Show
2. คนพาลแท้ คือ คนพาลหยั่งลึกด้วยความเขลาที่จัดเป็นบัวอยู่ในโคลนตม ถึงแม้จะรู้จักบัณฑิตหรือได้รับความรู้ ได้รับการอบรมเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะปรับความคิด ปรับการกระทำได้ เรียกได้ว่า เป็นคนพาลอย่างแท้จริง ในกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้น มนุษย์ผู้ต้องการความก้าวหน้าในชีวิต แสวงหาสิ่งที่เป็นมงคลกันบางคนกล่าวว่ารูปที่เห็นเป็นมงคล เช่น เห็นเด็กทารกนกแอ่นลม และของสวยงาม บางคนกล่าวว่าเสียงที่ได้ยินเป็นมงคล เช่น ตื่นตอนเช้าได้ยินคำทักทาย ฟังเสียงเพลงอันไพเราะ และได้รับการเยินยอสรรเสริญ บางคนกล่าวว่าอารมณ์ที่ได้รับเป็นมงคล เช่น ดมกลิ่นดอกไม้หอม กินอาหารอร่อย และสัมผัสสิ่งที่อ่อนนุ่มนวล ต่างฝ่ายต่างยืนยันความเห็นของตน ไม่มีใครยอมกัน จึงเกิดการถกเถียงทั้งชมพูทวีปกันว่า อะไรเป็นมงคลกันแน่ ความเห็นขัดแย้งนี้ได้แพร่ไปถึงเทวโลกและพรหมโลก เป็นเหตุให้เทวดาและพรหมได้แบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายเหมือนมนุษย์และไม่สามารถหาข้อยุติได้ ในปัจจุบันนี้คนไทยบางกลุ่มก็ยังยึดถือความเป็นมงคลในทำนองเช่นนี้อยู่ ตัวอย่างเช่นถือว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคล เลข ๖ เป็นอัปมงคล จึงเริ่มเข้ารับตำแหน่งงานใหม่เวลา ๙.๐๙ น. ส่วนประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ บอกว่าเลข ๘ เป็นมงคล เลข ๔ เป็นอัปมงคลและชาวอเมริกันบอกว่า เลข ๑๓ เป็นอัปมงคลจึงไม่มีตึกชั้นที่ ๑๓ เป็นต้น แต่ความเป็นมงคลตามหลักศาสนาพุทธนั้น จะต้องไม่มีเงื่อนไข ใช้ได้ทุกที่ทั่วโลก ไม่มีกำหนดเวลาดังนั้น ถ้าจะกำหนดว่าเลขนี้เป็นมงคล เลขนั้นเป็นอัปมงคลก็ต้องเป็นเหมือนกันทุกประเทศ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระอินทร์จึงมอบหมายให้เทพบุตรองค์หนึ่งทูลถามปัญหานี้ต่อพระองค์ว่า อะไรเป็นมงคล ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสพระปริตรอันแสดงมงคล ๓๘ ประการ มีทั้งหมด ๑๐ คาถา ในการสวดงานมงคลทั่วไป พระภิกษุสงฆ์มักจะสวดมงคลสูตร ๓๘ ประการไว้เป็นบทต้น ๆ เป็นการแนะนำผู้ฟังว่า ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหลักมงคลทั้ง ๓๘ ประการตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้น จะทำให้ชีวิตมีความสุขความเจริญ มีโชค ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหามงคลอื่นจากที่ไหน เพราะเป็นการปฏิบัติฝึกฝนตนเอง ผู้ใดปฏิบัติตามแล้วย่อมได้ผลแน่นอน เป็นสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกร้อยปีพันปีก็ยังใช้ได้ตลอดไป รายละเอียดมีดังต่อไปนี้ คาถาที่ ๑อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา มงคลข้อที่ ๑. การไม่คบคนพาลการคบ หมายถึง การเป็นเพื่อน เป็นมิตร เป็นสามีภรรยา การไปมาหาสู่การปฏิบัติคำสอน ทำกิจกรรมร่วมกัน การช่วยเหลือสนับสนุน เป็นต้น คนพาล คือ คนชั่ว ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ คล้ายคนโง่เขลา มีชีวิตอยู่แต่เพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ส่วนคนเรียนจบมีปริญญาสูง ๆ แต่ประพฤติผิดศีลธรรม เรียกว่า คนพาลเช่นกัน วิธีสังเกตดูว่าคนไหนเป็นคนพาล มีหลักดังนี้
