บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล Show
36,930 views โดย ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์ประจำวิชากฎหมายภาษีอากร บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล คือ บุคคลประเภทหนึ่งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายซึ่งไม่ได้เป็น บุคคลธรรมดา (ส่วนมากมักอยู่ในรูปบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) แต่กฎหมายให้ถือว่ามีสถานะเป็นเสมือนบุคคลทั่วไปและสามารถทำกิจกรรมหลายอย่างได้เหมือนบุคคลทั่วไป เช่น ทำสัญญาซื้อขายได้ มีเจ้าของทรัพย์สินได้ แต่จะไม่สามารถทำกิจกรรมบางอย่างเหมือนบุคคลธรรมดาได้ เช่น ใช้สิทธิเลือกตั้ง บวชเป็นพระภิกษุ จดทะเบียนสมรส รับบุตรบุญธรรม เป็นต้น โดยปกติ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีรายได้จะมีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ด้วย ไม่ว่าจะตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือตามกฎหมายต่างประเทศ1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายไทยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายไทยมักอยู่ในรูปแบบ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศถ้าบริษัทหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เข้ามาทำกิจกรรมบางอย่างในไทยแล้วมีรายได้ก็มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย อื่นๆ ที่ถือว่าเป็นผู้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนอกจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะหมายถึงนิติบุคคลข้างต้นแล้ว กฎหมายยังหมายความรวมถึงกิจการรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลด้วย ได้แก่ มูลนิธิและสมาคมที่ยังไม่เป็นองค์กรการกุศลสาธารณะมูลนิธิและสมาคม หากยังไม่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์กรการกุศลสาธารณะแล้วมีรายได้เกิดขึ้นจะไม่ได้รับยกเว้นภาษี ทำให้มูลนิธิและสมาคมที่ยังไม่เป็นองค์กรการกุศลสาธารณะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย กิจการร่วมค้า (Joint Venture)กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ไม่ว่าจะเป็นการกิจการทางการค้าร่วมกันระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่เป็นนิติบุคคลด้วยกัน หรือแม้แต่ระหว่างบริษัท/ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา หากกิจการร่วมค้านั้นมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย กิจการทางการค้าหรือหากำไรของรัฐบาลต่างประเทศและองค์การของรัฐบาลต่างประเทศถ้ากิจการทางการค้าหรือหากำไรของรัฐบาลต่างประเทศและองค์การของรัฐบาลต่างประเทศนั้นเข้ามาในไทยแล้วมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยด้วย กิจการทางการค้าหรือหากำไรของนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศกิจการทางการค้าหรือหากำไรของนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศนั้น ถ้าเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศจะถือเป็นบริษัทหรือหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรซึ่งอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลทันที แม้ว่าในประเทศที่ตั้งขึ้นนั้นจะไม่มีสถานะเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ หรือสมาคมก็ตาม เช่น กองทุนรวมต่างประเทศ ดังนั้น ถ้านิติบุคคลนั้นเข้ามาในไทยแล้วมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นที่น่าสังเกตว่านิติบุคคลไทยบางประเภทก็ยังที่ไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษี ซึ่งมักจะเป็นนิติบุคคลอื่นตามกฎหมายไทยที่ไม่ใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนฯ และไม่ใช่ส่วนราชการโดยตรง เช่น เนติบัณฑิตไทย สภาทนายความ สหกรณ์ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย นิติบุคคลอาคารชุด เป็นต้น จะไม่มีสถานะเป็นผู้เสียภาษีที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะแม้จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลแต่ก็ไม่ใช่บริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ สมาคม หรือนิติบุคคลที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้หน่วยงานส่วนราชการที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลก็ไม่มีสถานะต้องเสียภาษีเงินได้ เช่นกัน เช่น กระทรวง จังหวัด อบต. เป็นต้น ทั้งนี้นิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ยังรวมถึงรัฐวิสาหกิจที่เป็น “องค์การของรัฐบาล” เช่น ธนาคารออมสิน ธอส. ธกส. ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายพิเศษ (แต่ถ้ารัฐวิสาหกิจนั้นไม่ใช่ “องค์การของรัฐบาล” แต่เป็นบริษัท/ห้างหุ้นส่วน ซึ่งโดยมากจะเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐมีทุนอยู่เกิน 50% เช่น การบินไทย บขส. TOT ธ.