26 ม.ค. 2022 ทำไม ยูเครน ถึงมีความสำคัญกับรัสเซีย / โดย ลงทุนแมน ในแง่เศรษฐกิจ ประเทศยูเครนคือประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปยุโรป แล้วทำไมประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปถึงมี “ความสำคัญ” จนทำให้รัสเซีย และเหล่าประเทศในสหภาพยุโรปต้องมีความขัดแย้งกัน จนอาจบานปลายกลายเป็นสงครามแห่งศตวรรษที่ 21 ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ในแง่ภูมิศาสตร์ ยูเครนตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปยุโรป ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 603,500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทยเล็กน้อย ไม่ใช่แค่กว้างขวาง ภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังเป็นที่ราบ มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน ยูเครนจึงกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ มีพื้นที่ทำการเกษตรถึง 58% ของพื้นที่ประเทศ ยูเครนเป็นเขตเกษตรกรรมที่สำคัญของยุโรป ได้รับฉายาว่า “ตะกร้าขนมปัง” ในปี 2020 ยูเครนส่งออกข้าวสาลีเป็นอันดับ 5 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของผลผลิตทั้งโลก ด้วยความอุดมสมบูรณ์นี้เอง จนเมื่อรัสเซียมีการปฏิวัติบอลเชวิคเพื่อล้มล้างระบอบกษัตริย์แล้วเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ยูเครนก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตในปี 1922 กลายเป็นเขตเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมหนักที่สำคัญของประเทศ จนเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 ยูเครนจึงได้แยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราช แต่เศรษฐกิจของยูเครนก็ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด เพราะในขณะที่ประเทศยุโรปตะวันออกหลายประเทศได้เข้าร่วมกับสหภาพยุโรป และมีเศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้า แต่นโยบายต่างประเทศของยูเครนกลับสลับสับเปลี่ยนไปมา ตามประธานาธิบดีที่อยู่ฝ่ายรัสเซีย กับประธานาธิบดีที่สนับสนุนสหภาพยุโรป ปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนาน ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ อุตสาหกรรมการผลิตไม่ถูกพัฒนา ผู้คนชาวยูเครนมี GDP ต่อหัวต่ำที่สุดในทวีปยุโรป ชาวยูเครนจำนวนไม่น้อยหลีกหนีความยากจนไปอยู่ต่างประเทศ ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลทำให้
ยูเครนเป็นประเทศที่มีประชากรลดลงมาโดยตลอดนับตั้งแต่วันก่อตั้งประเทศ แล้วอะไรที่ทำให้ยูเครนยังคงมีความสำคัญกับรัสเซีย ? ประการแรก: ทำเลที่ตั้ง ยูเครนมีทำเลที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่างรัสเซียกับประเทศในสหภาพยุโรป จึงเป็นเหมือนดินแดนกันชนที่สำคัญของ 2 ฝั่งมหาอำนาจ ยูเครนยังเป็นที่ตั้งของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ที่ส่งจากรัสเซียผ่านไปยังประเทศในสหภาพยุโรป แม้ว่าปัจจุบันท่อส่งก๊าซที่ผ่านยูเครนจะลดความสำคัญลง เนื่องจากมีท่อส่งก๊าซแห่งใหม่ทางตอนเหนือ แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ชายฝั่งทะเลของยูเครนที่ยาวกว่า 2,700 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยชายฝั่งทะเลดำและชายฝั่งทะเลอาซอฟ ซึ่งเป็นทางออกสู่ทะเลที่สำคัญมาก ๆ สำหรับรัสเซีย ในอดีตสมัยสหภาพโซเวียต ชายฝั่งทะเลดำของยูเครนจึงเป็นทั้งเมืองท่าสำคัญ สรุปแล้ว ยูเครนจึงเป็นเหมือนจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันแหลมไครเมียก็ได้ถูกรัสเซียยึดไปแล้ว ประการที่ 2: ประชากร ในยุคที่ยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต มีการส่งชาวรัสเซียบางส่วนมาอยู่ที่ยูเครน โดยเฉพาะในแถบเมืองตะวันออกและตอนใต้ของประเทศ ที่ปัจจุบันมีชาวยูเครนเชื้อสายรัสเซีย เป็นสัดส่วนตั้งแต่ 30-70% เมื่อยูเครนแยกประเทศออกมาแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็ยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย ยังคงใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาหลัก และให้การสนับสนุนประธานาธิบดีที่อยู่ข้างรัสเซีย คนกลุ่มนี้มีประมาณ 10 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของประชากรยูเครนทั้งหมด ประการที่ 3: ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากพื้นที่ทำการเกษตรอุดมสมบูรณ์แล้ว ยูเครนยังเป็นแหล่งแร่เหล็ก ถ่านหิน แมงกานีส การที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ ทำให้ในสมัยสหภาพโซเวียต ยูเครนจึงเป็นเขตอุตสาหกรรมหนักที่สำคัญ มีทั้งโรงงานเหล็ก โรงงานผลิตอาวุธ เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ ซึ่งโรงงานเหล่านี้ล้วนตั้งอยู่ทางตะวันออกและทางใต้ ซึ่งเป็นเขตที่ผู้คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายรัสเซีย ทำให้เขตตะวันออกและทางใต้เหล่านี้ เป็นเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญของยูเครน โดยจุดหมายปลายทางของการส่งออกที่สำคัญของแร่ธาตุและสินค้าอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะเป็นที่ไหนไม่ได้ นอกจากรัสเซีย.. ด้วยเหตุผลทั้ง 3 ประการมารวมกัน ยูเครนจึงเป็นเหมือนรัฐกันชน เป็นเหมือน “หน้าบ้าน” ที่มีความสำคัญมากกับรัสเซีย เป็นพื้นที่นอกรัสเซียที่มีคนเชื้อสายรัสเซียอยู่มากที่สุด แต่สำหรับยูเครนแล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ ก็พยายามมาโดยตลอดที่จะสลัดตัวเองให้พ้นจากร่มเงาของรัสเซีย ทั้งลดการพึ่งพาการค้า ลดการพึ่งพิงพลังงาน รวมไปถึงการขยายความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป โดยได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากชาวยูเครนที่อยู่ทางตอนเหนือกับตะวันตก ซึ่งประเทศในสหภาพยุโรป ก็ล้วนเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO การที่ยูเครนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสหภาพยุโรปจนอาจกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของ NATO เท่ากับว่า จะมีกองทหารจาก NATO เข้ามาควบคุมในพื้นที่ยูเครน ที่รัสเซียมองว่าเป็น “รัสเซียน้อย” มาโดยตลอด ทหารจะมาตั้งกองกำลัง มาสร้างฐานทัพ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัสเซียจะยอมรับไม่ได้ ! เป็นที่น่าติดตามอย่างยิ่ง ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่จากประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ |