iPhone SE 3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากรูปร่างหน้าตาที่ Apple ทำออกมาเหมือนเดิมเป๊ะ ๆ ทุกกระเบียดนิ้วทำให้หลายคนโฟกัสไปที่ประเด็นนี้ จนอาจมองข้ามส่วนอื่น ๆ ที่อัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อน ซึ่งดูแล้วน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิป A15 Bionic ที่ปลดล็อกฟีเจอร์ใหม่เข้ามาหลายอย่าง แต่จะเป็นอย่างไรบ้าง หากนำไปเทียบกับ Galaxy A53 5G ของ Samsung Show เทียบสเปค iPhone SE 3 และ Galaxy A53 5G
iPhone SE 3 เหล้าใหม่ในขวดเก่า ชิปตัวท็อปโคตรแรงในราคาย่อมเยาตามที่กล่าวไปข้างต้น iPhone SE 3 ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง A15 Bionic ซึ่งจนถึงตอนนี้คงไม่มีกังขาในแง่ความแรงกันอีกแล้ว และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือส่วนที่โดดเด่นที่สุดที่ทำให้มันดูน่าสนใจ จากการที่ได้ชิปเซตเดียวกับ iPhone 13 ในราคาที่ถูกกว่ากันเป็นหมื่นบาท iPhone SE 3 มีกล้องหลักความละเอียด 12MP เท่าเดิม อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Apple ไม่ได้มีแนวทางโปรโมตสินค้าโดยการเจาะลึกฮาร์ดแวร์มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่อาจทราบได้ว่า เซนเซอร์กล้องและองค์ประกอบอื่น ๆ ยังเหมือนเดิมด้วยหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นด้วยอานิสงส์จาก A15 Bionic ที่มีหน่วยประมวลผลภาพและหน่วยประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ทรงพลังมากขึ้น ทำให้รองรับฟีเจอร์ Smart HDR 4, Photographic Styles และ Deep Fusion แบบเดียวกับ iPhone 13 แถมยังรองรับ 5G และมากับ iOS 15 อีกต่างหาก iPhone SE 3 ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่อยากใช้งานสมาร์ทโฟนจาก Apple แต่ไม่ได้อยากจ่ายแพงเกินจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น
ข้อจำกัดของ iPhone SE 3 ที่ควรทราบในกรณีที่คิดจะซื้อ iPhone SE 3 มาเป็นเครื่องหลัก อาจมีเรื่องที่ต้องพิจาณาอยู่บ้าง ประการคือ หน้าจอ 4.7 นิ้ว ขนาดเท่านี้เล็กไปไหม ใช้งานจริงจะถนัดหรือเปล่า ประการถัดมาคือ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า เป็นจุดอ่อนของ iPhone SE 2 แต่ Apple ก็เคลมว่า iPhone SE 3 ใช้งานได้นานขึ้น 2 ชั่วโมงนะ ตามความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นจาก 1821mAh ใน iPhone SE 2 เป็น 2018mAh ประกอบกับระบบจัดการพลังงานที่ทันสมัยขึ้น และสิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมคือ ถึงแม้กล้องจะมีโหมดใหม่ให้ใช้งานเพียบ แต่ Night mode ที่สำคัญมาก ๆ กลับไม่รองรับเสียอย่างนั้น หากรับกับข้อจำกัดเหล่านี้ได้ ในภาพรวม iPhone SE 3 ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก อะไรที่ iPhone 13 ทำได้ iPhone SE 3 ก็ทำได้เหมือนกันแทบทุกอย่าง และในอนาคตก็คงจะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ไปจนสุดทางเท่า ๆ กันด้วย หรือถ้าจะให้เห็นภาพง่ายขึ้น ลองดู iPhone SE รุ่นดั้งเดิมที่พึ่งมีอายุครบ 6 ขวบไปหมาด ๆ ตอนนั้นออกมาพร้อม iOS 9.3.2 ตอนนี้ยังอัปเดตเป็น iOS 15.4 ได้อยู่เลย เปรียบเทียบกับ Galaxy A53 5G ที่มีราคาถูกกว่าแล้วเป็นอย่างไรบ้างข้ามฟากมาดูฝั่ง Android คู่แข่งที่ดูสมน้ำสมเนื้อกับ iPhone SE 3 ที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้น Galaxy A53 5G ของ Samsung ซึ่งวางจำหน่ายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอย่างพอเหมาะพอเจาะเสียจริง ๆ โดยทั้งคู่มีค่าตัวดังนี้ ราคา iPhone SE 3
ราคา Galaxy A53 5G
เมื่อเทียบที่สตอเรจ 128GB เท่ากัน Galaxy A53 5G จะมีราคาถูกกว่า iPhone SE 3 อยู่ 3,400 กับอีก 1 บาท ไม่นับรวมส่วนลดและโปรโมชันอื่น ๆ ดังนั้น คำถามต่อไปคือ ส่วนต่างเท่านี้มีอะไรน่าดึงดูดบ้าง
เพื่อน ๆ จะเห็นได้ว่า นอกเหนือจากเรื่องชิปเซตที่คงต้องยอมให้ iPhone SE 3 ไป กับการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ Apple สร้างมาตรฐานเอาไว้ดีมากแล้ว ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ Galaxy A53 5G นั้นเหนือกว่าทั้งหมด ซึ่งถ้าไม่ได้ยึดติดหรือปักธงในใจไปที่ระบบ iOS แล้ว…ตาชั่งของความคุ้มค่าต่อราคาดูจะเอนมาทางฝั่ง Samsung เต็ม ๆ เลย แต่ทั้งนี้ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีแง่มุมอื่นที่ผู้เขียนอาจมองข้ามไป หรือเห็นต่างออกไปจากนี้ ก็สามารถคอมเมนต์เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ |