รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ nc

หลังจากปิดประตูและเดินกลับเข้ามาในบ้าน บทสนทนากับลู่หลิงซีที่หน้าบ้านถังฟั่นเมื่อครู่ยังคงคั่งค้างอยู่ในความคิดของสุยโจว ท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อถังฟั่นนั้นไม่ได้เป็นเพียงความชื่นชมเลื่อมใสธรรมดายิ่งทำให้ความขุ่นเคืองตกตะกอนภายในใจจนใบหน้าของเขาเคร่งขรึมลง แผ่รังสีไอเย็นออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

“เป็นอะไรไปหรือ ?”

 

ถังฟั่นที่หยิบน้ำชาเดินมาจากครัวเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายจะไม่สบอารมณ์ ถ้วยชาสองถ้วยที่ปรากฏแก่สายตาทำให้สุยโจวผ่อนคลายอารมณ์ลง นัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มอ่อนจาง เขาตอบปฏิเสธคำหนึ่งก่อนจะยื่นมือออกไปรับกาน้ำชาในมือมารินให้เองด้วยความเคยชิน

 

ในเมื่อมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างหาได้ยากจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งภายในสภาขุนนางและหน่วยองครักษ์เสื้อแพร สุยโจวย่อมเลือกที่จะไม่ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นให้กวนใจ

 

บรรยากาศเงียบสงบและอบอุ่นใจอบอวลอยู่รอบกาย ทั้งสองนั่งสนทนากันไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องสัพเพเหระเรื่อยมาจวบจนใกล้ค่ำ และเมื่อประเด็นสนทนาวนกลับมาที่เรื่องงานในสภาขุนนาง ถังฟั่นก็เอ่ยถึงลู่หลิงซีขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ว่าไปแล้วก็ช่างบังเอิญนัก เดิมทีอี้ชิงเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ทั้งยังมีวรยุทธ์ ฝีมือก็นับว่าไม่เลว”

 

คิ้วของสุยโจวกระตุกเล็กน้อย หากยังมิได้ส่งเสียง เพียงรอฟังคำพูดถัดไปของอีกฝ่าย

 

“ข้ายังอดแปลกใจไม่ได้ที่คนใช้ชีวิตพเนจรไปทั่วเช่นนั้นจะสอบเป็นบัณฑิต ทั้งยังกลายมาเป็นผู้ช่วยของข้าในสภาขุนนางเช่นนี้”

 

สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง “ฝีมือของเขาได้รับคำชี้แนะจากมู่อินไต้ซือ นับว่าไม่เลว”

 

ถังฟั่นระบายยิ้ม “ท่านคงถูกใจฝีมืออี้ชิงกระมัง จึงได้เอ่ยปากอาสาไปส่งด้วยตนเอง”

 

 

 

เจ้านี่ก็ช่างไม่ได้เดือดร้อนหรือรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย !

 

 

 

สุยโจวมองใบหน้างามสง่าประดับรอยยิ้มของคนตรงหน้า วางถ้วยชาในมือลงก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าขอเจ้าอย่างหนึ่ง”

 

“อะไรหรือ ?”

 

“อย่าให้เจ้าเด็กนั่นมาสัมผัสตัวเจ้าอีก” ภาพที่ลู่หลิงซีวางมือบนเอวของถังฟั่นนั่นยังติดอยู่ในใจเขาไม่หาย

 

“….”

 

หน้าตาอึ้ง ๆ เหรอหรานั้นน่ารักชวนมองจนสุยโจวอดใจมิไหว โน้มใบหน้าเข้าใกล้และจูบหนัก ๆ ทีหนึ่ง ป้อนมอบสัมผัสลึกล้ำและกดท้ายทอยอีกฝ่ายไว้ไม่ให้หลบหนี … จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงยอมผละออกมา ทอดมองสีหน้าเคลิบเคลิ้มระคนงุนงงของอีกฝ่ายเพราะยังคงเบลอกับรสจูบด้วยสายตาเอ็นดู

 

“ยังไม่เข้าใจหรือ ?”

 

“….”

 

“เช่นนั้นข้าจะเตือนใจเจ้า”

 

กว่าใต้เท้าถังจะได้สติรู้ตัว ข้อมือของเขาก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไว้และกึ่งลากกึ่งจูงตรงดิ่งไปยังห้องนอนแล้ว

 

 

 

.

.

.

 

 

 

เสียงประตูห้องนอนของถังเก๋อเหล่าปิดลงพร้อมกับเสียงจุมพิตที่ดังขึ้นแทนที่ สุยโจวกดจูบลึกล้ำและรัดเอวของถังฟั่นไว้แน่น เมื่อเห็นว่าคนในอ้อนแขนเริ่มอ่อนโอนคล้อยตามแล้วจึงค่อยเคลื่อนมือไปปลดสายคาดเอวออกอย่างรวดเร็ว สุยโจวรั้งสาบเสื้อสีครามแยกออกจากกันพร้อมกับเสื้อตัวในสีบริสุทธิ์ เผยแผ่นอกขาวนวลปรากฏแก่สายตา

 

“นี่ …!”

