ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นอกจากการแต่งตัวแล้วสาว ๆ จะมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นได้อีกก็ต้องมีเส้นผมที่นุ่มสลวย และเป็นเงางาม ดังนั้นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ผมในทุกสภาพสามารถจะดูดีได้ขึ้นมาภายในไม่กี่นาที อีกทั้งยังเป็นการช่วยถนอมเส้นผมสวยนั้นให้ยังอยู่กับเราไปนาน ๆ ก็คงจะต้องเป็นไดร์เป่าผม และจะเลือกไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับสภาพเส้นผมของแต่ละคน ซึ่งก็มีทั้งผมหนาฟู หยิก หรือผมเส้นเล็กลีบแบนและบาง ดังนั้นจึงจะมีวิธีเลือกให้ตรงและเหมาะกับเส้นผมแต่ละแบบอย่างไรดี ก็จะมีข้อแนะนำอย่างง่าย ๆ และยังมีรีวิวไดร์เป่าผมน่าใช้มาแนะนำอีกด้วย

Show

  • วิธีเลือกซื้อไดร์เป่าผมให้คุ้มค่า
    • 1. เลือก ที่กำลังไฟเหมาะสมกับสภาพเส้นผม
    • 2. ไดร์เป่าผมใช้เทคโนโลยีประเภทใด
    • 3. ต้องสามารถปรับอุณหภูมิได้
    • 4. ควรมีระบบ Cool Shot สำหรับให้ลมเย็น
    • 5. มีอุปกรณ์เสริมอะไรให้บ้าง
    • 6. ไดร์เป่าผมเสียงเบาหรือไม่
    • 7. มีขนาดและน้ำหนัก เหมาะกับการใช้งาน
    • 8. ความยาวของสายไฟเพียงพอไหม
  • แนะนำ 10 ไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดี ช่วยถนอมเส้นผมให้สุขภาพดี
    • 1. Dyson Supersonic™ (1600W) รุ่น HD08
    • 2. Deliya Hair Dryer 8033 (2200W)
    • 3. Xiaomi รุ่น Negative ion Hair Dryer (1600W)
    • 4. Cool A Styler Hair Dryer (1200W)
    • 5. Lesasha (2200W) รุ่น  Airmax Smart Hair Dryer LS1354
    • 6. Pinshile Stand Hair Dryer (1700W)
    • 7. Mi Dreame Hair Dryer (1400W)
    • 8. Xiaomi Soocas H5 Hair Dryer Negative Ion (1800W)
    • 9. Philips DryCare Advanced (2200W) รุ่น HP8232
    • 10. Panasonic (1800W) รุ่น EH-ND30
  • จะซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดี เส้นผมเป็นเงางามไม่เสียง่าย

วิธีเลือกซื้อไดร์เป่าผมให้คุ้มค่า

1. เลือก ที่กำลังไฟเหมาะสมกับสภาพเส้นผม

การเลือกซื้อไดร์เป่าผม กำลังไฟจะมีความสำคัญหรือมีผลต่อสภาพผมแต่ละแบบซึ่งจะแตกต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพเส้นผม เพื่อเป็นการใช้งานให้ได้ประโยชน์สูงสุด รวมไปถึงจะช่วยถนอมเส้นผมได้อีกด้วย โดยจะมีข้อมูล ดังนี้

  • ไดร์เป่าผมกำลังไฟ 1200 วัตต์ จะเหมาะสำหรับผมเส้นเล็ก บางลีบแบน
  • ไดร์เป่าผมกำลังไฟ 1300 – 1800 วัตต์ เหมาะกับสภาพเส้นผมที่ไม่ลีบแบนหรือหยิกฟูจนเกินไป
  • ไดร์เป่าผมกำลังไฟ 1800 วัตต์ขึ้นไป จะเหมาะสำหรับผมหนาหรือหยิก ชี้ฟูมากเป็นพิเศษ

2. ไดร์เป่าผมใช้เทคโนโลยีประเภทใด

สำหรับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาให้ไดร์เป่าผม มีประสิทธิภาพให้การใช้งานที่เหมาะสมกับเส้นผมที่มีลักษณะแตกต่างกันนั้น

