เมื่อกล่าวถึงหนังสือหายาก (Rare Book) คนทั่วไปมักจะนึกถึงการศึกษาค้นคว้าจากหนังสือเก่าที่หาไม่ค่อยพบ ซึ่งเกิดจากตัวเล่มหนังสือหรือเนื้อหา ทั้งนี้เพราะหนังสือประเภทนี้ จัดอยู่ในห้องสมุดเฉพาะ ดังนั้นวิธีการเก็บรักษา การบริการ จึงค่อนข้างแตกต่างกับหนังสือทั่วไป อีกทั้งวิธีการเรียบเรียงเนื้อเรื่องของคนสมัยก่อน มักแทรกความรู้อื่นไว้ในเรื่องที่เขียนด้วย Show หนังสือหายาก มีความรู้ที่น่าศึกษาค้นคว้าน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ประวัติบุคคลสำคัญของบ้านเมือง และเรื่องอื่น ๆ ผ่านเรื่องราวของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า อาทิ การเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง หนังสือหายากแต่ละเล่ม ทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการความเป็นไปในอดีตในมุมมองที่แตกต่างกัน อาจเป็นมุมมองของชีวิตความเป็นอยู่ บ้านเมืองในช่วงระยะเวลานั้น โบราณสถาน ตลอดจนผู้คนพลเมือง “เที่ยว” เป็นกริยาที่เดินไป หรือ ไปด้วยยานพาหนะ เพื่อทำให้จิตใจเบิกบาน เพลิดเพลินหรือเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ไปด้วยเหตุทำกิจธุระหรือความจำเป็น
คำว่า “เที่ยว” หรือ “การเที่ยวเตร่” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ในหนังสือ “เรื่องเที่ยวที่ต่าง ๆ” ความตอนหนึ่งว่า ประวัติการท่องเที่ยวในอดีตการเดินทางท่องเที่ยวแบบเป็นหมู่คณะอาจมีจำกัดเพียงพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้นที่จะเสด็จประพาสยังสถานที่ต่าง ๆ ส่วนประชาชนทั่วไปไม่นิยมเดินทางไกลนอกจากมีความจำเป็น เนื่องจากยังไม่มีพาหนะที่มีประสิทธิภาพในการเดินทาง ซึ่งการเดินทางนั้นมักผูกติดกับกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ - การเดินทางไปจาริกแสวงบุญ เป็นรูปแบบการเดินทางห่างบ้านที่ชาวสยามคุ้นเคยที่สุด เช่น ชาวล้านนานิยมเดินทางไปไหว้พระธาตุประจำปีเกิดทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ชาวกรุงศรีอยุธยาเดินทางมาไหว้พระพุทธบาท สระบุรี ทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา - การเดินทางไปเยี่ยมญาติ เช่น นิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ กล่าวถึงการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองแกลง แถบชายทะเลตะวันออกของอ่าวไทย เพื่อเยี่ยมญาติทางฝ่ายบิดา - การเดินทางเพื่อหาเลี้ยงชีพ เช่น การทำอาชีพพรานป่า ชาวประมงที่ออกหาปลาในทะเล พ่อค้าเดินทางไปค้าขายต่างเมือง - การอพยพย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยเนื่องจากประสบภัยต่าง ๆ เช่น โรคระบาด สงคราม - การเดินทางเพื่อไปปฏิบัติกิจราชการ เช่น ขุนนางและไพร่พลต้องเกณฑ์ไปราชการทำสงคราม หรือ ขุนนางได้รับมอบหมายไปปกครองดูแลบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ
นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา เริ่มมีการทำการค้าและมีปฏิสัมพันธ์กับชาวตะวันตก ภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง เมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๘ ทำให้สยามต้องเปิดประเทศ มีชาวตะวันตกเข้ามาอาศัยอยู่ในพระนครมากขึ้น จึงมีการรับเอาค่านิยมและธรรมเนียมตะวันตกหลายอย่าง รวมถึงธรรมเนียมการพักผ่อน เช่น การขี่ม้าชมเมือง และการรักษาสุขภาพตามคำแนะนำของมิชชันนารีที่มีความรู้เรื่องแพทย์แผนปัจจุบัน ให้ผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการพักผ่อนไป “เปลี่ยนอากาศ” ในบริเวณที่มีอากาศดี การเดินทางไปพักแรมตากอากาศของพระบรมวงศานุวงศ์หรือชนชั้นสูง ขุนนาง ข้าราชการ ประโยชน์ของการท่องเที่ยว
ทัศนียภาพบริเวณเกาะสีชังสถานที่ที่เจ้านายและขุนนาง มักใช้เป็นสถานที่เปลี่ยนอากาศและรักษาพระองค์ยามเจ็บไข้ พลับพลาที่เกาะสีชัง เมืองชลบุรีสถานที่แปรพระราชฐานเพื่อประทับรักษาพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนผู้ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้สถานที่นี้เป็นที่พักผ่อน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีนาคสวาดิ พระเจ้าน้องนางเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการประชวรพระโรควักกะพิการเป็นเวลานาน
พระองค์จึงโปรดให้แปรพระราชฐานโดย ผ่อนคลายความตึงเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิผลการทำงาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสำราญพระอิริยาบถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ณ น้ำตกธารเสด็จ เกาะพงัน เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๔๘ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ประเพณีวัฒนธรรม ภาษา การแต่งกาย และการใช้ชีวิตของคนในชุมชนนั้น ๆ “ถ้าได้ไปในเมืองนั้นคงจะรู้จักบ้านเมืองและจำรู้ทางชัดเร็วแน่นอน ถ้าจะมีผู้ซักผู้พูดถึงเมืองนั้น ๆ ก็จะเล่าได้พูดตามความรู้ความเห็นของตัว... ประการหนึ่งจะได้รู้จักชาติแห่งคนชาวบ้านชาวเมืองภูมิประเทศนั้น ๆ ที่จะมีกิริยาหน้าตาสุ้งเสียงอย่างไร และจะทำมาหากินเลี้ยงชีวิตรด้วยสิ่งอันใด...” วิถีชีวิตของราษฎรบริเวณรอบทุ่งกุลาร้องไห้ นอกเมืองร้อยเอ็ด ในสมัยเมื่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองร้อยเอ็ด วันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ รู้จักโบราณสถานโบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ “ประการหนึ่งเมืองใดมีของโบราณวิชาช่าง เปนบ้านเปนตึกเปนวัดโบถพิหารพระเจดีย์พระปางค์...ในชีวิตรหนึ่งควรจะได้เห็นไว้ ให้เปนที่เจริญใจสดับสติปัญญาให้รุ่งเรือง” ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ “บางทีที่จะได้พบของโบราณปลาดเปนพระพุทธรูปเก่าๆ ... แลเทวรูปเปนรูปอิศวรนารายน์พิคเนฆต่าง ๆ หล่อด้วยทองอย่างเก่า แลของเล็กน้อยอย่างนี้มีอิกมาก บางทีเปนของ ประหลาดหายาก ตามซึ่งชนสยามได้นับถือกันว่าเปนของวิเสศกันได้ต่าง ๆ ...” ช่วยในการประกอบสัมมาอาชีพ
“คนซึ่งเปนพ่อค้า ซึ่งจะแสวงหาสิ่งที่เปนประโยชน์แก่ตนที่ควรจะทราบสินค้าซึ่งเกิดมีเกิดเปนตามเมืองนั้น ๆ... ก็อาจสามารถที่จะสืบสวนแลชักจูงหาผู้แทนหรือแสวงหาสินค้านั้น ๆ มาซื้อขายตามประโยชน์แก่กำไรของตนซึ่งเห็นว่าจะได้มาจำหน่ายตามประโยชน์ในที่ควรได้ตามกาลเวลา” กลุ่มเกวียนเทียมวัว และเรือบรรทุกสินค้าไปค้าขายที่ริมแม่น้ำน่าน หน้าเมืองพิชัย ปัจจุบันคืออำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์
