จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ในทางกฎหมาย บุคคลธรรมดา หรือ บุคคล (อังกฤษ: natural person) หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย คือมนุษย์ทั้งปวงจะเป็นหญิง ชาย เด็ก คนชรา หรือเป็นผู้บกพร่องในความสามารถหรือเป็นคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามถือเป็นบุคคลธรรมดาทั้งสิ้น[1] ตามประมวลกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 15 ที่ว่าไว้ดังนี้ สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก การเริ่มสภาพบุคคล[แก้]จากบทกฎหมายข้างต้นได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลจะเริ่มขึ้นได้นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ 1)การคลอด ในทางการแพทย์นั้นการคลอดจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทารกออกมาทั้งตัว มีการตัดสายรกเรียบร้อยแล้วและมีการรอให้มดลูกหดตัวประมาณ 15 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหลังเด็กคลอด แต่ในทางกฎหมายนี้จะถือว่าเป็นการคลอดได้ก็ต่อเมื่อทารกพ้นออกจากช่องคลอดทั้งตัวแล้วเท่านั้นพอ การตัดสายรกหรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ 2) อยู่รอดเป็นทารก พูดง่ายๆก็คือคลอดแล้วทารกมีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการแพทย์ในการบอกว่าทารกนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยในทางกฎหมายจะถือว่าทารกที่คลอดออกมามีชีวิตนั้นต้องได้ความว่าเด็กมีการหายใจด้วย เช่นนี้ก็ถือว่ามีสภาพบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ในทางกฎหมายเราจะไม่พิจารณาว่าจะต้องหายใจนานเท่าไหร่หรือหัวใจต้องเต้นกี่ครั้ง แม้มีการหายใจเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าสภาพบุคคลเกิดแล้วถึงแม้ทารกนั้นอาจเสียชีวิตในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งเมื่อมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นก็มีผลทำให้ทารกนั้นมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ เช่น มีสิทธิรับมรดกได้ มีสิทธิที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา และรวมไปถึงได้รับความคุ้มครองในด้านร่างกายหรือเสรีภาพ ฯลฯ ตามกฎหมายด้วย การจะเริ่มสภาพบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วยการคลอดและการอยู่รอดเป็นทารกด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ถือว่าไม่ครบหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย สภาพบุคคลย่อมไม่เกิด เราลองมาดูตัวอย่างกันเพื่อศึกษาถึงผลทางกฎหมายระหว่างการมีสภาพบุคคลและไม่มีสภาพบุคคลกัน ตัวอย่าง นาย ก แต่งงานกับนาง ข เกิดบุตรในครรภ์ขึ้นหนึ่งคน วันเกิดเหตุนาย ก และนาง ข ขับรถไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางขึ้น นาย ก บาดเจ็บสาหัส ส่วนนาง ข บาดเจ็บเล็กน้อยแต่เกิดเจ็บท้องใกล้คลอดพอดี พลเมืองดีนำทั้งคู่ส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนาง ข ก็คลอดออกมาพอดี ทารกมีชีวิตรอดแต่นาย ก เสียชีวิต เช่นนี้ทารกนั้นถือว่ามีสภาพบุคคลตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว มีสิทธิต่างๆตามกฎหมาย จึงมีสิทธิได้รับมรดกจากบิดาที่เสียชีวิตไป ในทางกลับกันถ้าอุบัติเหตุดังกล่าวมีผลทำให้ทารกในท้องเกิดเสียชีวิตลงหรือคลอดออกมาแล้วแต่ไม่มีการหายใจ(ไม่มีชีวิต)หรือก็คือนาง ข ได้แท้งลูกนั่นเอง เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย ทารกนั้นไม่มีสภาพบุคคลไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จึงไม่อาจรับมรดกจากบิดาได้[2] การสิ้นสภาพบุคคล[แก้]ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 ได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกได้ และจะสิ้นสุดลงเมื่อบุคคลนั้นตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดการตายไว้สองประเภทคือ 1).การตายตามธรรมชาติหรือการตายธรรมดา ซึ่งเป็นการตายโดยสาเหตุต่างๆทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตายตามอายุขัย ตายเพราะเจ็บป่วย ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือการตายที่เกิดจากการฆาตกรรม ฯลฯ ในทางกฎหมายไม่ปรากฏว่าการตายต้องมีลักษณะอย่างไร จึงต้องอาศัยหลักวิชาการทางการแพทย์ ซึ่งในทางการแพทย์นั้นจะถือว่าบุคคลตายเมื่อ “แกนสมองตาย” แกนสมองเป็นส่วนของสมองที่ต่อเชื่อมไขสันหลังกับสมองใหญ่ ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของประสาทรัความรู้สึกต่างๆเข้าสู่สมองใหญ่ ดังนั้นหากก้านสมองตายจะทำให้บุคคลนั้นหมดความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ระบบสำคัญต่างๆในร่างกายมนุษย์ก็จะเริ่มหยุดทำงาน แม้จะมีเครื่องช่วยหายใจก็ตาม แต่หัวใจก็จะทำงาต่อได้อีก 48-72 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะหยุดทำงาน แต่กรณีที่เพียงส่วนที่เป็นเปลือกสมองตาย โดยอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดากาศชั่วคราว ได้รับบาดเจ็บจนเปลือกสมองได้รับความเสียหาย ฯลฯ ระบบต่างๆของร่างกายยังทำงานต่อได้ เพียงแต่บุคคลนั้นอาจไม่รู้สึกตัว เป็นเจ้าชายนิทรา แต่อาจรับรู้ความเจ็บปวดได้ ฯลฯ เช่นนี้ทางการแพทย์ยังไม่ถือว่าสมองตาย บุคคลนั้นยังไม่ตายในทางการแพทย์รวมไปถึงในทางกฎหมายด้วย 2).การสาบสูญหรือการตายโดยผลของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้ ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี
หลักเกณฑ์ทั่วไปที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น เมื่อพิจารณาจากมาตรา 61 วรรคแรกแล้วพอจะสรุปได้ดังนี้
อาชญากรรม[แก้]ตามปกติบุคคลธรรมดาจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรม แต่ก็อาจถูกฟ้องร้องได้ในฐานะนิติบุคคล สัตว์อื่นนอกจากมนุษย์ไม่ถือว่าเป็นบุคคลดังนั้นสัตว์จึงก่ออาชญากรรมไม่ได้ [3] แต่บุคคลที่เป็นเจ้าของสัตว์นั้นต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น อ้างอิง[แก้]
|