  • Ionic Hair Dryer เป็นฟังก์ชันพื้นฐานหาซื้อได้ง่าย ปล่อยประจุลบเหมาะกับผมที่หนามาก หยิกชี้ฟู ซึ่งจะไม่ทำให้ผมแห้งเสีย
  • Ceramic Hair Dryer ปล่อยรังสีอินฟราเรดเหมาะกับผมเส้นเล็กบาง และลีบแบน การใช้งานจะช่วยให้ผมมีมิติมากขึ้น
  • Titanium Hair Dryer จะเป็นไดร์เป่าผมแห้งเร็ว ให้อุณหภูมิสูงรวมกับเทคโนโลยีการดูแลเส้นผม ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา
  • Tourmaline Hait Dryer  จะปล่อยประจุลบและอินฟราเรด เป็นไดร์เป่าผมรอบหมุนเหมาะสำหรับผมหนาและฟู

3. ต้องสามารถปรับอุณหภูมิได้

ควรจะมีการสลับการใช้ลมร้อนและลมเย็นจะทำให้เส้นผมไม่แห้งเสียก่อนเวลาที่ควรจะเป็น ไดร์เป่าผมที่ดีควรจะสามารถปรับอุณหภูมิได้ทั้งลมร้อน, ลมปานกลางและลมเย็น ซึ่งสามารถจะปรับระดับให้เหมาะสมกับการใช้งาน และเป็นการดูแลเส้นผมไปในตัวด้วย

4. ควรมีระบบ Cool Shot สำหรับให้ลมเย็น

ระบบ Cool Shot จะช่วยปิดหนังกำพร้าด้านนอกของเส้นผมให้เก็บความชุ่มชื่นและมีน้ำหนัก ไม่แห้งเสียและเพิ่มความเงางาม ทำให้ผมยังคงความนุ่มสลวย และล็อกลอนผมให้อยู่ทรงได้นานโดยป้องกันการชี้ฟู เมื่อเป่าจนแห้งดีแล้ว และ Cool Shot จะเป็นประโยชน์กับเส้นผมที่แห้งและหยาบกร้านโดยจะช่วยขจัดความหยาบกระด้างของเส้นผม ให้กลับมามีชีวิตชีวาสุขภาพดีอีกครั้ง

5. มีอุปกรณ์เสริมอะไรให้บ้าง

สำหรับไดร์เป่าผมบางรุ่นจะมาพร้อมกับหัวเป่าที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้หลากหลายแบบสามารถจะเปลี่ยนหัวได้ เช่น เป็นหัวเป่าสำหรับจัดแต่งทรง, หัวเป่าแบบกระจายลม, หัวเป่าแบบลมอ่อนและหัวเป่าแบบเจาะจง เป็นต้น เสมือนเป็นฟังก์ชันเสริม ก็ถือว่าจะเป็นการใช้งานได้หลากหลาย ทำให้การจัดทรงผมได้ง่ายขึ้นอีก และหากเชื่อมต่อด้วยระบบแม่เหล็กก็จะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

6. ไดร์เป่าผมเสียงเบาหรือไม่

ควรจะเลือกไดร์เป่าผมเสียงเบา หรือที่มีระบบการเก็บเสียงที่ดี ซึ่งจะทำให้ไม่ไปรบกวนเพื่อนร่วมห้อง หรือคนรอบข้าง ซึ่งแต่เดิมบางรุ่นยิ่งปรับระดับให้แรงมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้มีเสียงดังมากขึ้นตามไปด้วย แต่ในปัจจุบันนี้มีไดร์เป่าผมแห้งเร็วหลายยี่ห้อด้วยกันที่ออกแบบมาให้มีเสียงที่เบามาก ก็เป็นอีกข้อที่จะต้องคำนึงในการเลือกซื้อ

7. มีขนาดและน้ำหนัก เหมาะกับการใช้งาน

ไดร์เป่าผมที่สามารถจะพกพาได้สะดวกควรจะสามารถพับได้ และควรมีน้ำหนักเบา รวมไปถึงการใช้งานที่จะไม่ทำให้เกิดความเมื่อยล้า ซึ่งก็ไม่ควรจะเกิน 1 กิโลกรัม ก็น่าจะเป็นอีกข้อที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อ เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือกลับต่างจังหวัด คุณสาว ๆ คงจะขาดไดร์เป่าผมไม่ได้แน่นอน

8. ความยาวของสายไฟเพียงพอไหม

เป็นอีกหนึ่งข้อที่จะมองข้ามไม่ได้เลย กับความยาวของสายไฟไม่ควรจะสั้นกว่า 1.7 เมตร เพื่อที่จะเพิ่มความคล่องตัว การเคลื่อนย้ายได้อย่างมีอิสระในขณะใช้งาน ทำให้เพิ่มความสะดวกมากขึ้น หรือหากจะเลือกซื้อเป็นไดร์เป่าผมแบบไร้สายเลยได้ก็น่าจะดีไม่น้อย

