����Ԫҡ�����������й��ʹ� �����Ԫ� I20202 �ӹǹ 10 ��� �� �ç���¹�աѹ(�Ѳ�ҹѹ���ػ�����) ����� ��س����͡�ӵͺ���١��ͧ����ش ��ͷ�� 1) �������������¢ͧ������ç�ҹ��١��ͧ �Ըա�÷���֡�����ҧ���к������鹵 ��кǹ����駺����ҳ �Ըա�ô��Թ�ҹẺ������ҧẺἹ ��кǹ������Ѿ�ҡ÷�ͧ��� ��ͷ�� 2) ����ҧἹ������¹�ç�ҹ���������ҡ���� ������Ǣ���ç�ҹ ���ͤ�ٷ���֡���ç�ҹ �������Ф����Ӥѭ�ͧ�ç�ҹ �ѵ�ػ��ʧ��ͧ����֡�Ҥ鹤��� ��ͷ�� 3) �����Ӥѭ�ͧ�ç�ҹ�������١��ͧ ��û�Ժѵԧҹ�Ѵਹ ���ҧͤ�Ե�ͺؤ������˹��§ҹ ��û�Ժѵ�������ҧ�ջ���Է���Ҿ Ŵ�����Ѵ�����Ф�����ӫ��˹�ҷ�� ��ͷ�� 4) ���㴡���Ƕ֧��ǹ��Сͺ�ͧ�ç��١��ͧ ��ǹ�� ��ǹ���� ��ػ ��ǹ�� ��ǹ��ҧ ��ǹ���� ��ǹ�� ��ǹ���ͤ��� ��ǹ��� ��ǹ���ͤ��� ��ǹ���� ��ǹ���� ��ͷ�� 5) ��鹵��÷��ç�ҹ�������§�ӴѺ�١��ͧ ��äԴ��С�����͡�������ͧ ����ҧἹ ��ô��Թ�ҹ �����¹��§ҹ ��ù��ʹ� ��äԴ��С�����͡�������ͧ ����ҧἹ �����¹��§ҹ ��ô��Թ�ҹ ��ù��ʹ� ����ҧἹ ��äԴ��С�����͡�������ͧ ��ô��Թ�ҹ �����¹��§ҹ ��ù��ʹ� ����ҧἹ ��äԴ��С�����͡�������ͧ �����¹��§ҹ ��ô��Թ�ҹ ��ù��ʹ� ��ͷ�� 6) ��������͡�������ͧ���������������Ǣ�鹵���令�÷ӵ������ ��ä鹤�������Ǻ��������� ������º���§��÷���§ҹ ��˹��ش���������Тͺࢵ�ͧ����ͧ ��¹�������Ф����Ӥѭ�ͧ�ç�ҹ ��ͷ�� 7) ����ʹͼŧҹ���������ٻẺ�������Ѻ�������������ͻ������ç�ҹ�������١��ͧ ����ʴ����ҷ���ص� ����駺����ҳ��ҧ˹��§ҹ��ҧ�� ��èѴ�Է��ȡ������ǡѺ�ŧҹ ��èѴ�ʴ���С��Ժ�´��¤Ӿٴ ��ͷ�� 8) ����ҧἹ��÷��ç�ҹ�������١��ͧ ����ҧἹ��������ô��Թ���������ҧ�ͺ�ͺ ����ҧἹ������ö������觤鹤��������駺����ҳ�������� ����ҧἹ����ö��Һ�֧�ش���ʧ������ͧ������з�Һ�֧�ͺࢵ�� ���ҧἹ�з��ç�ҹ��������������������ͧ���ʹ�����÷�Һ�ҹ�� ��ͷ�� 9) �����¹��§ҹ�ç�ҹ�����������¹Ẻ� �����¹�ç�ҹ��������ҷ����ҹ���㨧�����еç����� �����¹�ç�ҹ���������Ẻ�繡ѹ�ͧ����������㨢ͧ���Ѵ�� �����¹�ç�ҹ��������Ѩ����������Ѩ����������繷ҧ���͡�������ҹ�Դ��� �����¹�ç�ҹ��������ٻ�Ҿ�����ʴب�ԧ������ǹ��Сͺ�ͧ�����¹��§ҹ ��ͷ�� 10) ���㴡�������١��ͧ����ǡѺ������º���§��§ҹ ���º���§�����ŵ������ʹ������ҡ�����ӵ����觷���ҧ��� �Ӥѭ����ش��͵�ͧ�Ѵ�͡�ŧҹ�����������§�繼ŧҹ�ͧ����ͧ��ͧ�ͺ�س�Ҵ��� ����ͨ��繵�ͧ�Ѵ�͡��ͤ������Ӣ����Ţͧ����������ҧ�ԧ��ͧ�͡���Ѵਹ���Ҩҡ�˹ ������º���§��¹��§ҹ������ӹǹ���Ңͧ���ͧ����ҡ����ش��Ф���ռ���Ǩ�ͺ��������� เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ประวัติศาสตร์” กันจนคุ้นหู คำว่าประวัติศาสตร์อาจหมายถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว หรืออาจหมายถึงสาขาวิชาที่ศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างก็ได้ ซึ่งวันนี้ StartDee จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จัก “วิธีการทางประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้นักวิชาการศึกษาประวัติศาสตร์ได้อย่าง เป็นขั้นเป็นตอน ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงต่าง ๆ และเข้าใจเรื่องราวในอดีตได้มากยิ่งขึ้น Show ว่าแต่… กว่าจะเป็นการศึกษาที่มีขั้นตอนชัดเจนขนาดนี้ มนุษย์เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ การศึกษาประวัติศาสตร์ของเฮโรโดตัส430 ปีก่อนคริสตกาล เฮโรโดตัส (Herodotus) นักเขียนและนักภูมิศาสตร์ผู้มีชีวิตอยู่ในยุคกรีกโบราณได้เขียน The Histories ขึ้น โดยมุ่งหวังว่าการบันทึกนี้จะ “ช่วยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา” งานเขียนของเฮโรโดตัสจึงนำเสนอเรื่องราวสาเหตุของการสู้รบและการทำสงครามระหว่างกรีกและเปอร์เซีย