กรุงไทย เป็นต้น แบบนี้ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพราะเป็นบริษัท) ส่วนองค์การมหาชน (ซึ่งมักไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรเหมือนรัฐวิสาหกิจ) จะไม่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แม้จะระบบการบริหารจะไม่อยู่รูปแบบราชการก็ตาม เมื่อพูดถึงภาษีทั้งกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทและบริษัทนิติบุคคล เชื่อว่าหลายบริษัทที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ หรือที่ดำเนินการมาสักระยะ เริ่มมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาจจะกังวลว่าต้องเสียภาษีแล้วหรือยัง และต้องเสียภาษีอะไรบ้าง ซึ่ง ภาษีบริษัท ที่กิจการต้องรู้จักและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาทีหลังคือ – ภาษีเงินได้ – ภาษีมูลค่าเพิ่ม – ภาษีหัก ณ ที่จ่าย – ภาษีธุรกิจเฉพาะ – อากรแสตมป์ ดังนั้น วันนี้เรามาทำความรู้จักกับภาษีบริษัท เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำบัญชี และการยื่นภาษีแก่สรรพากร ภาษีเงินได้ภาษีเงินได้ ตามหลักเกณฑ์มีอยู่ 2 แบบ คือ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” และ “ภาษีเงินได้นิติบุคคล” ซึ่งแตกต่างกันดังนี้ 1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีสำหรับกิจการประเภท “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” เป็นภาษีเงินได้สำหรับกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เจ้าของจะต้องยื่นแบบฯ และเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดา ซึ่งมีวิธีการคำนวณ 2 แบบ คือ – (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย วิธีนี้ใช้สำหรับรายได้ที่ไม่ถึง 1 ล้านบาทต่อปี – รายได้ x 0.5% วิธีนี้จะใช้สำหรับรายได้ที่เกิน 1 ล้านบาทต่อปี แล้วนำมาเปรียบเทียบทั้ง 2 แบบ หากแบบไหนได้ตัวเลขมากกว่าให้ใช้แบบนั้นยื่นภาษี ทั้งนี้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เจ้าของกิจการต้องยื่นภาษี 2 รอบต่อปี คือ – ยื่นภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90, ภ.ง.ด.91) เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม เป็นการสรุปรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา – ยื่นภาษีกลางปี (ภ.ง.ด.94) เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน เป็นการสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยค่าลดหย่อนบางรายการจะถูกหักเหลือเพียงครึ่งเดียว
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล หากจัดตั้งบริษัทและจดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ภาษีบริษัทที่กิจการต้องรู้จักและทำความเข้าใจคือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีบริษัทที่คำนวณจากกำไรสุทธิที่บริษัทนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องจ่ายหากเข้าเกณฑ์กำหนด ซึ่งวิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) = กำไรสุทธิ แล้วนำกำไรสุทธิที่ได้มาเปรียบเทียบกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยทั่วไปหากเข้าเกณฑ์ SMEs ที่ทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท + รายได้ทั้งปีไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้ภาษีอัตราพิเศษดังนี้ กำไร 300,000 บาทแรก = ยกเว้นภาษี กำไร 300,001 – 3 ล้าน = ภาษี 15% กำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป = ภาษี 20% แต่ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ให้จัดอยู่ในอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป อัตราภาษีจะเท่ากับ 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ทั้งนี้ กิจการมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีนิติบุคคล 2 รอบ ซึ่งประกอบด้วย ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 ลักษณะการใช้งานต่างกันคือ – ภ.ง.ด.51 สำหรับรอบครึ่งปี โดยต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือน แรกของรอบระยะเวลาบัญชี – ภ.ง.ด.50 สำหรับรอบสิ้นปี โดยต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบ ระยะเวลาบัญชี
ภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีบริษัทอันดับต่อมาที่กิจการควรรู้คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่าการซื้อขายและการให้บริการภายในประเทศ รวมถึงสินค้านำเข้า ซึ่งปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% โดยเมื่อใดที่กิจการมีรายได้จากการประกอบธุรกิจเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วัน ในบางรายที่ทำทั้งงานประจำและมีรายได้จากการทำธุรกิจของตนเองด้วย ให้นำแค่รายได้จากธุรกิจมาคิดเท่านั้น และหลังจากจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สิ่งหนึ่งที่เจ้าของกิจการต้องทำคือ ออกใบกำกับภาษีทุกครั้งเมื่อมีการขายสินค้าหรือให้บริการ จะช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นในบริษัท โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นบริษัทใหญ่มีการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่สำคัญภาษีบริษัทรูปแบบนี้ ต้องมีการทำรายงานรายการภาษีซื้อ ภาษีขาย สินค้าคงเหลือ และวัตถุดิบ พร้อมส่งแบบ ภ.พ.30 ยื่นรายงานแก่สรรพากร ภายวันที่ 15 ของเดือนถัดไป แม้ว่าเดือนนั้นๆ จะไม่มีการซื้อขายก็ตาม
