Show
สังคมผู้สูงอายุการเตรียมความพร้อมและรับมือกับสังคมผู้สูงอายุของไทยประเทศไทยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางประชากรอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านโครงสร้างอายุของประชากร ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประชากรที่อยู่ในวัยพึ่งพิง (ต้องการการดูแลจากรัฐและครอบครัว) ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นท้าทายสำคัญ ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีอายุขัยที่ยืนยาวกับสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวหน้า #01การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมีการคาดการณ์ว่าในปี 2583 ประเทศไทยจะมีอัตราส่วนผู้สูงอายุถึง 32.1 %ในปี 2561 ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 66.4 ล้านคน โดยมีประชากรวัยทำงาน (15-59 ปี) ร้อยละ 64.7 ประชากรวัยเด็ก (แรกเกิด- 14 ปี) ร้อยละ 16.8 ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 16.0 (ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ) มีการคาดการณ์ว่าในปี 2583 ประเทศไทยจะมีประชากรลดลง เหลือร้อยละ 63.9 แต่มีโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงอย่างมากคือ มีประชากรวัยทำงาน (15-59 ปี) ร้อยละ 55.1 ประชากรวัยเด็ก (แรกเกิด- 14 ปี) ร้อยละ 12.8 และมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) สูงถึงร้อยละ 32.1 ทั้งนี้เนื่องจากการมีอัตราการเกิดที่น้อยลง และการพัฒนาทางการแพทย์ที่ทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อประเทศไทยค่อนข้างมาก เพราะเรามีกลุ่มประชากรวัยทำงานน้อยลง ส่งผลโดยตรงต่อกำลังการผลิตและเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะจะขาดแคลนกำลังคนทั้งในเรื่องของคุณภาพและปริมาณ ทำให้กลุ่มวัยทำงานมีรายได้และค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกัน ทำให้ขาดดุลรายได้การบริโภค ขาดเงินออม และไม่สามารถเกื้อหนุนกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุได้ #02
ความท้าทายในการรับมือสังคมสูงวัยผู้สูงอายุถือเป็น "วัยพึ่งพิง"โดยเฉพาะในส่วนงบประมาณการรักษาและฟื้นฟูร่างกายจากอาการเจ็บป่วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนอกจากชุมชนและครอบครัวต้องปรับตัวแล้ว นโยบายที่มีคุณภาพของภาครัฐก็เป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารจัดการให้ประเทศเข้าสู่โอกาสใหม่ของเศรษฐกิจอายุวัฒน์ และได้รับประโยชน์จากการเป็นสังคมสูงวัยที่มีสุขภาพที่ดีื ทั้งกายและใจ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปส่งผลให้ความจำเป็นที่ต้องบริโภคสินค้าและบริการด้านสุขภาพมีสูงขึ้น ถึงแม้จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการบริโภค จนไม่สามารถเกื้อหนุนผู้สูงวัยได้ ผู้สูงวัยจึงต้องถ่ายโอนสินทรัพย์มาใช้เพื่อดำรงชีวิต เพื่อแก้ปัญหานี้ “การออมเงินก่อนเข้าวัยเกษียณอายุ ” จึงมีความสำคัญและเป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องช่วยส่งเสริมให้ประชากรไทยเริ่มดูแลสุขภาพกายและสุขภาพทางการเงินตั้งแต่อายุ 30 ปี การปรับตัวของภาคธุรกิจตลาดผู้สูงวัยถือเป็นตลาดที่ท้าทาย เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีความพร้อมในการใช้จ่าย แต่ผู้ทำธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจนิสัยและความต้องการที่หลากหลายและพร้อมจะปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาของคนกลุ่มนี้ให้ได้ โดยภาคธุรกิจไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าเรื่องสุขภาพ เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจการย่างก้าวทางธุรกิจให้สอดคล้องกับช่วงวัยของผู้บริโภค ผู้ประกอบการจึงควรสร้างระบบวัฒนธรรมการทำงานที่สามารถดูแลคนแต่ละช่วงวัยที่มีความแตกต่างด้านความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม และค่านิยม การปรับตัวของชุมชนความเป็นอยู่ที่ดีเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมทั้งทางกายภาพและทางสังคม การสร้างพื้นที่ให้เหมาะสำหรับคนทุกวัยจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ชุมชนต้องร่วมมือกัน ทั้งการมีพื้นที่สันทนาการและออกกำลังกาย มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวย สะดวก ปลอดภัย เพราะพื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่ที่จะสร้างโอกาสใหม่ให้เกิดขึ้นในชุมชน ชุมชนจะได้ประโยชน์จากผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่ในชุมชน ในขณะที่ประชากรวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวจะได้รับประโยชน์จากการอยู่ร่วมกันระหว่างประชากรต่างวัย ทั้งเรื่องการเรียนรู้และการทำงานร่วมกัน
#03รูปแบบการอยู่อาศัย |