และมีการกล่าวถึงประเด็นการเมืองและอารยธรรมของทั้งสองอาณาจักรอย่างละเอียด ขอบคุณรูปภาพจาก en.wikipedia.org และ www.amazon.comนอกจากนี้เฮโรโดตัสยังเดินทางไปค้นหาหลักฐานเพื่อยืนยันเหตุการณ์ และทำให้บันทึกของเขาน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย งานเขียนของเฮโรโดตัสจึงเป็นงานเขียนชิ้นแรก ๆ ที่วางรากฐานการศึกษาประวัติศาสตร์ในตะวันตก นำไปสู่วิธีการทางประวัติศาสตร์ในยุคต่อ ๆ มา และเฮโรโดตัสก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ความหมาย และความสำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์วิธีการทางประวัติศาสตร์ (Historical Method) หมายถึงวิธีการสืบค้นเรื่องราวในอดีต หรือการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบกับหลักฐานอื่น ๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด บทบาทของวิธีการทางประวัติศาสตร์คือช่วยให้เราศึกษาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้เป็นระบบ และทำให้ข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษามีความน่าเชื่อถือ เพราะวิธีการให้ได้มาซึ่งข้อมูลนั้นถูกต้องตามหลักวิชาการ
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีกี่ขั้นตอนกันนะ ?วิธีการทางประวัติศาสตร์มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่
โดยแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้ 1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษาหัวข้อหรือประเด็นที่เราต้องการศึกษาอาจเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องต่าง ๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นประเด็นถกเถียงที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในแวดวงการศึกษาประวัติศาสตร์ เมื่อได้ประเด็นที่สนใจอยากหาคำตอบแล้ว เราจึงทำการกำหนดประเด็นการศึกษากว้าง ๆ แล้วค่อยจำกัดขอบเขตของประเด็นการศึกษาให้แคบลงให้เหมาะสมกับระยะเวลาในการศึกษา หลักฐานทางประวัติศาสตร์คือร่องรอยและข้อมูลต่าง ๆ จากในอดีตที่หลงเหลืออยู่ เราสามารถใช้หลักฐานเหล่านี้มาเป็นข้อมูลประกอบการศึกษา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด โดยขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานคือการค้นคว้าและรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เราจะศึกษา โดยค้นคว้าจากพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ อินเทอร์เน็ต หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ตามประเภทของหลักฐานนั้น เราสามารถแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้หลายรูปแบบ เช่น 2.1 แบ่งตามลักษณะของการบันทึก ได้แก่ 2.1.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ บันทึกใบลาน ศิลาจารึก พงศาวดาร สมุดข่อย จดหมายเหตุ วรรณกรรม หนังสือพิมพ์ ชีวประวัติ และหลักฐานอื่น ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านลายลักษณ์อักษร ยกตัวอย่างเช่นบันทึก The Histories ของเฮโรโดตัสที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้า ก็ถือเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเช่นกัน ขอบคุณรูปภาพจาก anatsayaboorapanoey และ www.navanurak.in.th2.1.1 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักฐานทางโบราณคดี ทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มนุษย์ในอดีตเป็นผู้สร้างหรือทิ้งไว้ รวมถึงหลักฐานทางสถาปัตยกรรม เช่น วัด วัง ปราสาท สถูป เจดีย์ต่าง ๆ ประติมากรรมรูปปั้น ภาพวาดและจิตรกรรมฝาผนังต่าง ๆ หลักฐานทางวัฒนธรรม เช่น นาฏศิลป์ ดนตรี เพลงพื้นบ้าน คำบอกเล่าและมุขปาฐะต่าง ๆ และหลักฐานประเภทโสตทัศนูปกรณ์ เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ แผนที่และสื่อคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ปราสาทหินพิมาย ขอบคุณรูปภาพจาก th.wikipedia.org2.2 แบ่งตามคุณค่าและความสำคัญของหลักฐาน ได้แก่ 2.2.1 หลักฐานปฐมภูมิ หรือหลักฐานชั้นต้น (Primary Source) คือหลักฐานที่เกิดในยุคสมัยเดียวกันกับเหตุการณ์นั้น ๆ หากผู้จดบันทึกหรือผู้สร้างหลักฐานอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็จะทำให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก ตัวอย่างหลักฐานชั้นต้นที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือราชการ พระราชพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุที่ชาวต่างชาติเป็นผู้บันทึก ส่วนหลักฐานชั้นต้นที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุที่สร้างขึ้นในยุคสมัยนั้น ๆ 2.2.2 หลักฐานทุติยภูมิ หรือหลักฐานชั้นรอง (Secondary Source) คือหลักฐานที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น ๆ จบลงแล้ว ผู้สร้างหลักฐานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นโดยตรง แต่จัดทำหลักฐานหรือบันทึกต่าง ๆ ขึ้นตามคำบอกเล่าหรือข้อเท็จจริงที่ได้รับมาจากผู้อื่นอีกที ทำให้หลักฐานชั้นรองมีความน่าเชื่อถือน้อยลงเนื่องจากอาจมีความคลาดเคลื่อนในการถ่ายทอดระหว่างบุคคล หรืออาจมีการเสริมเติมแต่งความจริง และมีการใส่อคติของผู้สร้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์รวมอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไทย บทความหรืองานวิจัยทางประวัติศาสตร์ รูปปั้นหรือภาพวาดที่จัดทำขึ้นตามคำบอกเล่า เป็นต้น 3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน หรือการวิพากษ์คุณค่าของหลักฐานเมื่อได้หลักฐานเกี่ยวกับประเด็นที่ต้องการศึกษาแล้ว เราต้องตรวจสอบว่าหลักฐานประเภทต่าง ๆ ที่ได้มานั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด เหมาะแก่การนำไปศึกษาเพื่อหาข้อเท็จจริงหรือไม่ การประเมินคุณค่าของหลักฐานมี 2 วิธี ได้แก่ 3.1 การประเมินคุณค่าภายนอก หรือการวิพากษ์ภายนอก เป็นการตรวจสอบหลักฐานจากสภาพและลักษณะภายนอก เพื่อให้ทราบว่าหลักฐานนี้เป็นหลักฐานชั้นต้นหรือชั้นรอง หลักฐานนี้เป็นของจริงหรือไม่ โดยพิจารณาจากอายุของหลักฐาน วัสดุที่ใช้ ผู้สร้าง วัตถุประสงค์ในการสร้าง และสภาพแวดล้อมที่หลักฐานถูกสร้างขึ้น 3.2 การประเมินคุณค่าภายใน หรือการวิพากษ์ภายใน คือการประเมินข้อมูลภายใน ซึ่งเป็นระดับที่ลึกขึ้น โดยอาศัยการตีความหลักฐานเพื่อให้เข้าใจความหมายและความหมายแฝง รวมถึงการประเมินหลักฐานว่าเป็นจริงหรือเท็จ โดยพิจารณาจากผู้เขียน ช่วงเวลาที่เขียน จุดมุ่งหมายในการเขียน สำนวนภาษา และเปรียบเทียบเนื้อความกับแหล่งอื่น ๆ 4. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเมื่อทราบว่าหลักฐานนั้นเป็นของแท้ และให้ข้อมูลที่เป็นจริง ขั้นตอนต่อมาเราจึงวิเคราะห์ข้อมูล เช่น วิเคราะห์ความเป็นมาของเหตุการณ์ สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ รายละเอียด และผลของเหตุการณ์ 5. การเรียบเรียงและนำเสนอจากนั้นจึงนำเสนอข้อมูล ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก ในขั้นตอนนี้ผู้ศึกษาจะต้องตอบคำถามที่ได้ตั้งไว้ในหัวเรื่องที่จะศึกษา จากนั้นจึงนำเสนอออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งงานเขียน การบรรยาย อภิปราย ซึ่งเป็นการนำเสนอองค์ความรู้ที่ได้สู่สังคม
วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการที่นำมาซึ่งข้อเท็จจริงและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทางประวัติศาสตร์ เพื่อน ๆ สามารถนำวิธีการทางประวัติศาสตร์นี้ไปประยุกต์กับการศึกษาทางประวัติศาสตร์ในอนาคตได้ หรือจะลองสวมบทนักโบราณคดี ไปสำรวจแหล่งโบราณคดีในไทยกับครูกอล์ฟในแอปพลิเคชัน StartDee ก่อนก็ได้ ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากทบทวนบทเรียนกันต่อก็ไปอ่านบทความ ปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินทร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาประวัติศาสตร์ กันต่อได้เลย การกําหนดประเด็นศึกษามีวิธีการอย่างไรขั้นที่๑ การกาหนดประเด็นที่จะศึกษา โดยใช้การตั้งคาถามพื้นฐานหลัก ๕ คาถาม คือ What - เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต When - เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ Where - เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน Why - ท าไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น How - เหตุการณ์นั้นมีลักษณะอย่างไร การสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานชั้นต้นมีค่าด้านใดมากที่สุด1. หลักฐำนชั้นต้นหรือหลักฐำนปฐมภูมิ เป็นหลักฐานที่มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นจริงๆ โดยมีการบันทึกของผู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรง หรือผู้ที่รู้เหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง ดังนั้นหลักฐานช่วง ต้น จึงเป็นหลักฐานที่มีความสาคัญและน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะบันทึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือผู้อยู่ในเหตุการณ์ ...
อะไรบ้างที่เป็นหลักฐานชั้นต้นหลักฐานชั้นต้น (ปฐมภูมิ) คือหลักฐานที่บันทึก สร้าง หรือจัดท าขึ้น โดยผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นโดยตรง หรือบ่งบอกให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน สมัยนั้นทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จารึก ต านาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ บันทึก ความทรงจ า เอกสารทางวิชาการ ชีวประวัติ จดหมายส่วนตัว หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร กฎหมาย ...
ทำไมเราจึงต้องตั้งชื่อเรื่องหรือประเด็นที่จะศึกษาคิดหัวข้อ หรือ “ชื่อเรื่อง”ให้มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจน โดยต้องระบุชัดว่าจะค้นคว้าอะไร หากเป็นเรื่องแปลกใหม่ หรือมีแนวการศึกษาทดลองที่แปลกใหม่ ต้องเป็นสิ่งซึ่งแสดงออกถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้วย คำนึงถึงเป็นประโยชน์ของเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้า และเป็นการเพิ่มคุณค่าของผลงงานการค้นคว้าอิสระมากยิ่งขึ้น
|