1. Dyson Supersonic™ (1600W) รุ่น HD08

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 14,900 บาท

เริ่มต้นกันที่ไดร์เป่าผม Dyson รุ่นนี้เลย ที่มีกำลังไฟ 1600 วัตต์ การใช้งานด้วยมอเตอร์แบบดิจิตอล V9 บวกกับ Air Multiplie ที่จะทำให้มอเตอร์หมุนเร็วมากขึ้น ทำให้ผมแห้งเร็วกว่าไดร์เป่าผมบางรุ่น ยังมีระบบไอออนประจุลบที่จะช่วยลดไฟฟ้าสถิต และการตรวจจับอุณหภูมิ เพื่อไม่ให้ความร้อนส่งผลเสียต่อเส้นผม และยังเป็นการช่วยบำรุงเส้นผมให้มีความชุ่มชื่น ไม่ชี้ฟู เป็นประกายเงางาม นอกจากนี้มาพร้อมกับเซตหัวไดร์ที่หลากหลายมีการเชื่อมต่อแบบแม่เหล็กประกบกัน  หัวเป่าทั่วไป, หัวจัดแต่งทรง, หัวกระจายลม, หัวเป่าลมอ่อนโยน หากยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดี รุ่นนี้บอกได้เลยว่าช่วยตอบโจทย์สำหรับคนผมหยิกฟูหรือผมเส้นเล็ก รวมถึงคนที่มีหนังศีรษะบอบบาง

2. Deliya Hair Dryer 8033 (2200W)

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 135 บาท

ไดร์เป่าผม Hair dryer รุ่นนี้จะเป็นรุ่นยอดนิยม ที่มาพร้อมกับกำลังไฟ 2200 วัตต์ และฟังก์ชันปรับแรงลมได้ 5 ระดับ เป็นไดร์เป่าผมแห้งเร็ว ซึ่งมีระบบร้อนเร็วที่จะทำให้ผมแห้งเร็วขึ้น มีระบบลมเย็น และลมแรง มีระบบแสงสีฟ้าประจุลบที่จะเป็นฟังก์ชันการดูแลเส้นผม จากที่ชี้ฟู หยิก ให้ดูมีสุขภาพเป็นเงางามชุ่มชื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยอุณหภูมิคงที่ มาพร้อมกับหัวบังคับทิศทางลมได้ 2 แบบ สำหรับตัวเครื่องทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน

3. Xiaomi รุ่น Negative ion Hair Dryer (1600W)

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 499 บาท

สำหรับไดร์เป่าผม Xiaomi รุ่น Negative ion Hair Dryer ไดร์เป่าผมรุ่นนี้ มีกำลังไฟ 1600 วัตต์ปรับความแรงของลมได้ 2 ระดับ ลมร้อนและลมเย็น ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับประจุไอออนที่จะช่วยให้ผมนุ่มลื่น ไม่แห้งเสียและชี้ฟูง่าย มอเตอร์ของไดร์เป่าผมมีรอบหมุน 18,000 รอบต่อนาที ทำให้ผมแห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ NTC ที่จะช่วยดูแลหนังศีรษะและเส้นผม หัวไดร์เป่าผมแบบแม่เหล็กที่ปรับหมุนได้ 360 องศา ตัวเครื่องยังมีขนาดพอดีมือเหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านหรือพกพาได้สะดวกอีกด้วย

4. Cool A Styler Hair Dryer (1200W)

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 499 บาท

ไดร์เป่าผมรุ่นนี้จะมาพร้อมกับระบบเป่าลมเย็นอัตโนมัติเพื่อป้องกันการเกิดอุณหภูมิในตัวเครื่องสูงที่เกินไป และมีกำลังไฟ 1200 วัตต์ สามารถจะปรับระดับลมร้อนและระดับความแรงได้ 2 ระดับ ซึ่งจะเหมาะกับทุกสภาพเส้นผมและเส้นผมที่ยาวและหนาถึง 2 ชั้น ด้วยเทคโนโลยีใบพัดถึง 7 ใบ เพื่อจะช่วยบีบอัดลมให้แรงอย่างสม่ำเสมอ และยังมาพร้อมกับตะแกรงช่วยกระจายลมให้ออกได้ดี อีกทั้งตัวเครื่องจะสามารถทนความร้อนได้สูง