 

กว่าถังฟั่นจะหาเสียงของตนเจอ ร่างของเขาก็ถูกกดลงไปนอนราบบนเตียง พร้อมกับสุยโจวที่ตามลงมาทาบทับแล้ว

 

สุยโจวมองคนที่ถลึงตาใส่เขา ก่อนจะโน้มลงไปกัดริมฝีปากล่างอีกฝ่ายจนได้ยินเสียงร้องโอ๊ย

 

“ลู่อี้ชิงสนใจเจ้า”

 

“อะไรน … อื้อ !”

 

สุยโจวไม่รอให้ถังฟั่นได้ทวนคำถามด้วยการก้มลงไปจูบปิดปากอีกครั้ง ละเลียดตามมุมริมฝีปาก ก่อนขบเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเผลอส่งเสียงอุทาน และใช้โอกาสนั้นสอดเรียวลิ้นหยุ่นของตนเข้าไป

 

ถังฟั่นถูกจูบร้อนแรงจนหัวหมุนตื้อ คำพูดมากมายหายไปจากสมองเมื่อรู้สึกถึงลิ้นของอีกฝ่ายที่กวาดไปทั่วโพรงปากอย่างตะกรุมตะกราม รุกไล่กวาดต้อนลิ้นของเขาที่พยายามหลบหนี กระทั่งเกี่ยวกระหวัดพัวพันอย่างเร่าร้อน ทำเขาเกือบหายใจตามไม่ทัน

 

ฝ่ามือใหญ่ของสุยโจวเคลื่อนไปตามกายขาว รั้งกางเกงของอีกฝ่ายให้พ้นไปจากเรียวขาอย่างชำนาญ ด้วยการกระทำเช่นนี้กอปรกับอาภรณ์สีขาวสะอาดที่หลุดรุ่ย เรือนกายของถังฟั่นจึงปรากฏแก่สายตาตั้งแต่แผ่นอกจวบกระทั่งถึงปลายเท้า

 

ริมฝีปากหยักจูบซับยังพวงแก้มสีระเรื่อ ซุกไซ้ตามลำคอแดงจัดรุ่มร้อนเรื่อยมาจนถึงแผงอกนวล ลากปลายลิ้นวนรอบยอดอกสีอ่อนที่เริ่มชันระริก ก่อนจะเข้าครอบครองไว้ด้วยริมฝีปากจนคนใต้ร่างกระตุกสั่นสะท้าน ใบหน้าสง่างามเริ่ดขึ้นเล็กน้อย ปากเรียวเม้มเข้าหากันพยายามกลั้นเสียงครวญของตนเอง … แต่เมื่อลิ้นอุ่นร้อนเคลื่อนลงต่ำไปจนถึงหน้าท้อง และไล้วนคล้ายจะเคลื่อนลงต่ำไปกว่านั้น ถังฟั่นก็เผลอส่งเสียงอื้ออึงออกมา พร้อม ๆ กับส่วนกลางกายที่เริ่มขืนชันด้วยแรงอารมณ์

 

นัยน์ตาของสุยโจวปรายมองรูปร่างที่เริ่มเปลี่ยนแปลงของคนใต้อาณัติเล็กน้อย ส่วนสีชมพูเข้มยั่วสายตาชวนให้เขาเคลื่อนมือไปกอบกุม ยิ่งได้ยินเสียงครางอึกอักจากอีกฝ่ายยามเขารูดรั้งหยอกเย้าแล้ว รอยยิ้มอ่อนจางก็สะท้อนอยู่ในแววตาร้อนแรงคู่นั้น

 

สุยโจวคว้าตลับไม้ในลิ้นชักข้างเตียง คว้านเนื้อขี้ผึ้งออกมาชโลมบนเรียวนิ้วของตน เขาใช้ร่างกายของตนคั่นกลางเพื่อแยกเรียวขานวลออกจากกัน ก่อนป้ายขี้ผึ้งเนื้อใสอีกปริมาณหนึ่งยังจีบเนื้อนุ่มเบื้องล่างที่สั่นระริกราวกับตอบรับสัมผัสของเขา และแทรกเรียวนิ้วของตนเข้าไปเพื่อตระเตรียม ‘การเตือนใจ’ ในครั้งนี้

 

ถังฟั่นหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วที่รุกรานเข้ามา ตัวเห่อแดงตามบรรยากาศร้อนรุ่ม ทว่าเรียวนิ้วของสุยโจวกลับรู้จักร่างกายของเขาดีเสียยิ่งกว่าตัวเขาเอง ทั้งเสียดสีและควงคว้านอยู่ภายใน ทั้งยังจงใจกดย้ำจุดอ่อนไหวที่ทำให้ความรู้สึกกระสันซ่านทะลักทลาย จนเสียงครวญครางเล็ดลอดหลุดจากริมฝีปากอย่างไม่อาจกลั้น

 

เมื่อกลั่นแกล้งจนพอเหมาะ สุยโจวจึงถอนนิ้วของตนออกมา เขาปลดอาภรณ์บนกายของตนเองอย่างลวก ๆ และแนบสัดส่วนเครียดขึงยังปากทาง ถูไถไปมาอย่างเนิบช้าจนขนอ่อนของถังฟั่นลุกชัน

 

“… แล้วเจ้าก็ไม่ระวังตัว”

 

“ท่าน …! อา …!”