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายหลังจากจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ภาษีบริษัทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือภาษาทางการคือ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีบริษัทที่ผู้ประกอบการผู้จ่ายเงินต้องหักไว้ทันทีที่มีการซื้อ หรือจ่ายค่าบริการตามประเภทและอัตราหักที่สรรพากรกำหนด และนำส่งสรรพากรภายในวันที่ 7 ของทุกเดือน อัตราการหักภาษีแตกต่างกันตามประเภทเงินที่จ่ายดังนี้: – ค่าจ้าง และเงินเดือน ต่ำสุด 0% (ตามอัตราก้าวหน้า ภาษีบุคคลธรรมดา) – จ้างทำงานหรือบริการ ต่ำสุด 0% (ตามอัตราก้าวหน้า ภาษีบุคคลธรรมดา) – จ้างรับเหมา ทำของ 3% – จ้างบริการวิชาชีพอิสระ 3% – ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ 5% – ค่าโฆษณา 2% – ค่าขนส่ง 1% การเสียภาษีบริษัทรูปแบบนี้ จะช่วยลดภาระค่าภาษีของผู้มีรายได้ที่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่เมื่อถึงเวลายื่นภาษี ซึ่งใครก็ตามที่ได้รับเงินจากผู้จ่ายที่มีการจดทะเบียนบริษัท จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกคน ถึงแม้เจ้าตัวจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือจดทะเบียนบริษัทเสียภาษีแบบนิติบุคคลก็ตาม
ภาษีธุรกิจเฉพาะภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นภาษีบริษัทประเภทที่จัดเก็บเฉพาะบางธุรกิจที่กฎมายกำหนดไว้พิเศษ เช่น – ธนาคารพาณิชย์ – ธุรกิจค้าขายอสังหาริมทรัพย์ – โรงรับจำนำ -การรับประกันชีวิต – การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ – การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ โดยกิจการต้องยื่นแบบ ภ.ธ.40 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือนถัดไปที่เกิดรายการที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และในกรณีทั่วไปของธุรกิจ เมื่อมีการขายอสังหาริมทรัพย์หรือให้กู้ยืมเงินจะเสียภาษีในอัตรา 3.3% (รวมอัตราภาษีท้องถิ่น) ทั้งนี้ ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีบริษัทที่ผู้ทำธุรกิจในกลุ่มที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นกิจการที่เสียภาษีรูปแบบบุคคลธรรมดา หรือรูปแบบนิติบุคคล ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งสิ้น
อากรแสตมป์อากรแสตมป์ เป็นภาษีบริษัทที่จัดเก็บในรูปของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับปิดบนเอกสารราชการและหนังสือสัญญาต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ลักษณะตราสาร เช่น ตราสารเช่าที่กับโรงเรือน เช่าซื้อทรัพย์สิน จ้างทำของ กู้ยืมเงิน กรมธรรม์ประกันภัย ใบมอบอำนาจ ใบมอบฉันทะสำหรับให้ลงมติในที่ประชุมของบริษัท ค้ำประกัน จำนำ เป็นต้น ในกรณีที่ตราสารนั้นจำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์จำนวนมาก เช่นราคาหลักพันบาท ผู้เสียภาษีสามารถเลือกใช้วิธีเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินแทนการปิดอากรแสตมป์แบบปกติได้ โดยให้ติดต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสาขาใกล้บ้าน พร้อมยื่นแบบคำขอ อ.ส.4 เพื่อชำระค่าอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน
สรุปไม่ว่าจะเป็นภาษีบริษัทประเภทไหน กิจการที่มีหน้าที่เสียภาษีก็ควรจัดการจ่ายให้ตรงตามกำหนดเวลา ที่สำคัญต้องจ่ายให้ครบถ้วนถูกต้องตามอัตราภาษีที่กฎหมายกำหนดด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกสรรพากรตรวจสอบย้อนหลังนั่นเอง และหลังจากทำความเข้าใจภาษีประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว กิจการอาจจะเลือกให้สำนักงานบัญชีเป็นผู้ดูแลบัญชีรายเดือนและนำส่งภาษีแทนกิจการ เพื่อให้มั่นใจว่าภาษีต่างๆของกิจการได้นำส่งสรรพากรอย่างถูกต้องครบถ้วนทันเวลา ก็ได้เช่นกันค่ะ PrevPreviousอยากเลิกกิจการ สำนักงานบัญชีช่วยคุณได้อย่างไร Nextการปิดงบการเงิน คืออะไร ใครต้องทำบ้างNext OUR STORYเรามีชื่อในการช่วยเหลือเจ้าของธุรกิจในเรื่องบัญชีและภาษีเพื่อให้เจ้าของธุรกิจมั่นใจว่าบัญชีและภาษีที่ทำออกมานั้นถูกต้องอีกทั้งเรายังให้คำแนะนำกับเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจที่กำลังเติบโต ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องจำนวนคนหรือเวลาที่มีน้อยกว่าบริษัทระดับ Corporate หรือความรู้ในการบริหารจัดการภาษีซึ่งเราก็มีผู้ตรวจสอบบัญชี CPA คอยให้คำแนะนำกับเจ้าของธุรกิจทุกท่าน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้มีอะไรบ้างผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล. 1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่. 1.1 บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด. 1.2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด. 1.3 ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน. 2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศได้แก่. กิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมีกี่ประเภท อะไรบ้างเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิ. 1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ... . 2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ... . 3. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ... . 4. กิจการที่ดำเนินเป็นทางการค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ ... . 5. กิจการร่วมค้า. ใครบ้างที่ไม่มีหน้าที่ เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ (2) บริษัทจำกัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
ภาษีเงินได้นิติบุคคลเก็บจากที่ใดภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีอากรประเภทหนึ่งที่บัญญัติไว้ ในประมวลรัษฎากร จัดเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีหลักการจัดเก็บที่สำคัญๆ โดยลำดับดังนี้ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
|