Pew บอกว่า ชาวมุสลิมนั้น จะกลายเป็นกลุ่มศาสนิกที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เมื่อถึงปี 2035 จำนวนของทารกที่เป็นมุสลิมจะพุ่งแซงหน้าทารกที่เป็นชาวคริสต์ ถ้าดูตัวเลขประมาณการ
(Pew Research Center Demographic Projections จากรายงานชื่อ The Changing Global Religious Landscape) จะเห็นว่าในช่วงปี 2015-2060 ประชากรมุสลิมจะเพิ่มขึ้นราว 70% จากในปัจจุบัน ในขณะที่ชาวคริสต์จะเพ่ิมขึ้น 34% ชาวฮินดูเพิ่ม 27% ชาวยิวเพิ่ม 15% แต่ชาวพุทธจะลดลงราว 7% ในยุโรปปี 2016 ชาวมุสลิมคิดเป็น 4.9% ของประชากรทั้งหมด คือมีชาวมุสลิมมากกว่า 25 ล้านคน อยู่ในฝรั่งเศสมากที่สุด คือเกือบ 5.7 ล้านคน คิดเป็น 8.8% ของประชากรฝรั่งเศสทั้งหมด รองลงมาคือเยอรมนีและสหราชอาณาจักร ตามลำดับ ในปัจจุบัน
กระแส ‘ขวา’ ที่มาแรงในยุโรป ทำให้เกิดความกังวลเรื่องผู้อพยพ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากซีเรียและประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามอื่นๆ นั่นทำให้ Pew ลองทำแบบจำลอง (Scenario) ขึ้นมาสามแบบ โดยใช้ฐานจากชาวมุสลิมในยุโรปปัจจุบัน 30 ประเทศ คือในสหภาพยุโรป 28 ประเทศ และนอร์เวย์กับสวิตเซอร์แลนด์ โดยดูจากฐานการเพิ่มขึ้นของประชากรมุสลิมในยุโรป จาก 19.5 ล้านคน (3.8%) ในปี 2010 ที่เพิ่มมาเป็น 25.8 ล้านคน (4.9%) ในปี 2016 แบบจำลองแรกก็คือ ถ้าความขวาจัดมาแรงมากๆ จนหยุดยั้งคลื่นการอพยพลี้ภัยได้ ทำให้ไม่มีชาวมุสลิมอพยพเข้ามาในยุโรปเลย คือเป็น Zero migration พบว่าเมื่อถึงปี 2050 ชาวมุสลิมจะเพิ่มขึ้นจาก 49% ไปเป็น 7.4% ทั้งนี้ก็เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว ชาวมุสลิมปัจจุบันมีอายุน้อยกว่าและมีลูกมากกว่าชาวยุโรปอื่นๆ โดยเฉลี่ยทั่วไป แบบจำลองที่สอง คือมีการอพยพปานกลาง (Medium Migration) คือตั้งสมมุติฐานว่า ชาวมุสลิมยังคงอพยพเข้ามาในยุโรปต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากเหมือนช่วงกลางปี 2016 ถ้าใช้แบบจำลองนี้ เมื่อถึงปี 2050 ชาวมุสลิมในยุโรปจะเพิ่มเป็น 11.2% แต่ถ้าเป็นแบบจำลองที่สาม คือมีการอพยพเข้ามาสูง (High Migration) คืออัตราการอพยพสูงพอๆ กับช่วงปี 2014 ถึง 2016 อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ พบว่าในปี 2050 ชาวมุสลิมอาจมีจำนวนราว 14% ของประชากรยุโรปทั้งหมด ซึ่งเพิ่มจากปัจจุบันเกือบสามเท่า แต่กระนั้นก็ยังถือว่าน้อยกว่า เมื่อเทียบกับประชากรที่นับถือศาสนาคริสต์และไม่นับถือศาสนาอะไรเลยในยุโรป อย่างไรก็ตาม Pew ยังบอกด้วยว่า ประชากรที่อพยพเข้ามาในยุโรปนั้น ไม่ได้เป็นมุสลิมทั้งหมด ราว 47% ไม่ใช่มุสลิม และในจำนวนนี้เป็นชาวคริสต์มากที่สุด นั่นทำให้ประชากรที่อพยพเข้ามา ไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ชาวมุสลิมในยุโรปเพิ่มจำนวนมากขึ้นขนาดนั้น แต่ที่สัดส่วนของประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้น เป็นเพราะประชากรที่นับถือศาสนาอื่น (Non-Muslim) ลดจำนวนลงด้วยต่างหาก ถ้าดูตัวเลขโดยรวมของชาวยุโรป ในแบบจำลองแรกที่ไม่มีการอพยพเข้ามาเพิ่มเติม ประชากรยุโรปจะลดลงจาก 521 ล้านคน เหลือราว 482 ล้านคน แต่ถ้ามีการอพยพปานกลาง ประชากรจะค่อนข้างคงที่ ในขณะที่ถ้ามีการอพยพเข้ามามาก ประชากรจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นั่นทำให้สัดส่วนของประชากรมุสลิมในยุโรปเพิ่มสูงขึ้น ที่จริง Pew ไม่ได้เพิ่งทำนายเรื่องนี้เอาไว้ แต่เคยมีรายงานนี้มาตลอด รายงานในปี 2015 บอกถึงเหตุผลที่ประชากรมุสลิมเพิ่มจำนวนมากขึ้นไว้หลายอย่าง เหตุผลสำคัญก็คือ ชาวมุสลิมเคร่งครัดต่อศาสนามาก ดังนั้นจึงมักไม่ค่อยมีการคุมกำเนิด จะควบคุมการมีบุตรได้เพียงชั่วคราวเพื่อเว้นช่วงการตั้งครรภ์หรือพักการตั้งครรภ์ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเป้าหมายของการแต่งงานคือการมีบุตร นั่นจึงทำให้ชาวมุสลิมมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก มีสถิติบอกว่า ถ้าจะให้ประชากรของโลกยังคงที่อยู่อย่างนี้ไม่เพิ่มไม่ลด ผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องมีลูกเฉลี่ย 2.1 คน แต่ในปัจจุบัน โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนจะมีลูก 2.5 คน ทำให้ประชากรโลกเพ่ิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไปดูเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงมุสลิม ปรากฏว่าผู้หญิงมุสลิมหนึ่งคนจะมีบุตร 3.1 คน รองลงมาคือผู้หญิงชาวคริสต์ ที่เฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนมีลูก 2.7 คน ตามมาด้วยผู้หญิงฮินดูที่มีลูกเฉลี่ย 2.4 คน ในขณะที่ผู้หญิงชาวพุทธมีลูกเฉลี่ยน้อยที่สุด คืออยู่ที่ 1.6 คน เท่านั้น