 

ถังฟั่นเผลอครางออกมาเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนที่ขนาดใหญ่กว่านิ้วทั้งสามเมื่อครู่แทรกเข้ามาภายในกายของตน ทั้งปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าเหยียดเกร็ง ความเจ็บเสียดระคนวาบหวามแล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กาย สุยโจวหยุดเพียงครู่ ก่อนจะไสกายเข้าไปจนสุด

 

“… ก็เขามาหา ข้าจะไม่เชิญเข้ามาได้หรือ … ท่านพาลพาโลชัด ๆ” ถังฟั่นแก้ต่างให้ตนด้วยเสียงสั่นพร่าขณะหอบหายใจ “… อย่าแรงนัก พรุ่งนี้ข้ายังต้องเข้าวัง … อ๊า !”

 

แรงเสียดสีที่เริ่มขยับเข้าออกภายในกายบ่งบอกว่าสุยโจวไม่ได้โอนอ่อนตามคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ความเครียดขึงราวเหล็กร้อนครูดไปตามผนังนุ่ม สร้างความสุขสมให้เริ่มก่อตัวจากเบื้องลึกของจิตใจ

 

“เช่นนั้นเจ้าก็คุมแรงเอง”

 

“ฮ …”

 

ครั้นถังฟั่นเริ่มหลับตาลงเพื่อรับสัมผัส กลับคาดไม่ถึงเมื่ออีกฝ่ายกลับพลิกกายเขาขึ้นจนอยู่ในท่วงท่าที่เขากำลังนั่งคร่อมอยู่บนร่างของสุยโจว

 

 

เมื่อกระจ่างใจว่าตนอยู่ในสภาพเช่นไร ใบหน้าของถังฟั่นก็แดงซ่านเป็นสีก่ำดังลูกตำลึง

 

 

“ท่าน …!”

 

“ขยับสิ”

 

สายตาร้อนแรงที่จ้องตรงมาทำให้ถังฟั่นแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ทั้งลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องที่มือของตนวางสัมผัสอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกร้อนรุ่ม ใบหน้าของใต้เท้าถังฝาดสีเลือดจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ความกระดากอายแล่นริ้วจนร่างกายสั่นสะท้าน

 

ครั้นจะหลีกหนี ฝ่ามือหนาที่กระชับสะโพกของเขาไว้ก็มิยอมให้ทำเช่นนั้น ซ้ำร้ายยังจงใจกระแทกสะโพกสวนขึ้นมาจนถังฟั่นร้องคราง อดจะถลึงตาใส่คนใต้ร่างมิได้

 

“ขยับก่อนที่ข้าจะอดใจไม่ไหว”

 

ความรุ่มร้อนที่ฝังอยู่ในกายพลันขยายขึ้นจนขนลุกชัน ถังฟั่นหลับตาลงด้วยมิอาจทนมองสายตาคู่นั้นของสุยโจวไหว มือเรียวกดยันยังหน้าท้องแกร่ง ก่อนค่อย ๆ ขยับสะโพกของตนเองอย่างเนิบช้า

 

จังหวะในคราแรกนั้นเชื่องช้าและแอบแฝงด้วยความอับอายอย่างแจ่มชัด สะโพกขาวค่อย ๆ ยกขึ้นและลดกลับลงไป ส่งตัวตนแข็งขืนร้อนผะผ่าวเข้าออกร่างกายด้วยตนเอง ถังฟั่นไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่ในท่วงท่านี้กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าส่วนนั้นของสุยโจวยิ่งฝังลึกเข้ามามากกว่าที่เคย

 

เรียวขาขาวนวลที่เคยพยายามหุบเข้าหากันอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เริ่มแยกออกกว้างเป็นมุมที่ตนขยับได้ถนัด ความเสียวซ่านแล่นริ้วเติมเต็มจนต้องเชิดใบหน้าขึ้นส่งเสียงครวญคราง จังหวะขยับกายที่ถังฟั่นเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเองค่อย ๆ ทวีความร้อนแรงและถี่กระชั้นตามความรัญจวนและแรงอารมณ์ที่ไต่ทะยานขึ้นสูง ยิ่งยามตัวตนของสุยโจวกระทบจุดอ่อนไหวยังส่วนลึกภายในกาย ความกระสันหวามไหวก็ยิ่งพลุ่งพล่านจนต้องเปล่งเสียงครางสั่นอย่างลืมอาย บดเบียดสะโพกแนบเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

 

 

แน่นอนว่าสุยโจวจ้องมองอยู่ทุกการกระทำ

 

 

ถังฟั่นยามระทดระทวยบิดเร่าอยู่ใต้ร่างเขานั้นงดงาม ยามเส้นผมสีน้ำหมึกยาวสลวยกระจายทั่วตั่งเตียงตัดกับผิวขาวนวลปลั่งสีนั้นช่างเย้ายวนและเร้าอารมณ์ชวนให้ฮึกเหิม

 

แต่ยามที่คนขี้อายถูกคลื่นอารมณ์โถมซัดเสียจนละทิ้งหลงลืมความอับอาย สูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิงด้วยเพลิงรัญจวนจนเป็นฝ่ายขยับกายกลืนกินตัวตนของเขานั้นยวนเย้ายิ่งกว่า และเร่งเร้าอารมณ์ดิบให้พุ่งทะยานยิ่งกว่า

 

“ก่วงชวน … อา ก่วงชวน …”

 

ความอดทนทั้งหมดของสุยโจวขาดผึงตรงนั้นเอง

 

“ก่วงชว — อะ … ท่านจะทำอะไร … อ๊า …!”

