 10. ปิดการปรับแต่งการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอในระบบปฏิบัติการ Windows 10 จะมีคุณสมบัติที่ชื่อว่า "Fullscreen Optimizations" ที่ทำให้เกมบางเกมมีปัญหา เล่นแล้ว FPS ตกเป็นช่วง ๆ ได้ โดยให้ลองตามวิธีด้านล่างนี้ วิธีปิดการปรับแต่งการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ
11. รีดประสิทธิภาพเครื่องด้วยการทำ Overclockการโอเวอร์คล็อก (Overclock) เพื่อปรับความเร็วในการทำงานของ หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ให้สูงขึ้น ก็ช่วยรีด FPS ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การทำ Overclock จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลค่อนข้างเยอะ เพราะจะต้องตรวจสอบ แผงวงจรหลัก หรือ เมนบอร์ด (Mainboard), ไบออส (BIOS) รวมไปถึง ระบบระบายความร้อน (Cooling System) ของเครื่องให้ดีเสียก่อน หากทำแบบมั่ว ๆ มีสิทธิ์ร้อนจนเครื่องพังได้ ทั้งนี้ การ์ดจอรุ่นใหม่บางตัวจะมีให้เรา OC ง่ายๆ ได้ในระดับหนึ่งผ่านโปรแกรม ซึ่งเป็นการเร่งความเร็วเพิ่มในขอบเขตที่ผู้ผลิตคำนวณไว้แล้วว่า ปลอดภัย หากการ์ดจอของคุณรองรับการ OC ก็ลองเข้าไปปรับดูได้นะ สุดท้ายแล้ว หากทำตามขั้นตอนทั้งหมดแล้ว ยังไม่ดีขึ้น FPS ยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เกมที่คุณอยากเล่น อาจจะต้องการทรัพยากรขั้นต่ำที่สูงเกินกว่าระบบคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้งานอยู่ ซึ่งทางออกของปัญหานี้มีแค่ทางเดียว คือ คุณต้องใช้เงินแก้ปัญหาแทนแล้วล่ะ ที่มา : www.makeuseof.com , www.gameinformer.com , www.trzcacak.rs |