Show ควรดื่มน้ำให้พอเพียงต่อร่างกาย อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่เมื่อร่ายกายขาดน้ำ อาการที่ร่างกายจะบอกเราได้อย่างไรบ้าง กระหายน้ำอาการนี้เป็นอาการพื้นฐาน เลยเราจะทราบได้จากในปากของเราไม่มีน้ำลาย แม้ขณะที่ดื่มน้ำ ร่างกายเราอาจยังรู้สึกว่าน้ำไม่เพียงพออาการเหมือนดื่มน้ำไม่อิ่ม เมื่อร่างกายรู้สึกว่าดื่มพอแล้ว ก็ต่อเมื่อระดับของเหลวในร่างกายคืนสู่สภาวะปกติ ปากแห้ง คอแห้งเป็นอาการต่อเนื่องจากอาการกระหายน้ำ จะรู้สึกว่าริมฝีปากแห้ง รู้สึกคอแห้ง การดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุภายในช่องปากและลำคอ ทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นไม่แห้ง ผิวแห้ง ผิวหยาบสังเกตได้จากการที่ผิวตามแขนหรือขา เมื่อสัมผัสไม่รู้สึกชุ่มชื้น ผิวสากๆ หรือ แลดูผิวแห้ง ควรหาน้ำดื่มให้เพียงพอกับร่างกาย บางกรณีเมื่อร่างกายมีการขาดน้ำเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ ผิวแตก ผิวแห้งกร้าน ตาแห้งเวลาร่างกายเราขาดน้ำท่อน้ำตาก็จะแห้งไปด้วย ส่งผลให้ตามีสีแดงก่ำ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยในตาแตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ ภาวะร่างกายการขาดน้ำจะส่งผลอันตรายมากกว่าคนปกติทั่วไป อาการเหนื่อยล้าเมื่อร่างกายขาดน้ำ ร่างกายก็จะไปยืมน้ำจากอวัยวะส่วนอื่นภายในร่างกาย เช่น เลือดในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดการขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย การขาดออกซิเจน จะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ง่วงนอน และ ซึมตามมาได้ด้วย มีอาการท้องผูกหากร่างกายขาดน้ำจะทำให้เกิดปัญหาลุกลาม จนทำให้มีอาการท้องผูก ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ และ รับประทานอาหารที่มีกากใย เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีด้วย ปัสสาวะน้อยปัสสาวะน้อยกว่าปกติ และปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ และในกรณีอาการหนักอาจเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบร่วมด้วย ควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตรต่อวัน คำนวณอย่างไร… = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 2.2 = (?) × 30 ÷ 2 = ปริมมาณที่ควรดื่มในแต่ละวัน (มิลิลิตร) ยกตัวอย่าง เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม = (50 × 2.2 × 30)÷2 = 1,650 มิลลิลิตร 4,835 total views, 8 views today สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเมื่อขาดน้ำเมื่อ : วันอังคาร, 28 พฤษภาคม 2562 เหงื่อออก อาเจียน ท้องร่วง หรือการรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงให้ปัสสาวะมาก สาเหตุเหล่านั้นสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลต์ได้มากกว่าที่คิด และหากสิ่งที่เสียไปทำให้ร่างกายขาดสมดุล วิธีการเดียวที่จะสามารถรักษาภาวะขาดน้ำได้ ก็คือการแทนที่ของเหลวและอิเล็กโทรไลต์ร่างกายของสูญเสียไปด้วยการดื่มน้ำ ภาพการดื่มน้ำเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย ภาวะขาดน้ำคืออะไร เหตุใดจึงเกิดขึ้น? เมื่อกล่าวถึงการสูญเสียน้ำในร่างกาย ทางการแพทย์จะหมายความถึง ภาวะของเหลวในร่างกายพร่อง (volume depletion) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาตรน้ำลดลงในหลอดเลือด ถือเป็นภาวะปริมาตรน้ำในร่างกายลดลงจากองค์ประกอบในหลอดเลือด ในขณะที่ ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เป็นภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำจากทั้งหลอดเลือดและเซลล์ของร่างกาย ภาวะขาดน้ำจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำจากหลอดเลือดและเซลล์ของร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากภาวะของเหลวในร่างกายพร่อง แต่ก็ยังคงมีอาการหลายอย่างที่ทับซ้อนกัน เช่น ความกระหาย ความดันโลหิตลดต่ำลงจนก่อให้เกิดความสับสน