“ถ้าจะว่าตามประโยชน์ที่คบเพื่อนฝูง ถ้าได้ไปเที่ยวได้ทั่วทุกแห่ง ถ้าถึงแห่งใดก็จำต้องรู้จักพบปะคนในเมืองนั้น ๆ ... ถ้าแม้ว่าจะไม่ต้องการในทางมิตรที่ดีก็คงยังเปนประโยชน์ที่จะได้รู้จักคนนั้น ๆ ไว้...” ฝ่ายทเลตวันตก พระยาตรังกานูนี้เป็นผู้หนึ่งที่ทรงยินดีได้เข้ามาเฝ้า ฯ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๙ การเสด็จประพาสในรัชกาลที่ ๕พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชอัธยาศัยโปรด ฯ การเสด็จประพาสตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เสด็จประพาสที่ต่าง ๆ เกือบทุกปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บางคราวเสด็จ ฯ ไปเป็นทางราชการ บางคราวเสด็จ ฯ ไปเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถ ไม่โปรด ฯ ให้จัดการรับเสด็จอย่างเป็นทางการ ที่เรียกว่า “เสด็จประพาสต้น” ทรงพอพระราชหฤทัยที่จะประทับที่ใดก็ประทับที่นั้น การเสด็จประพาสต้นมีประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง เพราะเสด็จประพาสปะปนไปในหมู่ราษฎร ได้ทรงทราบคำกราบบังคมทูลของราษฎรปรารภสุขทุกข์ ซึ่งไม่สามารถจะทรงทราบได้จากทางอื่น การเสด็จประพาสต้นในรัชกาลของพระองค์เกิดขึ้น ๒ ครั้ง คือ การเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๑ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๗ เสด็จโดยทางเรือจากพระราชวังบางปะอิน ไปมณฑลราชบุรี แล้วเสด็จกลับมามณฑลนครชัยศรี และมณฑลอยุธยา การเสด็จครั้งนี้ทรงสำราญพระราชอิริยาบทมากกว่าครั้งใด ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับเสวยพระกระยาหาร พร้อมด้วยผู้ตามเสด็จ ที่บริเวณตลิ่งสูง ในป่าใต้วังนางร้าง ในคราวเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ ๒ พุทธศักราช ๒๔๔๙
กระบวนเรือเสด็จประพาสต้นในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หยุดพักที่หาดใต้แสนตอ เมืองขาณุวรลักษณบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ การเสด็จประพาสในรัชกาลที่ ๖
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสเมืองต่างๆ ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ในรัชกาลที่ ๕ เช่น เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ เสด็จพระราชดำเนินไปมณฑลพายัพ เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร สุโขทัย สวรรคโลก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก นอกจากนี้นับแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงเส้นทางการคมนาคมและขยายเส้นทางรถไฟ ทำให้ประชาชนมีความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น สยามมกุฎราชกุมารเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ช้างในขบวนเสด็จเดินทางจากตำบลกะปาง ไปยังพลับพลาที่ประทับตำบลทุ่งสง เมืองนครศรีธรรมราช พุทธศักราช ๒๔๕๒ การเสด็จประพาสในรัชกาลที่ ๗พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือและนครเชียงใหม่ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๙ เสด็จผ่านเมืองต่าง ๆ ได้แก่ พิษณุโลก แพร่ ลำปาง เชียงราย เชียงแสน เชียงใหม่ และลำพูน เจ้าแก้วนวรัฐขี่ช้างนำเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เข้าสู่เมืองเชียงใหม่ พุทธศักราช ๒๔๖๙
|