Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน

AirDrop เป็นความสามารถในการส่งไฟล์ที่สะดวกและรวดเร็วมาก ๆ สำหรับชาว Apple ใช้ได้ทั้ง iPhone, iPad หรือ Mac ครบจบ แต่ถ้าเราอยากส่งไฟล์สะดวก ๆ แบบนี้จาก iPhone ไปสมาร์ทโฟน Android บ้างล่ะ ? พอจะมีวิธีไหม

คำตอบคือมีครับ วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net มีทิปการส่งไฟล์ง่าย ๆ จาก iOS ไป Android ผ่านเว็บ snapdrop.net ไม่ต้องโหลดแอปเพิ่ม ใช้งานได้ฟรี ทำยังไงมาดูกันเลยครับ

Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน

วิธีส่งไฟล์ผ่านเว็บ snapdrop

  1. เข้าเว็บไซต์ snapdrop.net ทั้งบน iPhone และสมาร์ทโฟน Android
  2. จากนั้นจะเจอสมาร์ทโฟนที่เปิดเข้าเว็บพร้อมกัน
  3. แตะที่ชื่อของสมาร์ทโฟนนั้น (แต่ละเครื่องจะมีชื่อที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ สังเกตจากด้านล่าง You are known as)
  4. เลือกไฟล์ที่จะส่ง
  5. กด Add ได้เลย
  6. เครื่องปลายทางกด Save
Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน
Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน
Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน

เท่านี้เราก็จะได้ไฟล์จาก iPhone ถึงสมาร์ทโฟน Android แล้วครับ นอกจากนี้เรายังสามารถส่งไฟล์แบบนี้ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือจาก iPad, Mac ไปยัง Android ก็ได้ด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ

  1. สมาร์ทโฟนทั้ง 2 เครื่องจะต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi วงเดียวกัน
  2. เครื่องปลายทางต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการดาวน์โหลดไฟล์ด้วย

ก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับการส่งไฟล์ข้ามแพลตฟอร์มที่สะดวกดีมาก ๆ แถมได้ไฟล์ขนาดเต็มไม่มีการย่อไฟล์ด้วยครับ

เท่านี้เราก็จะเจอรายชื่อของแอปที่เราเคยโหลดมาแล้วทั้งหมด เรียงตามวันที่เราโหลดมาเลยครับ เราสามารถเลือกโหลดได้จากตรงนี้ด้วยเช่นกันด้วยการกดที่ไอคอนรูปเมฆครับ ใครกำลังหาแอปเก่าที่เคยโหลดไปแล้วอยู่ก็ทำตามวิธีนี้ได้เลย

Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน

Airdrop iphone 4s อยู่ ตรงไหน

อย่าลืมกดติดตามแฟนเพจ @iPhoneDroid.net และทวิตเตอร์ @iPhone_Droid จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ ด้วยนะครับ

Tech & InnovationWhat’s hyped

อยากรู้ไหม iPhone มีอายุการใช้งานได้นานที่สุดกี่ปี และไขข้อข้องใจเรื่อง iOS 11

NOTE:
– หากไม่ใช้การเชื่อมต่อใดๆใน Control Center เช่น Wi-Fi, Bluetooth หรือ AirDrop ก็ควรปิดฟีเจอร์เหล่านี้ไว้เพื่อไม่ให้มีการใช้งานแบตเตอรี่
– Limit Ad Tracking เป็นการป้องกันและจำกัดการติดตาม Location ที่จะนำข้อมูลไปวิเคราะห์การโฆษณา ช่วยให้ท่องอินเตอร์เน็ตอย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น

2-3 ปี น่าจะเป็นระยะการใช้งานของ iPhone ที่มีสภาพสวย ไม่เคยตกหรือตกแล้วไม่แตก หรือเกิดการกระทบกระเทือนกับตัวเครื่องน้อยที่สุด ในความคิดของใครหลายๆ คน แต่จริงๆ แล้วทราบไหมว่าเราสามารถใช้แต่ละเครื่องได้จนหมดอายุการใช้งานของมันจริงๆ สักเท่าไร มาหาคำตอบจาก Apple กันครับ

โดยปกติแล้ว Apple จะเปิดตัว iPhone ทุกๆ หนึ่งปีเป็นประจำในเดือนกันยายนตั้งแต่ iPhone 5 เป็นต้นมา เพิ่งจะมี iPhone SE ที่จัดงานแยกออกมาจาก iPhone รุ่นหลัก บางคนก็อาจจะเปลี่ยน iPhone เป็นประจำทุกปี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยๆ ก็อาจจะสงสัยว่า iPhone ที่อยู่ในมือเรานั้นอยู่ได้กี่ปีกัน ล่าสุด Apple ก็ไขข้อข้องใจให้แล้วครับ