 

สุยโจวไม่อาจทนฟังเสียงครวญครางที่ร้องเรียกเขาต่อไปได้ไหว ฝ่ามือที่เคยวางอยู่บนสะโพกนวลกระชับแน่น ก่อนจะกระแทกกายขึ้นไปพร้อมกับกดให้อีกฝ่ายรับสัมผัสอย่างรุนแรง ปล่อยให้ถังฟั่นเบิกตาขึ้นกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความกระสันที่แล่นปราดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“ท่าน … ท่านผิดคำพูด … ท่านบอกว่าท่านจะไม่ … อา …!”

 

“ข้าอดใจไม่ไหวจริง ๆ”

 

น้ำเสียงของสุยโจวแหบพร่า แรงกระทั้นที่ส่งขึ้นไปทำให้แขนขาของใต้เท้าถังแทบไร้เรี่ยวแรง จังหวะที่เขาเคยเป็นผู้บรรเลงด้วยตนเองในครานี้กลับถูกสุยโจวเป็นคนชักนำอย่างสมบูรณ์ ฝ่ามือหนาขยำเนื้อนิ่มอย่างอดไม่อยู่ เขาจับสะโพกขาวยกขึ้นและกดลงมารับความเครียดขึงตามจังหวะของตนอย่างร้อนแรงและรวดเร็วจนคนด้านบนทำได้เพียงรองรับความเสียวซ่านอันท่วมท้น

 

สุยโจวมองตัวตนของเขาที่แทรกผ่านเข้าออกเรือนกายของอีกฝ่ายอย่างพึงใจ ภาพตรงหน้ายิ่งเร่งเลือดหนุ่มในกายให้พลุ่งพล่านยากเกินจะควบคุม ทั้งความอ่อนนุ่มรุ่มร้อนที่โอบรัดกายของเขาเป็นจังหวะ และแผ่นอกขาวที่แอ่นโค้งยามร่างกายถูกเติมเต็มก็ยั่วสายตาเสียจนเขาต้องหยัดกายขึ้นและครอบครองยอดอกสีระเรื่อที่ตั้งชันนั้นไว้ด้วยริมฝีปาก ดูดดุนจนมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีก่ำ เพิ่มความซ่านกระสันของคนที่ถูกจู่โจมจนสติสัมปชัญญะกระจัดกระจาย

 

“ท่าน อ๊ะ ! ท่านรังแกข้า …”

 

เสียงที่เล็ดลอดออกมาปะปนกับเสียงครวญครางนั้นฟังกระท่อนกระแท่น สะโพกนิ่มนวลถูกมือของสุยโจวกระชับจนทิ้งเป็นรอยนิ้วจ้ำแดง ครั้นเริ่มรู้สึกว่าทำนบแรงอารมณ์ที่กักกั้นสั่งสมไว้กำลังจะทะลักทลาย สุยโจวก็จับอีกฝ่ายพลิกกายลงกลับไปนอนบนเตียง พาดเรียวขาข้างหนึ่งไว้กับบ่าของตน และเริ่มขยับสะโพกเข้าออกอย่างร้อนแรง

 

ความกระสันไต่ทะยานขึ้นจนถึงขีดสุด พวกเขาเพรียกหากันและกันระคนพร่ำถ้อยคำรัก ท่ามกลางเหงื่อกาฬที่ไหลรวมเป็นหนึ่ง เสียงครวญครางสอดประสาน ลมหายใจที่พันพัว และผิวเนื้อที่แนบชิดเสียดสีกัน ถังฟั่นรู้สึกสุขสมจนแทบกระอัก ความรู้สึกท่วมท้นอยู่ภายในกายเจียนเอ่อทะลักล้นจนหยดน้ำกลิ้งหล่นจากปลายหางตา เขาทำได้เพียงเกาะกอดคนเบื้องหน้าเอาไว้แนบแน่นราวกับเป็นที่พึ่งพิง หอบครางออกมาอย่างไม่อาจกลั้น ส่วนกลางกายเบื้องหน้าสั่นระริก ก่อนกระตุกสองสามครั้งและปลดปล่อยออกมา พร้อม ๆ กับความอุ่นวาบสายหนึ่งซึ่งเติมเต็มเข้ามาภายในกาย

 

สุยโจวเปล่งเสียงครางต่ำในลำคอ เขาโน้มใบหน้าลงมาพรมจุมพิตยังดวงหน้าสีระเรื่อ กดจูบยังขมับชื้นเหงื่อด้วยความรักใคร่เต็มหัวใจ ก่อนจะทรุดซบลงยังแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงด้วยอาการหอบหายใจของคนใต้ร่าง ริมฝีปากของถังฟั่นยังคงเปล่งเสียงเบา พึมพำคำตำหนิ ทว่าฟังดูตัดพ้อน่ารักเหลือเกินในความคิดของเขา

 

“ท่านทรมานข้า … ท่านกลั่นแกล้งข้า …”

 

มุมริมฝีปากของสุยโจวกดลึก

 

 

 

 

ในเช้าวันถัดมา

 

 

 

ภายหลังการ ‘เตือนใจ’ นั้น

 

มีเพียงถังฟั่นที่รู้ว่าตนเองเข้าวังไปด้วยสภาพเช่นไร

 

 

 

 

 

END.

 

 

 

 

 

 

——————————————————————————————–

#รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ Drabble :: ท่อนไม้สุยโจว

Author : PinkLuna (Twitter : @YS_Everpink)

Pairing : Sui Zhou x Tang Fan

Rate : PG-13

 

***Slightly contained Vol. 7 spoilers***

 

 

.

.

.

 

ถังฟั่นเชื่อเสมอ

 

ว่าคนเช่นเขาเกิดมาเพื่อกอบกู้ท่อนไม้อย่างสุยโจว

 

 

 

 

“วันนี้งานที่กองปราบฝ่ายเหนือยุ่งมากหรือ”

 

ถังฟั่นในชุดสีครามอย่างชาวบ้านธรรมดาเอ่ยคำแรกเป็นคำถามแทนคำทักทายเมื่อเห็นสุยโจวยืนอยู่ตรงหน้า ผู้บังคับการองครักษ์เสื้อแพรยังคงสุขุมเช่นเคย หากมีเพียงถังฟั่นเท่านั้นที่สังเกตเห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้าอิดโรยบนใบหน้านั้น

 

สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง “เรื่องจัดระเบียบ”

 

ถังฟั่นพยักหน้าเชิงรับรู้คำตอบ เขาเองก็พอได้ยินเรื่องความวุ่นวายในการจัดระเบียบภายในขององครักษ์เสื้อแพรภายหลังการกระทำอุกอาจของวั่นทงอยู่บ้าง พวกเขาทั้งสองสนทนาต่ออีกสองสามคำ ก่อนจะเข้าไปกล่าวอำลากับถังอวี๋ ถังเฉิง และอาตงด้วยกัน ถังฟั่นทำทีไม่รับรู้สายตาหยอกล้อของหญิงสาวสองคนในบ้านอย่างที่ทำเป็นประจำทุกครั้งเมื่อสุยโจวเดินทางมารับเขาที่เลิกงานก่อนและแวะมาเยี่ยมเยียนยังบ้านสกุลถังที่อยู่ห่างกันไม่ไกลนัก

 

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผู้คนรอบกายเริ่มบางลงไปถนัดตา ถังฟั่นและสุยโจวเดินเคียงข้างกัน สนทนาไปพลาง ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศแสนสงบและอบอุ่นไปพลาง

 

“โอกาสดี” ถังเก๋อเหล่าเอ่ยขึ้น “ท่านคงยังไม่ได้กินข้าว เช่นนั้นเราแวะร้านเกี๊ยวน้ำสักหน่อยดีหรือไม่ ข้าอยากกินขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมอยู่พอดี”

 

“เจ้ามิได้กินอิ่มมาแล้วหรือ”

 

ถังฟั่นไม่แม้แต่จะหยุดชะงักขณะตอบทันควัน “ข้ายังกินขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมได้อีกหลายชิ้น”

 

“….” สุยโจวมองนิ่ง “เริ่มมืดแล้ว อย่ากินมากนัก เคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอาหารค่ำไม่ควรกินมากเกินไป”

 

บทสนทนาเช่นนี้ระหว่างผู้บังคับการสุยและมหาเสนาบดีถังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจนับ

 

 

 

กู้ไปกู้มา …

ท่อนไม้กลับกลายเป็นมารดาอีกคน

 

 

 

สุดท้ายลงเอยที่ทั้งสองเดินมาถึงแผงขายเกี๊ยวน้ำทางฝั่งเหนือ เจ้าของแผงที่คุ้นหน้าคุ้นตาลูกค้าประจำอย่างถังฟั่นรีบเดินมาต้อนรับและเชิญให้นั่งพร้อมบริการน้ำชา ถังฟั่นสั่งขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมสองชิ้น และเกี๊ยวน้ำอีกชามหนึ่งให้สุยโจว หลังจากต่อรองสั่งเกี๊ยวน้ำให้ตนเองไม่สำเร็จ

 

ริมฝีปากของใต้เท้าถังกัดขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมด้วยท่าทางสุภาพเหมือนเคย ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่ชามเกี๊ยวน้ำตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ดวงตาเป็นประกายร้อนแรงวิบวับราวคาดหวังว่าเขาจะได้แบ่งจากอีกฝ่ายสักตัวหนึ่ง

 

เป็นสุยโจวที่ไม่อาจทนดูต่อไปไหว ใช้ช้อนตักเกี๊ยวชุ่มน้ำแกงตัวหนึ่งยื่นออกไปตรงหน้าถังฟั่น และแน่นอนว่าถังฟั่นที่เล็งไว้อยู่นานไม่คิดรีรอหรือกระทั่งจะปฏิเสธว่าตนกินเองได้ รีบยื่นใบหน้าไปรับเกี๊ยวน้ำเข้าปากตนเองด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

 

“ได้กินเกี๊ยวน้ำรสเลิศ ไม่เสียทีที่เกิดเป็นคนเมืองหลวง !” ท่าทางยามถังฟั่นกล่าวด้วยความปิตินั้นช่างชวนขัน จนเรียกรอยยิ้มให้สะท้อนอยู่ในดวงตาสุยโจว พร้อมความอบอุ่นสายหนึ่งซึ่งแผ่ซ่านอยู่ในใจ

 

สุยโจววางช้อนในมือลง ก่อนจะยื่นไปกุมมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ ไล้ลูบด้วยนิ้วหัวแม่มืออย่างอ่อนโยน แทบเรียกได้ว่าเป็นการลวนลามอย่างเปิดเผย ท่ามกลางผู้คนเบาบางที่ต่างกำลังแยกย้ายกลับบ้าน และไม่มีใครให้ความสนใจโต๊ะของพวกเขา

 

ถังฟั่นชะงักเล็กน้อย หากไม่ได้ดึงมือผละจากสัมผัสนั้น เพียงใช้อีกมือหนึ่งยกน้ำชาขึ้นจิบพลางเอ่ย “ช่วงนี้ท่านคงเหนื่อยพอดู”

 

“คงอีกสักระยะ แต่ใกล้เรียบร้อยดีแล้ว” สุยโจวตอบ ยังคงจ้องมองถังฟั่นไม่ละสายตา “ได้เห็นหน้าเจ้า ข้าก็หายเหนื่อย”

 

 

 

กู้ไปกู้มา

ท่อนไม้กลับกล้าเอ่ยคำหวานหน้านิ่ง

 

 

 

ลำคอของใต้เท้าถังเห่อแดงขึ้นมาเล็กน้อย หากท่าทีไม่สะทกสะท้าน เหลือบมองชามเกี๊ยวน้ำตรงหน้า

 

“วางช้อนลงเช่นนี้ ท่านคงอิ่มแล้วกระมัง” นัยน์ตาของถังฟั่นเป็นประกาย “ขอข้าอีกตัวหนึ่งได้หรือไม่”

 

“….”

 

“….”

 

“ได้”

 

ถังฟั่นกะพริบตาปริบ ๆ … ยอมรับว่าแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายอนุญาตทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งกินขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมไปสองชิ้น และเกี๊ยวน้ำไปอีกหนึ่งตัว แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถอนคำพูด จึงใช้มือหยิบช้อนตักเกี๊ยวน้ำชุ่มฉ่ำส่งเข้าปากตนเองอย่างเป็นสุข

 

“… ขออีกตัวหนึ่งเถิด ตัวสุดท้ายแล้ว” สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะออดอ้อนต่อด้วยความเคยชิน

 

“ได้”

 

ใต้เท้าถังเบิกตาเล็กน้อยคล้ายว่าไม่เชื่อหู แต่กลับชอบใจตักเกี๊ยวน้ำอีกตัวส่งเข้าปากตนเองด้วยความรวดเร็ว

 

สุยโจวมองแก้มขาวเนียนที่ขยับไปตามแรงเคี้ยว สีหน้าของถังฟั่นดูอิ่มเอมใจเกินบรรยาย แทบไม่เหลือมาดของมหาเสนาบดีแห่งต้าหมิงผู้งามสง่า

 

“ก่วงชวนเอ๋ยก่วงชวน วันนี้ท่านช่าง —”

 

ถังฟั่นมาดหมายจะชมเชย ทว่าขณะคำว่า ‘ช่าง’ ยังพ้นริมฝีปากได้ไม่เต็มคำ สุยโจวก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

 

“คืนนี้เจ้าคืนค่าเกี๊ยวให้ข้า”

 

“….”

 

 

 

คืนอย่างไร

 

แน่นอนว่าสุยโจวไม่ได้หมายถึงเรื่องเงิน

 

 

 

 

ลำคอของถังเก๋อเหล่าปลั่งสีจัด ลามไล้ขึ้นจนฝาดแก้มทั้งสองข้างเป็นสีชมพูระเรื่อ เขาวางช้อนในมือกลับลงไปในชาม ก่อนจะเปลี่ยนมายกน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้ง ด้วยท่าทางราวกับไม่รับไม่รู้คำพูดจากปากอีกฝ่าย

 

“ท่านมิต้องจ่าย มื้อนี้ข้าเลี้ยงท่านเอง”

 

“หนึ่งตัวหนึ่งครา”

 

คราวนี้ใต้เท้าถังถึงกับสำลักน้ำชา

 

 

 

แล้วเขากินเข้าไปตั้งสามตัว !

 

คายเกี๊ยวออกมาคืนท่านป๋อสุยตอนนี้ยังทันอยู่หรือไม่ ?!

 

 

 

 

กู้ไปกู้มา

ท่อนไม้ท่อนนี้กลายเป็นท่อนไม้เจ้าเล่ห์ไปแล้ว

 

 

 

ใช่

 

เขาเกิดมาเพื่อกอบกู้ท่อนไม้อย่างสุยโจว

 

 

 

แต่สิ่งที่เขากอบกู้ไม่ได้ … เห็นทีจะเป็นเอวของตนเอง !

 

 

 

 

 

END.

 

 

 

 

 

——————————————————————————————-

 

#รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ Drabble :: Untitled

Author : PinkLuna (Twitter : @YS_Everpink)

Pairing : Sui Zhou x Tang Fan

Rate : R-18 ***NSFW***

***Containing Vol. 7 spoilers***

TALK ::

พูดกันตรง ๆ เลยก็คือ … มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบค่ะ

ก ก็จะบอกว่าเป็น PWP ก็ได้ค่ — T//////////T

 

.

.

.

 

 

“ข้าไม่หนาว … ยังร้อนมาก”

 

“….”

