อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน

ดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้นเป็นดอกเบี้ยอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น เป็นผลจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้กู้ต้องแบกภาระมากกว่าเดิมประมาณ 10%


ทันทีที่มีการประกาศเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเป็น 1.00% และถือว่าเป็นการปรับดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 3 จาก 0.50% เป็น 0.75% และกลายเป็น 1.00% ในที่สุด แน่นอนว่าหลายคนสงสัยว่าจะเกิดผลกระทบอะไรต่อประชาชนบ้าง เพราะในด้านเศรษฐกิจถือว่าเป็นการประกาศภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นแบบเต็มตัว และเมื่อดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย เพราะ ดอกเบี้ยสินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์ย่อมปรับตัวตามด้วยเช่นกัน เหตุนี้คนที่กำลังวางแผนซื้อบ้านหนีไม่พ้นที่จะตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับมาตราการนี้ ทั้งดอกเบี้ยนโยบายว่าคืออะไร ผลกระทบจะเป็นอย่างไร และท้ายสุดต่อไปนี้คนซื้อบ้านจะเสียดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้นหรือไม่

Show

ดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร?

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับคำว่า “ดอกเบี้ยนโยบาย” หรือ Policy Rate นั้นหมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นดอกเบี้ยอ้างอิง และดอกเบี้ยนโยบายนี้ยังเปรียบเสมือนเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน ซึ่งสำหรับประเทศไทยจะมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงค์ชาติ) เป็นผู้กำกับดูแลดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ภายใต้กรอบของเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% โดยสามารถทำได้ 3 กรณีคือ

  1. เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย = สัญญาณบอกเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
  2. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย = สัญญาณบอกเศรษฐกิจอยู่ในช่วงซบเซา
  3. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย = สัญญาณบอกเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะน่าพอใจ หรือไม่จำเป็นต้องกระตุ้นด้วยการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ได้มีมติเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.00% ต่อปี และมีผลให้บังคับใช้ทันที เรียกว่าเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 3 จาก 0.25% เป็น 0.75% และ 1.00% ต่อปี เป็นผลมาจากทางคณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.3 และ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ ทั้งนี้เกิดจากแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ แม้ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูง แต่อุปทานจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มคลี่คลาย กนง. จึงเห็นควรทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มสูงขึ้น

หมดความกังวลเรื่องผ่อนบ้าน เมื่อได้คำนวณเงินกู้

เพิ่มดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.00% คนซื้อบ้านได้รับผลกระทบอะไร

จากเหตุการณ์ดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มสูงขึ้น แน่นอนมีทั้งคนที่ตื่นตระหนกและคนที่กำลังงงว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา โดยในความเป็นจริงเกี่ยวข้องกับคนไทยโดยตรง ทั้งกลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงนี้ และคนที่กำลังกู้ซื้อบ้านอยู่ในขณะนี้ เพราะเป็นช่วงที่ทุกธนาคารพาณิชย์พร้อมใจกันปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ตามกลไกของดอกเบี้ยนโยบาย แน่นอนว่าผู้ที่กู้ซื้อบ้านในช่วงนี้หรือทำการรีไฟแนนซ์ จะได้รับการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ส่วนที่ไม่ได้รับผลกระทบจะเป็นผู้กู้ซื้อบ้าน ที่ได้รับดอกเบี้ยต่ำคงที่ 3 ปีแรก ก่อนปรับเป็นลอยตัว


อัพเดทดอกเบี้ยสินเชื่อ จาก 5 ธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2565

ธนาคารMLRMRR
ธนาคารไทยพาณิชย์ 5.2500 5.9950
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 5.5800 6.0500
ธนาคารกสิกรไทย 5.7200 5.9700
ธนาคารกรุงไทย 5.2500 6.2200
ธนาคารกรุงเทพ 5.6500 6.2500

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

ทำความเข้าใจ MLR MRR และ MOR คืออะไร ได้ที่นี่


ดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับตัวตาม แม้จะได้รับผลกระทบ แต่ก็มีผู้กู้ซื้อบ้านบางกลุ่ม ที่ยังคงได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ ดังนั้นหากใครที่กำลังอยากซื้อบ้าน แนะนำให้รีบซื้อ แถมได้ข้อเสนอพิเศษ สามารถเข้าไปเลือกชมโครงการบ้านและทาวน์โฮมจากแสนสิริได้ที่นี่

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี นับเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกหลังคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม กนง. จึงตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ การปรับขึ้นตอนนี้ช้าเกินไปหรือไม่ และการขึ้นดอกเบี้ยแบบไหนถึงจะเหมาะกับบริบทไทย

ทำไม กนง. ถึงตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยตอนนี้?