นอกจากนี้ภาวะขาดน้ำยังสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะดึงน้ำออกจากเซลล์เพื่อลดระดับน้ำตาล ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงควรรักษาระดับน้ำของร่างกายให้สมดุล และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งกรณีนี้ควรระมัดระวัง เนื่องจากมีการสูญเสียของเหลวจากทั้งในเซลล์ภายในและนอกเซลล์ ดังนั้นการตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ที่เป็นเบาหวานจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อลดระดับน้ำตาลลงอย่างปลอดภัยทั้งยังช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีแพทย์มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะทั้งสองถึงการรักษาสมดุลของร่างกาย เนื่องจากน้ำช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกาย ช่วยในการหล่อลื่นของข้อต่อ และที่สำคัญเซลล์ร่างกายของเราพึ่งพาน้ำเพื่อการทำงานภายในระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และระบบประสาท อย่างไรก็ดี ในกรณีที่เกิดภาวะของเหลวในร่างกายพร่องอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดการช๊อกและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ น้ำมีอยู่ทุกที่ในร่างกาย คนที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ประกอบไปด้วยน้ำประมาณ 40 ลิตร (40 กิโลกรัม) โดย 2 ใน 3 ของน้ำเหล่านั้นคิดเป็นน้ำภายในเซลล์ (intracellular) และอีก 1 ส่วนคือน้ำภายนอกเซลล์ (Extracellular) ทั้งนี้น้ำภายนอกเซลล์นั้น ร้อยละ 20 เป็นน้ำที่อยู่ในพลาสมา (ประมาณ 3 ลิตร) กับน้ำในเซลล์เม็ดเลือดแดงประมาณ 2 ลิตร รวมทั้งสิ้น 5 ลิตร ซึ่งไหลเวียนภายในร่างกาย และช่วยรักษาสมดุลขององค์ประกอบทางชีวเคมีของมนุษย์แต่ละคน และช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ปริมาตรน้ำในร่างกายรวมทั้งน้ำภายในหลอดเลือดและน้ำในเซลล์ต่าง ๆ ของแต่ละคนที่สูญเสียไปในแต่ละวันจะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ปริมาณการดื่มน้ำของมนุษย์จะถูกควบคุมโดยไต ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมปริมาตรและองค์ประกอบของของเหลวในร่างกาย เมื่อคุณดื่มน้ำปริมาณมาก ร่างกายจะขับน้ำผ่านทางปัสสาวะที่เจือจางและมีปริมาณมาก ในขณะเดียวกัน เมื่อดื่มน้ำในปริมาณน้อย ปริมาณน้ำปัสสาวะก็จะลดลงและมีสีเข้ม นั่นทำให้คุณตระหนักได้ว่าถึงเวลาที่ต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นแล้ว นอกจากนี้การสูญเสียน้ำในกรณีที่เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรือมีเลือดออก สามารถสังเกตภาวะของเหลวในร่างกายพร่อง ได้จากอาการดังต่อไปนี้
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะปริมาตรน้ำในร่างกายพร่อง หรือการสูญเสียน้ำ ได้แก่
น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของร่างกาย การขาดน้ำ (Volume Depletion) สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน กุญแจสำคัญคือ การป้องกันและการรู้ว่าสัญญาณและอาการคืออะไร ดังนั้นในฤดูร้อนควรรักษาระดับของเหลวเอาไว้โดยการรู้จักดื่มน้ำให้เพียงพอ แหล่งที่มา Karen Dwyer. (2019. 10 January). Health Check: how do I tell if I’m dehydrated? William Blahd, MD. (2017, 2 May). What Should I Do If I'm Dehydrated? Retrieved February 19, 2019, from https://www.webmd.com/a-to-z-guides/dehydration-in-adults-treatment#1 หัวเรื่อง และคำสำคัญ ประสบการณ์ใกล้ตาย, สมอง ประเภท แบ่งตามผลผลิต สสวท. บทความ รูปแบบการนำเสนอ แบ่งตามผลผลิต สสวท. สื่อสิ่งพิมพ์ในรูปแบบดิจิทัล ลิขสิทธิ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) วันที่เสร็จ วันอังคาร, 19 กุมภาพันธ์ 2562 สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา ชีววิทยา ช่วงชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มเป้าหมาย ครู ดูเพิ่มเติม |