คนพาลจะชักนำคนที่คบหาด้วยไปในทางที่ผิด เช่น เล่นการพนัน เสพยาเสพติด ปล้น และฆ่า สอนให้เห็นผิดเป็นชอบ ให้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระคนพาลแม้พูดดีด้วยก็โกรธ ไม่รู้จักระเบียบวินัย สมดังสุภาษิตไทยว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล การคบคนพาลจึงมีแต่นำความฉิบหายความเสื่อมเสียมาให้ เสมือนใบไม้ที่สะอาดนำมาห่อปลาเน่า ใบไม้จะเหม็นปลาเน่าไปด้วย ตัวอย่างเช่น ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าอชาติศัตรูสมคบกับพระเทวทัตต์ แล้วถูกยุยงให้ปลงชีวิตพระราชา คือ พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระชนกของตน ส่วนสัตว์ดิรัจฉานก็เช่นกัน ถ้าให้คนเลี้ยงม้าที่มีลักษณะเดินขากะเผลกเดินนำหน้าม้าทุกวันสักวันหนึ่งม้าจะเดินขากะเผลกตามไปด้วย เพราะม้าเข้าใจว่า คนเลี้ยงสอนให้มันเดินอย่างนั้น ในกรณีของสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ต้นมะม่วงมีผลรสอร่อยถ้าปลูกต้นไม้มีรสขม เช่น สะเดาหรือบอระเพ็ดล้อมรอบไว้ ไม่นานนักรสของผลมะม่วงจะขมตามไปด้วย เพราะรากของต้นไม้เหล่านั้นเกี่ยวพันกันหรือนำห่อผงซักฟอกและขวดนํ้าสะอาดใส่ลงในภาชนะปิด นํ้าในขวดจะมีกลิ่นผงซักฟอกติดไปด้วย อนึ่งถ้าคนพาลเป็นบิดามารดา ญาติสนิทมิตรสหายถ้าจะคบ ต้องคบด้วยความระมัดระวัง มิฉะนั้นตนเองจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนพาลไปด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระคาถานี้ไว้ในคราวที่ตรัสสอนพระฉันนะเถระว่า2 น ภเช ปาปเก มิตฺเต น ภเช ปุริสาธเม ดังนั้น การไม่คบคนพาล คือ การไม่เกี่ยวข้องโดยประการทั้งปวง จึงถือว่าเป็นมงคล มงคลข้อที่ 2. การบังคับบัณฑิตเมื่อไม่คบคนพาล ต้องคบบัณฑิต เพราะถ้าอยู่เฉย ๆ ไม่เป็นมงคล บัณฑิต แปลว่า ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา หรือกัลยาณมิตร นั่นเอง คนบางคนทำงานไม่มีรายได้มากมาย แต่ไม่มีเงินเหลือเก็บ เพราะอะไร เพราะไม่คบกับกัลยาณมิตรจึงไม่มีใครบอกทางสว่างให้ ลักษณะบัณฑิตตรงกันข้ามกับคนพาล
มีคำกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้คนเสื่อมหรือเจริญ มีเหตุ ๒ ประการ คือ ก. กรรมพันธุ์ และกรรมจากชาติปางก่อน มีอุทาหรณ์เรื่องลูกนกแขกเต้า ๒ ตัว วันหนึ่ง มีลมพายุพัดผ่าน ตัวหนึ่งถูกพัดตกไปในหมู่โจร ตัวหนึ่งตกไปในหมู่ฤษี หลังจากนั้นไม่นานพระราชาพระองค์หนึ่งพลัดหลงไปใกล้รังโจร ขณะนั้นโจรไม่อยู่ เหลือแต่คนครัวเท่านั้น ลูกนกแขกเต้าจึงกล่าวกะคนครัวว่า ให้จับพระราชาแล้วฆ่าทิ้ง ถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออก พระราชาได้ยินดังนั้นก็ตกพระหทัย จึงออกจากที่นั้นไปสู่อาศรมของฤษี นกแขกเต้าที่อาศัยอยู่ในที่นั้นก็ทำการปฏิสันถารด้วยดี ในสมัยพุทธกาล พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การได้กัลยาณมิตรเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ (หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา) หรือพระเจ้าข้าพระองค์ตอบว่า ไม่ใช่ เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ต่างหาก พระองค์เองก็เป็นกัลยาณมิตรของชาวโลก ส่วนพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเป็นกัลยาณมิตรของภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ดังนั้น การคบบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตรจึงเป็นมงคล เพราะจะถูกชักนำไปในทางที่ดี ให้ทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ มีความเห็นชอบ ถูกใส่ร้ายก็ไม่โกรธรู้จักระเบียบวินัย และมีโอกาสบรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็วขึ้น สมดังพระพุทธพจน์ในสักกเทวินวัตถุว่า สาหุ ทสฺสนมริยานํ สนฺนิวาโส สทา สุโข มีคำถามว่า ทำไมพระองค์จึงตรัส “การไม่คบคนพาล” เป็นอันดับแรกแทนที่จะตรัส “การคบบัณฑิต” เป็นอันดับแรก ซึ่งมีความหมายเหมือนกันแม้ก็จริงอย่างนั้นผู้ฟังจะได้รับผลต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในการบอกหนทาง สองแพร่งว่า เมื่อบอกว่าท่านเดินทางไปถึงแยกแล้ว “ห้ามเลี้ยวซ้าย แต่ ให้เลี้ยวขวา” ผู้ฟังจะเข้าใจทันทีว่า เลี้ยวซ้ายไม่ได้ ต้องเลี้ยวขวาเท่านั้นเป็นการยํ้าให้ชัดเจนขึ้น แต่ถ้าบอกว่า “ให้เลี้ยวขวา ห้ามเลี้ยวซ้าย” ผู้ฟังจะรู้เช่นกันว่าเลี้ยวขวา แต่จะไม่สนใจทางซ้าย ดังนั้น การตรัสการไม่คบคนพาลก่อน เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจคนพาลว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วควรหลีกเลี่ยง ถ้าตรัสให้คบบัณฑิตก่อน ผู้ฟังจะไม่สนใจคนพาลว่าเป็นอย่างไร หลักการนี้สามารถนำไปใช้ในการสอนเด็กเล็กและนักเรียนเพื่อให้รู้ถึงโทษภัยก่อนจากนั้นจึงบอกแต่สิ่งที่ดี มงคลข้อที่ ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชาการบูชามีความหมาย ๓ ประการคือ
บุคคลผู้ควรแก่การบูชา มี ๔ ประเภทคือก. พระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์) อีกนัยหนึ่ง แบ่งตามวุฒิบุคคลมี ๓ ประเภท คือ ก. คุณวุฒิบุคคล ผู้มีคุณความดี คุณธรรมสูงกว่าเรา เช่น พระภิกษุสงฆ์ ครู และอาจารย์ ผู้ใดไม่ควรบูชา ตัวอย่างเช่น ชนบางลัทธิ บางศาสนานับถือสัตว์ดิรัจฉาน มีแพะ วัว กบ และหนู เป็นเทพเจ้าแล้วทำการกราบไหว้ การบูชาบุคคลผู้ไม่ควรบูชาเหล่า นี้ถือว่าเป็นอัปมงคล การบูชาบุคคลผู้ควรบูชามีผลดีดังนี้
ปูชารเห ปูชยโต พุทฺเธ ยทิจ สาวเก ใคร ๆ ไม่อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาปูชารหบุคคลทั้งหลายคือพระพุทธเจ้าหรือเหล่าพระสาวกผู้ล่วงธรรมเป็นเหตุให้เนิ่นช้า ข้ามโสกะและปริเทวะได้แล้วว่า บุญนี้มีประมาณเท่านี้ อนึ่ง ใคร ๆ ไม่อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาปูชารหบุคคลเหล่า นั้น ผู้คงที่ ดับสนิทแล้วหาภัยแต่ที่ไหนมิได้ว่า “บุญนี้มีประมาณเท่านี้” |