 

“ต้องกลับไปเร็วหน่อย”

 

ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ คำพูดแฝงความนัยและท่าทีการคว้าข้อมือเขาเดินจ้ำกลับบ้านอย่างรวดเร็วของสุยโจวนั้นแม้นจะไม่ได้เอ่ยวาจาต่อกระทั่งครึ่งคำ แต่ถังฟั่นก็รู้กระจ่างอยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด

 

 

 

.

.

.

 

 

 

“ก่วงชวน เจ้าจะรีบอะไ —- อื้อ”

 

ครั้นถูกกึ่งจูงกึ่งลากมาเรื่อยจนถึงห้องนอนในบ้านของมหาเสนาบดีถัง ยังไม่ทันที่เจ้าของบ้านจะได้กล่าวอะไรจบประโยค เสียงนั้นก็พลันอื้ออึงด้วยจูบหนักหน่วงที่ทาบทับลงมายังริมฝีปาก

 

จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้เว่ยเมามาขัดจังหวะระหว่างที่พวกเขากำลังเคล้าคลอและกำลังจะทำอะไรที่มากยิ่งกว่านั้น จนเขาต้องรีบรุดเดินทางไปเข้าเฝ้าถึงวังองค์หญิงพร้อมกับอีกฝ่ายด้วยไม่อาจปล่อยเรื่องใหญ่ทิ้งไว้ให้ค้างคา ทำเอาสุยโจวไม่สบอารมณ์เป็นอย่างหนัก … แต่ก็หาใช่ต้องรีบร้อนจนปลดรั้งผ้าคาดเอวและเสื้อตัวนอกของเขาโยนกระจัดกระจายไปบนพื้นทันทีที่ประตูห้องปิดลงเช่นนี้ !

 

ฝ่ามือเย็นจากลมหนาวภายนอกเมื่อครู่ของสุยโจวลากไล้ไปทั่วแผงอกนวล แม้จะทำให้ขนอ่อนลุกชัน ทว่าถังฟั่นก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นเพราะไอเย็น หรือเป็นเพราะความรู้สึกภายในได้ถูกปลุกเร้ากลับขึ้นมาอีกครั้งกันแน่

 

ริมฝีปากหยักของสุยโจวยังคงรุกไล่ตามติดแนบชิดริมฝีปากของคนเบื้องหน้าไม่ห่าง นับตั้งแต่ผ่านเรื่องราวมากมายกระทั่งกลับมาจากต้าถง … ความสัมพันธ์ระหว่างสุยโจวกับถังฟั่นก็ยิ่งแน่นแฟ้น ใจเชื่อมใจประสานถึงกัน ต่างฝ่ายต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจถึงความรู้สึกของตน แนบอิงชิดใกล้ จวบกระทั่งกลายเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายในที่สุด

 

ร่างกายของถังฟั่นคุ้นเคยกับสัมผัสของสุยโจวเป็นอย่างดี แม้เขากับสุยโจวต่างยุ่งกับภาระงานของตนทั้งคู่จนแทบจะไม่ได้พบหน้าหรือรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน แต่เรื่องความสัมพันธ์ในยามค่ำคืนนั้นหากไม่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจนเกินไป ทั้งสองก็มิเคยว่างเว้นให้ห่างหายเนิ่นนาน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ถังฟั่นไม่ได้เข้าสภาขุนนางเช่นนี้ นับเป็นโอกาสอันดีของท่านป๋อสุยที่จะตักตวงความหอมหวานจากเรือนกายสง่างามจนพึงใจ

 

ขี้ผึ้งเนื้อดีถูกคว้านออกจากตลับไม้ สุยโจวระมัดระวังในทุกขั้นตอนตระเตรียมเพื่อให้ถังฟั่นเจ็บตัวน้อยที่สุด คอยลอบมองใบหน้าของคนใต้ร่างที่กำลังหลับตาแน่นขณะรับเรียวนิ้วของเขาเข้าไปอย่างเนิบช้า

 

“ก่วงชวน … อื้อ …”

 

ลมหายใจของสุยโจวสะดุดขาดห้วงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงครวญของถังฟั่นเอ่ยนามของเขา สุยโจวจุมพิตริมฝีปากคนตรงหน้าอีกครั้ง ดูดดุนร้อนแรงกระทั่งไล้เรื่อยไปซุกไซ้ลำคอที่เริ่มเห่อแดง บังคับตนเองไม่ให้เตลิดพลุ่งพล่านรังแกถังฟั่นหนักหน่วงจนเกินไป

 

ยามตระเตรียมจนแน่ใจว่าคนที่จิกกำผ้าปูเตียงเนื้อลื่นตรงหน้าพรั่งพร้อม สุยโจวก็ถอนเรียวนิ้วของตนออกมา และเมื่อนัยน์ตาคมทอดมองดวงตาเชื่อมปรอยและสีหน้าเคลิบเคลิ้มระคนประท้วงของใต้เท้าถัง ริมฝีปากของตนก็เผลอกระตุกขึ้นด้วยความรู้สึกรักใคร่เต็มหัวใจ

 

“ชิงเหนียง …”

 

ถังฟั่นได้ยินคำเรียกด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกเย้าของคนเบื้องบนแล้วก็อดค้อนทีหนึ่งไม่ได้ พานนึกไปถึงคราแรกที่สุยโจวแกล้งเมาและลวนลามเขาอย่างหน้าไม่อาย

 

“ท่านต้องหยุดเรียกข้าเช่นนี้ได้แล้ —- อ๊า !”