ในช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดหนัก กนง. ได้ตัดสินใจลดดอกเบี้ยและคงไว้ที่ระดับต่ำเป็นเวลานานกว่า 2 ปี เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจค่อย ๆ ฟื้นตัวได้ จนเมื่อสถานการณ์การระบาดเริ่มปรับดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวชัดเจน นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลดีต่อภาคธุรกิจและตลาดแรงงาน ทำให้จำนวนผู้ว่างงานและผู้เสมือนว่างงานปรับลดลงไปที่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาด รวมถึงรายได้เฉลี่ยของแรงงานนอกภาคเกษตรก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (รูปที่ 1)

ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะช่วยสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้ขยายตัวได้ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นจึงเป็นปัจจัยข้อแรกที่ทำให้ กนง. เห็นว่าการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำอย่างในปัจจุบันมีความจำเป็นลดลง

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน หลังจากวิกฤต COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ไทยก็เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงอีก จากปัจจัยด้านอุปทานตั้งแต่ช่วงต้นปี เช่น โรคระบาดในสุกร ก่อนจะถูกซ้ำเติมจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี

สถานการณ์ที่ยืดเยื้อส่งผลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน และธุรกิจหลายรายจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะไม่สามารถอั้นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องอาจทำให้เงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะปรับสูงขึ้นกว่านี้ได้ ทั้งจากธุรกิจที่อาจปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก หรืออาจมีแรงกดดันด้านราคาเพิ่มเติมตามความต้องการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้นไปกว่านี้ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางจะดูแลเงินเฟ้อคาดการณ์ให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย

สรุปแล้วคือ เมื่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความชัดเจนขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อก็มีความเสี่ยงที่จะปรับสูงขึ้น จึงเป็น เวลาที่เหมาะสม ที่ กนง. จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 


การขึ้นดอกเบี้ยตอนนี้ ช้าเกินไป หรือไม่?

หลายคนอาจตั้งคำถามว่าไทยขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไปหรือไม่ เพราะหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ รวมถึงประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ ต่างขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งหากดูบริบทด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทยจะเห็นได้ชัดว่าการขึ้นดอกเบี้ยในเวลานี้ ไม่ช้าเกินไป


หากพิจารณามิติของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่าหลายประเทศที่ได้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ส่วนใหญ่เริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกเมื่อเศรษฐกิจเติบโตจนถึงหรือเกินระดับก่อนการระบาดของ COVID-19 แล้ว ขณะที่สำหรับไทยนั้น เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นและยังโตไม่ถึงระดับก่อนการระบาด (รูปที่ 2)

เนื่องจากไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างมากถึง 12% ของ GDP และมีแรงงานไทยกว่า 52% ที่ทำงานอยู่ในภาคบริการซึ่งฟื้นตัวช้ากว่าภาคการผลิต การขึ้นดอกเบี้ยของไทยในช่วงเวลานี้จึงไม่ได้ช้าไปเมื่อเทียบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเอง

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน

  หากพิจารณามิติด้านเงินเฟ้อ หลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงเพราะเผชิญกับเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นจากเศรษฐกิจที่ร้อนแรง เช่นที่เราเห็นในสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางต้องใช้ยาแรงเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ดังกล่าว

ขณะที่เงินเฟ้อในไทยปรับสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยยังไม่เห็นสัญญาณของการปรับขึ้นราคาจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์เหมือนในต่างประเทศ

ซึ่งตามธรรมชาติของปัจจัยด้านอุปทานนั้น ราคาสินค้า เช่น ราคาน้ำมันโลก มักจะปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวและคลี่คลายลงได้เอง อีกทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ไม่สามารถช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่เกิดจากข้อจำกัดด้านอุปทานได้โดยตรงด้วย


ดังนั้น ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่าอีกหลายประเทศและเงินเฟ้อที่ยังไม่มีแรงกดดันด้านอุปสงค์เหมือนในต่างประเทศ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับปกติ (normalization) จึงไม่ได้ถือว่าช้าเกินไปสำหรับบริบทของไทย


การขึ้นดอกเบี้ยแบบไหนเหมาะกับบริบทไทย? 
ด้วยเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว การขึ้นดอกเบี้ยเร็วหรือแรงเกินไปอาจซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่ยังมีรอยแผลลึกจากวิกฤต COVID-19 โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนอื่น เช่น ธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานในภาคบริการ

ดังนั้น ถึงแม้ว่า กนง. จะเห็นว่าถึงเวลาที่ควรขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้การฟื้นตัวไม่สะดุดและเอื้อให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนสามารถปรับตัวได้ รวมถึงยังคงมีมาตรการทางการเงินรองรับกลุ่มลูกหนี้ที่ยังต้องการความช่วยเหลือ

ซึ่งมาตรการมีหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์ให้ตรงตามปัญหาและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม รวมถึงมีความยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด (รูปที่ 3)

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน

  การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางแต่ละแห่งไม่ได้มีรูปแบบกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ควรปรับให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าของไทยควรต้องขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินในประเทศเป็นหลัก โดยยังต้องติดตามปัจจัยต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การฟื้นตัวของรายได้แรงงานและการจ้างงาน การปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนในระยะข้างหน้า รวมถึงความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทยได้

ดังนั้น ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่ยังคงสูงอยู่เช่นนี้ ผู้ดำเนินนโยบายจึงต้องปรับตัวให้เท่าทันและดำเนินนโยบายที่เหมาะสม ยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่อาจปรับเปลี่ยนได้เร็วในอนาคต.

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจุบัน

คอลัมน์ แจงสี่เบี้ย

ณัฐนิชา เทพพรพิทักษ์
เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประทศไทย (ธปท.)