การจัดการงานบ้านอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการทำงานบ้านตามลำดับขั้นตอน ซึ่งสามารถสั่งงาน ติดตาม ควบคุม และตรวจสอบการทำงาน จนได้ผลงานที่มีคุณภาพ ช่วยประหยัดทั้งเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในครอบครัว ทักษะการจัดการงานบ้านจึงเป็นการทำงานบ้านด้วยตนเองเพียงคนเดียว หรือการทำงานบ้านร่วมกับสมาชิกในครอบครัวอย่างเป็นระบบ ประณีต และมีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักใช้พลังงานและทรัพยากรในการทำงาน เช่น ไฟฟ้า น้ำ กระดาษ อย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยนำความรู้เรื่อง การจัดการงานบ้านอย่างเป็นระบบและการเขียนแผนการทำงานบ้านมาประยุกต์ใช้กับงานแต่ละงานที่จะทำ Show ๒.๔ การจัดห้องครัว แนวทางที่ 1 การจัดแบบชิดผนังด้านเดียวหรือแบบเส้นตรง นิยมใช้กับบ้านที่มีเนื้อที่จำกัด แนวทางที่ 2 การจัดแบบชิดผนังสองด้านหรือตัวแอล (L) ใช้กับห้องครัวลักษณะแคบและยาว แนวทางที่ 3 การจัดแบบชิดผนังสามด้านหรือแบบตัวยู (U) เหมาะสำหรับห้องครัวที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมด้านเท่า แนวทางที่ 4 การจัดแบบเส้นขนานใช้สำหรับห้องครัวที่มีประตูอยู่ตรงข้ามกัน ๒ ประตู นอกจากนี้ควรมีถังขยะสำหรับใส่เศษอาหารแห้ง อาหารสด และปลักไฟเพื่อใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า การวางแผนทำงานบ้าน คือ การกำหนดแนวปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้า ว่าจะทำอย่างไร ทำเมื่อไร ทำโดยวิธีใด ใครเป็นผู้ทำและกำหนดงานเสร็จเมื่อไร ขั้นตอนการวางแผนทำงานบ้าน ก่อนทำงานบ้านควรวางแผนเป็นลำดับขั้นจะช่วยให้ทำงานได้สะดวก รวดเร็ว เรียบร้อยและมีคุณภาพ ซึ่งมีขั้นตอนในการวางแผนทำงานบ้าน ดังนี้ 1) รวบรวมงาน แจกแจงรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาการทำงาน ประเภทของงานบ้าน งานประจำวัน งานประจำสัปดาห์ งานประจำเดือน งานทำอาหาร – เตรียมและประกอบอาหาร – จัดโต๊ะอาหาร – ล้างภาชนะเครื่องใช้ในการรับประทานอาหาร – ทำความสะอาดตู้กับข้าว – ทำความสะอาดตู้เย็น งานซักรีด ซ่อมแซม ดัดแปลงเสื้อผ้า – ซักผ้า – เก็บพับเสื้อผ้า – รีดผ้า – จัดตู้เสื้อผ้า – ซักผ้าปูที่นอน – ซักปลอกหมอน – ซักผ้าห่ม งานทำความ สะอาดเครื่องเรือน เครื่องใช้ในบ้าน – ทำความสะอาดโต๊ะอาหาร – ทำความสะอาดเตาแก๊ส – ทำความสะอาดพัดลม – ทำความสะอาดเครื่องใช้อื่น ๆ เช่น เครื่องกรองน้ำตู้หนังสือ – ทำความสะอาด มุ้งลวด จัดตกแต่งบ้าน และดูแลบริเวณ บ้าน – เก็บที่นอน – ปัดกวาด เช็ดถูพื้นห้องทุกห้อง – รดน้ำต้นไม้ – ทำความสะอาดห้องน้ำ – ทำความสะอาดห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน – ปัดกวาดหยากไย่ – ตัด ตกแต่งกิ่งไม้ – ตัดหญ้า งานเลี้ยงดูเด็กและคนชรา – จัดให้รับประทานอาหาร – ดูแลความสะอาดร่างกาย – ดูแลตู้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย – พูดคุยให้เกิดความบันเทิง – สระผม – ตัดเล็บ – พาไปพักผ่อน นอกสถานที่ งานดูแลสัตว์เลี้ยง – ให้อาหาร – ทำความสะอาดร่างกาย – ตรวจโรค 2) เขียนแผนการทำงาน เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมมาเขียนเป็นแผนการปฏิบัติงาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ แผนการปฏิบัติงานประจำวัน แผนการปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ และแผนการปฏิบัติงานประจำเดือน การเขียนแผนการปฏิบัติงานต้องกำหนดหัวข้อที่สำคัญ ดังนี้ 2) เขียนแผนการทำงาน เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมมาเขียนเป็นแผนการปฏิบัติงาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ แผนการปฏิบัติงานประจำวัน แผนการปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ และแผนการปฏิบัติงานประจำเดือน การเขียนแผนการปฏิบัติงานต้องกำหนดหัวข้อที่สำคัญ ดังนี้รูปแบบการสอนภาษาอังกฤษ ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษได้มีวิวัฒนาการ และมีทฤษฎีการสอนหลากหลายวิธี ที่ครูจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมนำไป ดัดแปลงใช้สอนนักเรียนแต่ละคน ดังวิธีสอนต่อไปนี้ 1. วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล (Grammar Translation )
1.3 ครูเน้นทักษะการอ่าน และการเขียน เป็นวิธีการสอน ที่เน้นทักษะการฟัง และพูดให้เกิดความเข้าใจก่อน แล้วจึงฝึกทักษะการอ่านและการเขียนโดยมีความเชื่อว่า เมื่อนักเรียนสามารถฟังและพูดได้แล้ว ก็สามารถอ่านและเขียนได้ง่าย และเร็วขึ้น ไม่เน้นไวยากรณ์กฎเกณฑ์มากนัก บทเรียนส่วนใหญ่เป็นกิจกรรสนทนา นักเรียนได้ใช้ภาษาเต็มที่ ลักษณะเด่น 3. วิธีสอนแบบฟัง-พูด (Audio – Lingual Method)
4. วิธีการสอนตามทฤษฏีการเรียนแบบความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Code Learning theory)
4.2 ครูสอนเนื้อหาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างของนักเรียน ที่มีความสามารถในทักษะฟังพูดอ่านเขียนที่แตกต่างกัน 5. วิธีสอนตามเอกัตภาพ (Individualized Instruction)
5.1 การสอนเปลี่ยนจากครูเป็นหลัก เป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 6. วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response Method)
6.3 ภาษาที่นำมาใช้ในการสอนเน้นที่ภาษาพูด เรียนเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์ และคำศัพท์มากกว่าด้านอื่นๆ โดยอิงอยู่กับประโยคคำสั่ง 7. วิธีการสอนแบบอภิปราย (Discussion Method)
8. วิธีการสอนแบบโครงการ (Project Method)
9. วิธีสอนภาษาแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Community Language Learning)
10. วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative Approach)
11. โปรแกรม CIRC (Cooperative Intergrated Reading and Composition)
12.การจัดการเรียนการสอนแบบ 4 MAT
ผู้เรียนแบบที่ 1 (Type 1) เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมผ่านการสังเกตแล้วคิดอย่างไตร่ตรองจัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนถนัดจินตนาการ (Imaginative Learner) เขาจะพยายามค้นหาความหมายในสิ่งที่เรียนรู้ มักชอบถามว่าทำไม (Why) ผู้เรียนแบบที่ 2 (Type 2) เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมผ่านการคิดอย่างไตร่ตรองจนเกิดเป็นมโนทัศน์จัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learner) มักชอบถามว่าอะไร (What) ผู้เรียนแบบที่ 3 (Type 3) เรียน รู้จากการรับรู้มโนทัศน์ แล้วนำมโนทัศน์มาผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนถนัดการใช้สามัญสำนึก (Common Sense Learner) มักชอบถามว่าอย่างไร (How) ผู้เรียนแบบที่ 4 (Type 4) เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจนเกิดประสบการณ์ซึ่งตนเองยอมรับได้ จัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนยอมรับการเปลี่ยนแปลง (Dynamic Learner) มักชอบถามว่า ถ้า…แล้ว (If…then…) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 1 การ นำเสนอประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับผู้เรียน ขั้นตอนนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรื่องที่เรียน ค้นพบเหตุผลของตนเองว่าทำไมต้องเรียนเรื่องนั้น แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ ขั้นตอนที่ 2 การเสนอเนื้อหา สาระ ข้อมูลแก่ผู้เรียน ขั้นนี้เป็นการเชื่อมโยงการเรียนรู้จาก ขั้น 1.2 มาสู่การสร้างมโนทัศน์เพื่อตอบคำถามให้ได้ว่าสิ่งที่เรียนนั้นคืออะไร แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ ขั้นตอนที่ 3 การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนามโนทัศน์ เป็นการพัฒนามโนทัศน์มาสู่การปฏิบัติจริง เป็นการหาคำตอบว่าจะทำได้อย่างไร แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ ขั้นตอนที่ 4 การ นำความคิดรวบยอดไปสู่การประยุกต์ใช้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ เกิดจากการลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะนำไปใช้ในชีวิตจริงแล้วเป็นอย่างไร แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ คำอธิบายเกี่ยวกับความสามารถในการทำงานของสมอง 13. การจัดการเรียนการสอนแบบStory line
ลักษณะเด่นของวิธีสอน 1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ 2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้ 3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความ รู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning) 4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) 5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้ 6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้ บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์ บทบาทของครู 1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่
2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น
3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented) 4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary) 5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้ 6.เป็นผู้ริเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่นเต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น การวางแผนการทำงานบ้านมีขั้นตอนอะไรบ้าง1. ปฏิบัติงาน - ติดตามและปรับปรุงแก้ไข - นำเสนอผลงาน 2. ปฏิบัติงาน - จัดทำแผนการทำงาน - ประเมินงาน - สรุปงาน 3. วิเคราะห์งาน - ปฏิบัติงาน -จัดทำแผนการทำงาน - ปรับปรุงแก้ไข 4. วิเคราะห์งาน - จัดทำแผนการทำงาน - ปฏิบัติงาน - ติดตามและปรับปรุงแก้ไข
การวางแผนการทำงานบ้านมีประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างไรประโยชน์ของการวางแผนก่อนทำงาน มีดังนี้ ๑. ช่วยให้ผู้ที่รับผิดชอบในงานทราบล่วงหน้าว่าจะต้องทำงานใด เมื่อใด ทำให้สามารถทำงานที่รับผิดชอบได้ครบทุกรายการ รวมทั้งช่วยให้งานสำเร็จตามเป้าหมายได้เร็วขึ้น ๒. ฝึกนิสัยในการคิดล่วงหน้า มีเหตุผลและรอบคอบ ๓. เป็นวิธีการปลูกฝังความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นกับสมาชิกในบ้าน
ขั้นตอนแรกของการวางแผนทำงานบ้านคือข้อใดก่อนทำงานบ้านควรวางแผนเป็นลำดับขั้นจะช่วยให้ทำงานได้สะดวก รวดเร็ว เรียบร้อยและมีคุณภาพ ซึ่งมีขั้นตอนในการวางแผนทำงานบ้าน ดังนี้ 1) รวบรวมงาน แจกแจงรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาการทำงาน ประเภทของงานบ้าน งานประจำวัน
งานบ้านมีลักษณะอย่างไรงานบ้านแบ่งออกตามลักษณะงานได้เป็น ๔ ประเภท ดังนี้ ๑. งานอาหาร เช่น ช่วยประกอบอาหารสําหรับครอบครัว ๒. งานเสื้อผ้า เช่น การซักรีดเสื้อผ้า ๓. งานทําความสะอาดบ้านและบริเวณบ้านช่วยกันทําความสะอาดห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน และบริเวณบ้าน ๔. งานเลี้ยงดูและบริการบุคคลภายในบ้าน เช่น ดูแลช่วยเหลือญาติผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยหรือ ช่วยพ่อ ...
|