5. Lesasha (2200W) รุ่น  Airmax Smart Hair Dryer LS1354

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 799 บาท

สำหรับไดร์เป่าผมรุ่นนี้ กำลังไฟแรง 2200 วัตต์ซึ่งจะได้ลมแรงและทำให้ผมแห้งไว โดยส่วนมากจะเป็นตัวเลือกสำหรับร้านเสริมสวยอีกทั้งราคาที่ไม่สูงมาก กับความสามารถในการเลือกปรับอุณหภูมิได้ถึง 6 ระดับด้วยกัน ซึ่งจะเหมาะกับสภาพเส้นผมได้เกือบทุกประเภท พร้อมกับระบบ Cool Shot สำหรับการช่วยถนอมหนังศีรษะ ถนอมเส้นผมไม่ให้แห้งเสียเร็วยังคงความเงางามนุ่มสลวยได้ และยังสามารถจะล็อกผมให้อยู่ทรงได้นานมากขึ้น

6. Pinshile Stand Hair Dryer (1700W)

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 3,990 บาท

ไดร์เป่าผมแนวตั้งพร้อมการควบคุมด้วยรีโมทแบบไร้สาย ที่จะปรับอุณหภูมิได้ถึง 5 ระดับ และปรับความเร็วได้ 3 ระดับ เป็นนวัติกรรมที่จะไม่ต้องถือให้เมื่อย จะนั่ง นอน หรืออยู่ในอิริยาบถไหนก็เป่าผมให้แห้งได้ ด้วย Pinshile Stand Hair Dryer มีกำลังไฟ 1700 วัตต์ มากับฟังก์ชันไอออนลบเพื่อลดการชี้ฟูและแห้งแตกปลายและทำให้ผมแห้งเร็ว พร้อมกับดูแลเส้นผม ด้วยการปรับลมอัตโนมัติเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถจะปรับความสูงได้ 90-150 เซนติเมตร และความกว้าง 0-180 องศา

7. Mi Dreame Hair Dryer (1400W)

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 4,559 บาท

สำหรับไดร์เป่าผมรุ่นนี้จะมาพร้อมกำลังไฟ 1400 วัตต์ กับความแรงลมอยู่ที่ 2 ระดับ และการปรับอุณหภูมิที่ 3 ระดับ ลมเย็น ลมอุ่น และลมร้อน เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และยังมีระบบไอออนประจุลบเพื่อช่วยถนอมเส้นผมไม้ให้ผมแห้งเสียและยังคงความชุ่มชื่นได้ อีกทั้งความเร็วมอเตอร์ที่ 110,000 รอบต่อนาทีจะเป็นไดร์เป่าผมแห้งเร็ว เพื่อจะช่วยลดการเสียดสีของเส้นผม ซึ่งเป็นสาเหตุของการหลุดร่วงได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีหัวไดร์มาให้ 2 แบบ แบบกว้างและแบบเจาะจงที่จะใช้วิธีเชื่อมต่อด้วยแม่เหล็ก

8. Xiaomi Soocas H5 Hair Dryer Negative Ion (1800W)

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 1,159 บาท

ไดร์เป่าผมของ Xiaomi รุ่นนี้มีขนาดเล็กและเบา มาพร้อมกำลังไฟขนาด 1800 วัตต์ การใช้งานจะมีการปล่อยไอออนประจุลบเพื่อเป็นการดูแลเส้นผมให้คงความชุ่มชื่นไว้เสมอ และช่วยให้ผมดูเงางามนุ่มลื่นอยู่ตลอดเวลา โดยจะกำหนดอุณหภูมิคงที่ 57 องศา และยังมีการออกแบบใบพัดที่ช่วยทำให้เส้นผมแห้งเร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ความร้อนสูง โดยรวมถือว่าเป็นไดร์ที่ราคาไม่สูงมาก มีหัวเป่าไดร์แถมมาให้อีก 2 หัว สำหรับรุ่นนี้จะไม่มีลมเย็นในการล็อกทรงผม ราคาก็แตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับลวดลายที่เลือก

9. Philips DryCare Advanced (2200W) รุ่น HP8232

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 1,090 บาท

ไดร์เป่าผม Philips รุ่นนี้มีกำลังไฟ 2200 วัตต์อีกรุ่นที่จะแนะนำหากยังไม่รู้ว่าจะซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดี ซึ่งจะเป็นรุ่นที่สามารถจะเป่าผมให้แห้งด้วยระบบ ThermoProtect โดยจะใช้อุณหภูมิต่ำ และยังจะช่วยปกป้องเส้นผมจากการใช้ความร้อนสูงได้เป็นอย่างดี ทำให้ผมแห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังตั้งค่าความเร็วได้ถึง 6 ระดับด้วยกัน พร้อมด้วยระบบการปรับสภาพเส้นผมด้วยไอออนเพื่อที่จะให้เส้นผมมีความเงางามไม่ชี้ฟู และปรับผิวเส้นผมชั้นนอกให้เรียบสลวย เป็นประกายเงางาม และยังมีลมเย็นเพื่อใช้ในการแต่งทรงผม