มีตัวเลขในปี 2010 บอกว่า มีประชากรโลกเพียงราว 27% เท่านั้น ที่อายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ในชาวมุสลิมมีประชากรที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ถึง 34% ทำให้เมื่อมองไปในอนาคตข้างหน้า ประชากรชาวมุสลิมที่เติบโตขึ้นจึงจะมีสัดส่วนมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ในส่วนของผู้สูงวัยก็คล้ายกัน เพราะประชากรโลก (ในปี 2010) ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มีอยู่ 11% แต่ชาวมุสลิมมีผู้สูงวัยอายุมากกว่า 60 ปี เพียง 7% เท่านั้น อัตราการเพิ่มของประชากรเช่นนี้ ทำให้คาดกันว่า ประเทศในแถบแอฟริกาแถบ Sub-Sahara จะมีการเติบโตรวดเร็วที่สุด คือจากที่เคยมีจำนวนประชากร 12% ของประชากรโลกในปี 2010 กลายมาเป็น 20% ในปี 2050 และสหประชาชาติก็เคยทำนายไว้ว่าในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า เมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะคือเมืองลากอส – เมืองหลวงของไนจีเรีย ที่มีประชากรมากกว่า 70 ล้านคน นอกจากนี้ ยังมีการทำนายด้วยว่า หลายประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลงศาสนาหลัก (หรือศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุด) ของตัวเอง เช่นฝรั่งเศสที่เคยมีประชากรชาวคริสต์มากที่สุดในปี 2010 พอถึงปี 2050 จะกลายเป็นคนไม่มีศาสนามากที่สุด ส่วนมาซีโดเนีย และบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ที่ในปี 2010 มีประชากรชาวคริสต์มากที่สุด พอถึงปี 2050 ก็จะกลายเป็นมีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุด เป็นต้น ที่น่าสนใจก็คือในอินเดียอันเป็นขุมกำลังทางเศรษฐกิจใหม่ของเอเชีย พบว่าศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในอินเดียก็คือศาสนาอิสลาม ซึ่งเติบโตเร็วกว่าศาสนาฮินดูด้วยซ้ำไป แต่ประเทศที่มีอัตราการเติบโตของศาสนาอิสลามหรือประชากรมุสลิมน้อย ก็คือประเทศจีน พบว่าผู้หญิงมุสลิมในจีนมีลูกเฉลี่ยแค่ 1.7 คนเท่านั้น เนื่องจากจีนมีนโยบายควบคุมประชากรอย่างเข้มงวด ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในเขตเมืองจะมีลูกได้มากที่สุดแค่ 2 คน เท่านั้น ส่วนในชนบทจะมีลูกได้ 3-4 คน แต่กระนั้น Pew ก็บอกไว้ในรายงานอีกชิ้นหนึ่งด้วยว่า ศาสนาอิสลามคือศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ในปี 2030 คนในแถบเอเชียแปซิฟิคหนึ่งในสาม (27.3%) จะนับถือศาสนาอิสลาม เพิ่มจากหนึ่งในสี่ (24.8%) ในปี 2010 และจากราวหนึ่งในห้า (21.6%) ในปี 1990 นอกจากอัตราการเพิ่มประชากรแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประชากรมุสลิมเพิ่มจำนวนขึ้น ก็คือมีผู้เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาอิสลามมากขึ้น เช่น New York Times เคยประมาณการไว้ว่า ชาวมุสลิมในอเมริกา 25% คือคนที่เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาอิสลาม ส่วนในอังกฤษ เคยมีบทความในนิตยสาร British Muslims Monthly Survey รายงานว่าในแต่ละปี มีผู้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามถึง 6,000 คน การเพิ่มขึ้นของประชากรมุสลิม พร้อมกับการเติบโตของแนวคิดอนุรักษนิยมหรือขวาจัดในยุโรปและอเมริกา จึงทำให้สมมุติฐานของแซมมวล ฮันติงตัน ในหนังสือ The Clash of Civilizations นักรัฐศาสตร์อเมริกัน หวนกลับมาหลอกหลอนประชากรโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบนี่จึงเป็นเทรนด์สำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดโตมร ศุขปรีชา สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ageing society มุสลิม Trend Rider Muslim ศาสนาอิสลาม |