 

ความเครียดขึงที่แทรกเข้ามาแทนที่เรียวนิ้วทั้งสามเมื่อครู่แม้ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดจนทนไม่ไหว หากความรัญจวนที่เด่นชัดกว่าก็ทำให้ใต้เท้าถังเผลอครางออกมา ถลึงตามองสุยโจวคล้ายจะตำหนิแต่มิกล้าเอ่ยปาก

 

นัยน์ตาคมกริบของสุยโจวสะท้อนรอยยิ้ม

 

“มีสัมพันธ์เช่นนี้แล้ว ไยมิใช่ชิงเหนียง ?”

 

“ท่าน …! ฮ … อา …”

 

ถังฟั่นค้อนคนบนร่างที่ยังหยอกเย้าเขาให้อับอายไม่เลิกรา หากไม่นานดวงตาที่เบิกขึ้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นหลับแน่น กายเพรียวสะท้านสั่นเมื่อความอุ่นร้อนแข็งขึงขยับเข้าเสียดสีจุดอ่อนไหวภายในกายอย่างจงใจ

 

“ข้าเสน่หาเพียงเจ้า … รุ่นชิง”

 

คำหวานที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคงในยามนี้มีแต่เพิ่มความเขินอายให้กับคนหน้าบางเฉพาะเรื่องเป็นเท่าทวี แรงขยับไหวโอนเร่งเร้าเป็นจังหวะจนถังฟั่นต้องวาดแขนโอบกอดแผ่นหลังแกร่งของสุยโจวแนบแน่น

 

ไม่นานคำหยอกล้อหยอกเอินทั้งมวลก็ถูกแรงอารมณ์ที่ไต่ทะยานของคนทั้งสองกลบกลืนจนหมดสิ้น ภายในบรรยายกาศมืดสลัวของห้องนอนมหาเสนาบดีถังมีเพียงเสียงครวญครางระคนเสียงหอบหายใจ

 

แรงรัดรึงรัญจวนจากคนใต้ร่างทำให้ผู้บังคับการสุยเปล่งเสียงครางต่ำ เขาขบกรามแน่นเพื่อพยายามข่มเลือดหนุ่มในกายที่พุ่งพล่านให้สงบลง หากฝ่ามือหนากลับกระชับสะโพกนุ่ม แทรกกายเข้าไปลึกล้ำยิ่งกว่าก่อน ขยับเข้าออกรวดเร็วจนเกิดเสียงเนื้อหนั่นกระทบกันเป็นจังหวะ

 

“อื้อ … ย อย่าแรงนัก … ฮ หากพรุ่งนี้ข้าไม่มีแรงลุกจะทำอย่างไร … อา !”

 

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะลาหยุดมาเฝ้าเจ้า”

 

“….”

 

 

 

ช่างเป็นข้ออ้างอู้งานที่ไม่รู้จักละอายเสียจริง !

 

 

 

แม้จะคิดเช่นนั้น ทว่าถังฟั่นก็ไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะมากพอจะต่อปากต่อคำกับคนที่ฝังกายอยู่ในร่างของตนแล้ว

 

สองกายประสานแนบชิดไร้ช่องว่าง ความรุ่มร้อนที่คนภายในห้องถ่ายทอดป้อนมอบให้แก่กันตัดกับความเย็นของบรรยากาศ เรียวขาขาวของถังเก๋อเหล่าถูกท่านป๋อสุยจับแยกออกจากกันขึ้นพาดบ่ากว้าง แทรกกายเข้าไปลึกล้ำร้อนเร่าเสียยิ่งกว่าเก่าจนถังฟั่นทำได้เพียงเปล่งเสียงครางสั่นไม่เป็นคำ ความกระสันรัญจวนแล่นปราดไปทั่วร่าง สุขสมกระสันซ่านเจียนจะขาดใจ

 

สุยโจวพิศมองเรือนกายขาวกระจ่างใต้อาณัติอย่างหลงใหลชื่นชม ลำคอขาวผ่องราวเนื้อหยกบัดนี้กลับฝาดสีแดงก่ำลุกลามไปจนถึงดวงหน้านวล ผมยาวสีน้ำหมึกเข้มกระจายบนผืนเตียง กายเพรียวงดงามอย่างผู้ไม่เคยขาดศาสตร์หกแขนงแห่งปัญญาชนยามแต่งแต้มด้วยหยดเหงื่อระคนรอยจุมพิตสีเข้มนั้นช่างเย้ายวนสายตา ยิ่งเชิญชวนให้กกกอดเร่าร้อนรุนแรงยากจะหักใจ

 

“ก่วงชวน …! ฮ ก่วงชวน …”

 

ยิ่งได้ยินเสียงของมหาเสนาบดีถังผู้เป็นที่ปลาบปลื้มของใครต่อใครเพรียกหาเพียงเขา หัวใจของสุยโจวก็ยิ่งเต้นระหึ่มรุนแรงราวกับรัวกลองด้วยความภาคภูมิยินดี

 

สุยโจวโน้มก้มใบหน้าลงไปป้อนจูบลึกล้ำยังริมฝีปากบวมเจ่อคู่ตรงหน้าอีกครั้ง อ้อมแขนแกร่งโอบกระชับคนใต้ร่างอย่างหวงแหน