10. Panasonic (1800W) รุ่น EH-ND30

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี เสียงเบา

ราคา 555 บาท

ไดร์เป่าผมรุ่นนี้สามารถจะพับเก็บได้ มีน้ำหนักเบาเพียง 315 กรัมจึงสะดวกกับการพกพาได้ง่าย มีกำลังไฟ 1800 วัตต์ จะช่วยประหยัดเวลาทำให้เป็นไดร์เป่าผมแห้งเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบ Heat Protection ที่จะช่วยปกป้องเส้นผมและหนังศีรษะจากความร้อนได้ และไม่ทำให้ผมแห้งเสียเร็ว สามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ 3 ระดับ ซึ่งมีระบบลมเย็นที่จะช่วยให้ผมอยู่ทรงได้นานมากขึ้น สำหรับรุ่นนี้จะไม่มีระบบไอออนประจุลบ

จะซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดี เส้นผมเป็นเงางามไม่เสียง่าย

เป็นอย่างไรบ้างกับการรีวิวไดร์เป่าผมในแต่ละรุ่น ที่จะช่วยให้คุณสาว ๆ ได้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะเลือกซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดี ที่จะเหมาะกับสภาพเส้นผม เพื่อให้ผมดูมีสุขภาพเป็นเงางามมากขึ้น มากกว่าการเป่าลมร้อนให้ผมแห้งเพียงอย่างเดียว นอกจากฟังก์ชันการใช้งานที่ดีแล้วยังมีขนาดของตัวเครื่องที่สวยงามมีความแข็งแรงและพกพาได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันนี้ไดร์เป่าผมกับเทคโนโลยีดี ๆ เพื่อเส้นผมให้มีสุขภาพดีก็มักมีราคาที่ไม่แพงเลย และอย่าลืมบำรุงผมด้วยวิตามินบำรุงผมเพื่อเส้นผมที่สวยงามกันด้วยล่ะ

ไดร์เป่าผมยี่ห้อไหนดีสุด

1. ไดร์เป่าผม Dyson supersonic รุ่น 605C. 2. ไดร์เป่าผม PANASONIC รุ่น EH-NE65-KL 2000W. 3. ไดร์เป่าผม Xiaomi Negative ion Hair Dryer. 4. ไดร์เป่าผม Super V SU3600.

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนถูกและดี

ไดร์เป่าผม ยี่ห้อไหนดี 2021 เป่าแห้งเร็ว ผมไม่แห้งฟู.
1. ไดร์เป่าผม Panasonic รุ่น EH-ND30-KL..
2. Dyson Supersonic ไดร์เป่าผมไร้ใบพัด.
3. ไดร์เป่าผม Philips รุ่น BHD006/00..
4. Remington ไดร์เป่าผมเคราติน รุ่น AC-8002..
5. ไดร์เป่าผม Xiaomi SOOCAS H3S Negative Ions Hair Dryer..
6. ไดร์เป่าผม Lesasha รุ่น LS1109..

ไดร์เป่าผมตัวเล็ก ยี่ห้อไหนดี

7 ไดร์เป่าผมขนาดเล็กแบบพกพา คุณภาพดี เป่าผมแห้งเร็ว.
1. Philips Essential Care BHD006/00..
2. Panasonic EH-ND 30KL..
3. Lesasha Airmax Extreme LS1200..
4. Panasonic EH-ND25-PL..
5. Philips SmartCare BHC208/00..
6. CKL ไดร์เป่าผม รุ่น 3900..
7. Yours Hair Dryer ไดร์เป่าผม รุ่น YR6218..
วิธีการเลือกซื้อไดร์เป่าผมพกพา ราคาถูก.

ไดร์เป่าผมลมเย็น ยี่ห้อไหนดี

TOP 5 แนะนำสำหรับไดร์เป่าผมลมเย็น ได้แก่ :.
Panasonic - ไดร์เป่าผมลมเย็น รุ่น EH-NA98-KL..
Lesasha - ไดร์เป่าผมลมเย็น รุ่น LS0663..
Philips - ไดร์เป่าผมลมเย็น รุ่น HP8120/00..
Lesasha - ไดร์เป่าผมลมเย็น รุ่น Airmax 3500 พับเก็บได้.
Iwachi - ไดร์เป่าผมลมเย็น มอเตอร์แรง ปรับแรงลมได้ 2 ระดับ.