Apple ได้เขียนข้อมูลไว้ในหน้าเว็บไซต์ Environment โดยเนื้อหาบางส่วนนั้นกล่าวถึงอายุการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ โดยแบ่งไว้ดังนี้
– อุปกรณ์กลุ่ม iOS (iPhone iPod iPad) มีอายุการใช้งานอยู่ประมาณ 3 ปี
– อุปกรณ์กลุ่ม OS X (Mac) และ tvOS (Apple TV) จะมีอายุการใช้งานอยู่ประมาณ 4 ปี
– อุปกรณ์กลุ่ม watchOS (Apple Watch) จะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี

สำหรับอายุการใช้งานดังกล่าวน่าจะหมายถึงทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ (ที่เริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด) เพราะจริงๆ แล้วทุกวันนี้ก็ยังมีคนใช้ iPhone 4 และ iPhone 4s ซึ่งมีอายุการใช้งานประมาณ 4-5 ปีแล้ว แต่ก็ยังพอใช้เป็นเครื่องสำรองจนถึงเครื่องหลักได้ แต่ด้านประสิทธิภาพนั้นก็ไม่ค่อยจะไหวแล้วนั่นเองครับ

ส่วนเมื่อสัปดาห์ก่อ Apple ก็เพิ่งจะปล่อย iOS 11 ออกมา และหลายคนก็พบกับปัญหาต่างๆ ที่มันอาจจะยังดูไม่สมบูรณ์เท่าไร อาทิ เครื่องช้าบ้าง แบตหมดไวบ้าง เราลองมาดู

1. ตรวจสอบ Battery Life

สิ่งสำคัญในการประหยัดแบตเตอรี่อย่างแรกคือต้องตรวจสอบก่อนว่าแอปใดใช้แบตเตอรี่เยอะ

ไปที่ Setting > Battery > เลื่อนดู Battery Usage > แตะรูปไอคอนนาฬิกามุมบนขวา

จะเห็นว่ามีการแสดงการใช้งานแบตเตอรี่ว่าใช้งานแต่ละแอปนานแค่ไหน

2. ปิด Background App Refresh

Background App Refresh เป็นการทำงานเบื้องหลังถึงแม้ว่าเราจะปิดแอปไปแล้ว ซึ่งใช้ทรัพยากรอย่างหน่วยความจำและแบตเตอรี่ค่อนข้างเยอะ แนะนำว่าให้เลือกปิดแอปที่ไม่ค่อยได้ใช้และเลือกเปิดเฉพาะแอปที่ต้องการให้อัปเดตเท่านั้น เช่น Facebook, Line, Line@, Mail เป็นต้น

ไปที่ > Setting > General > Background App Refresh > เลือกปิดแอปที่ไม่ต้องการให้ Background App Refresh

หรือจะปิด Background App Refresh ทั้งหมด

ไปที่ > Setting > General > Background App Refresh > Background App Refresh

3. ปิด 4G เมื่อใช้ Wi-Fi

การเลือกเปิดเฉพาะ Wi-Fi จะทำให้ประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น ถ้าหากกลัวว่าจะลืมเปิด 4G เมื่อไม่ได้อยู่ในระยะที่มี Wi-Fi ก็สามารถตั้งค่าเปิด Cellular ในบางแอปที่เราต้องการติดตามตลอดเวลาได้

เปิด Control Center > แตะปิดไอคอน Cellular

4. ปรับลดความสว่างของ Flash Light (ไฟฉาย)

รู้หรือไม่ว่าหากเราต้องเปิดใช้ไฟฉาย สามารถปรับลดระดับความสว่างของไฟฉายลงได้ จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ดีทีเดียว

เปิด Control Center > แตะค้างที่ไอคอนไฟฉาย > เลื่อนระดับความสว่างลง

5. เปิด Wi-Fi Assist

เมื่อสัญญาณ Wi-Fi อ่อนมาก Wi-Fi Assist จะทำหน้าที่เปลี่ยนการใช้งานจาก Wi-Fi ไปใช้ 4G (Cellular) แทน

เครื่องของเราก็จะไม่พยายามเชื่อมต่อ Wi-Fi หลายๆ รอบ ซึ่งกินแบตค่อนข้างมาก

ไปที่ Setting > แตะ Cellular > เลื่อนลงมาเลือกแตะเปิด Wi-Fi Assist

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการตั้งค่า iPhone และ iPad ให้ใช้งานได้อย่างไหลลื่นและประหยัดแบตเตอรี่ แนะนำให้เลือกทำตามความจำเป็นและเหมาะสมกับการใช้งานด้วยนะครับ

ค้นหาแรงบันดาลใจ ตอบโจทย์ ตรงจุด ชีวิตคนเมือง มองโลกใหม่ในอีกมิติที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ GEN-C Urban Living Solutions
Facebook: Ananda Development
Instagram: ananda_development
Youtube: Ananda Development

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก: https://www.iphonemod.net และ https://www.beartai.com