ทุกๆ 1 ชั่วโมง คนไทยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันประมาณ 6 คน หรือเท่ากับเสียชีวิตมากถึง 54,000 คนต่อปี ภาวะหัวใจหยุดเต้นถือเป็น “ภัยเงียบ” ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ โดยไม่จำกัดอายุและไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้า หากพบคนที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เรามีเวลาเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยการทำ
CPR (ปั๊มหัวใจผายปอดกู้ชีพ) เพราะทันทีที่หัวใจหยุดทำงาน เลือดจะไม่ถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองทำให้สมองตายเนื่องจากขาดเลือดและออกซิเจน การทำ CPR ไม่ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งที่สำคัญคือผู้ช่วยเหลือต้องไม่ตื่นเต้นตกใจ แล้วทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทักษะการทำ CPR จึงสำคัญ
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันกว่า 54,000 คน หรือเฉลี่ยแล้วเท่ากับเสียชีวิตประมาณ 6 คน ทุกๆ 1 ชั่วโมง ในทางการแพทย์ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันถือเป็น “ภัยเงียบ” ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ปรัชญา โสภา หนุ่มวัยยี่สิบปลาย เคยหัวใจหยุดเต้นขณะวิ่ง โดยปกติเขาเป็นคนสุขภาพแข็งแรงและซ้อมวิ่งระยะ 5-10 กิโลเมตรอย่างสม่ำเสมอ เฉลี่ย 3 วันต่อสัปดาห์ แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในเช้ามืดวันหนึ่งของการแข่งขันมินิมาราธอนที่ จ.อยุธยา ปรัชญา โสภา นักวิ่งอายุ ที่เคย ‘หัวใจหยุดเต้น’ – ภรรยาและลูกสาว “ประมาณกิโลเมตรที่สาม มันเหมือนจะขาดใจครับ แต่ไม่คิดว่าผิดปกติอะไร ทีนี้ผมก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มอยู่ตัว ไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว จำได้ว่าวิ่งไปสักพักภาพก็ตัดเลย” ปรัชญาเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 โชคดีในครั้งนั้นคนที่วิ่งตามหลังเขามาคือ พงษ์ศักดิ์ อุบลวรรณี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ซึ่งมีความรู้เรื่องการทำ CPR “พี่ก็ปั๊มไปตามรอบ ขณะที่ปั๊มหน้าเริ่มเขียวแล้ว มีน้องอีกคนหนึ่งที่เป็นนักวิ่งด้วยกันคอยช่วยอยู่ข้างๆ แล้วหน่วยกู้ชีพก็มา ใช้เครื่อง AED ช่วยคนไข้จนหัวใจเริ่มกลับมาเต้น” พงษ์ศักดิ์เล่า พงษ์ศักดิ์ อุบลวรรณี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ‘ผู้ช่วยชีวิต’ นักวิ่งที่หัวใจหยุดเต้น ปรัชญารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล เขาบอกว่า “เหมือนได้โอกาสที่สอง” และนึกไม่ออกเลยว่าหากวันนั้นเขาเสียชีวิตไปจริงๆ ภรรยากับลูกสาวอีก 2 คนที่ยังเล็กอยู่ทั้งคู่ จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร แต่การรอดชีวิตของปรัชญาถือว่าเป็นส่วนน้อย เมื่อเทียบกับสถิติการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันของคนไทยที่ได้กล่าวไปข้างต้น ถ้าทำ CPR พร้อมกับใช้เครื่อง AED สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ 10 เท่า CPR เป็นการกดนวดหัวใจเพื่อกระตุ้นอัตราการไหลเวียนของเลือด ส่วนการผายปอดคือการช่วยเติมออกซิเจนเข้าไป แต่ไม่ได้ทำให้หัวใจกลับมาทำงาน ดังนั้น AED หรือเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจจึงมีความสำคัญ เพราะการทำงานของเครื่อง AED คือปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุกหัวใจของผู้ป่วยให้กลับมาเต้นอีกครั้ง “ในกลุ่มคนไข้ที่หมดสติแล้วมีภาวะหัวใจหยุดเต้น การทำ CPR อย่างเดียวอัตราการรอดชีวิตจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้เครื่อง AED ร่วมด้วยอัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 10 เท่า” ผศ.นพ.นครินทร์ ศิริทรัพย์ หนึ่งในกรรมการดำเนินงานโครงการกระตุกหัวใจเพื่อคนไทยทุกคน อธิบาย ผศ.นพ.นครินทร์ ยังกล่าวอีกว่า มีโรคหลายโรคที่ทางการแพทย์พยายามป้องกัน เช่น โรคหัวใจ บางชนิดสามารถตรวจทราบสาเหตุได้ แต่บางชนิดก็ไม่อาจทราบ เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติมีมากมาย โรคเหล่านี้ถือเป็น “ภัยเงียบ” ดังนั้นแม้ผู้ป่วยจะดูแลสุขภาพอย่างดี ออกกำลังกายดี โรคเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนเครื่อง AED ในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด นอกจากนั้นคนไทยส่วนใหญ่ก็ยังขาดความเข้าใจวิธีการทำ CPR และใช้เครื่อง AED ทำให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์คนแรกๆ ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลา รู้ไว้ ไม่ได้ใช้ ดีกว่าต้องใช้…แล้วไม่รู้ สำหรับแฟนข่าวเวิร์คพอยท์ที่ต้องการเรียนรู้วิธีการทำ CPR และใช้เครื่อง AED เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน สามารถเลื่อนขึ้นไปชมคลิปสาธิตที่ด้านบนซึ่งอธิบายไว้โดย พว.พนมกรณ์ แสงอรุณ พยาบาลวิชาชีพแผนกฉุกเฉิน ฟังง่ายๆ แต่ละเอียดและครบทุกขั้นตอนภายใน 4 นาที การกดหน้าอกเพื่อช่วยฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้องมีความสําคัญอย่างไรการทำ CPR เป็นวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อช่วยคืนชีวิตให้กับผู้ป่วย โดยผสมผสานระหว่าง การผายปอด เพื่อช่วยเพิ่มอากาศเข้าไปในปอด การกดหน้าอกบนตำแหน่งหัวใจ เพื่อช่วยให้หัวใจปั๊มเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนส่งต่อออกซิเจนไปยังอวัยวะต่าง ๆ
การ CPR ต้องปั๊มหัวใจกี่ครั้งต่อการผายปอดกี่ครั้งให้ปั๊มหัวใจ 30 ครั้งในอัตราความเร็ว 100 ครั้งต่อนาที โดยปล่อยให้หน้าอกยกขึ้นก่อนค่อยปั๊มใหม่ในแต่ละครั้ง หลังจากนั้นให้สังเกตว่าผู้ป่วยเริ่มกลับมาหายใจแล้วหรือไม่ และจึงปั๊มหัวใจไปเรื่อย ๆ จนกว่าหน่วยฉุกเฉินจะเดินทางมาถึง
วิธีกดหน้าอกที่ถูกต้อง ผู้ช่วยเหลือต้องวางมืออย่างไรวิธีกดหน้าอกที่ถูกต้อง ผู้ช่วยเหลือต้องวางมืออย่างไร แขนเหยียดตรง ออกแรงกดที่ฝ่ามือ แขนงอเล็กน้อย ออกแรงกดที่ฝ่ามือ แขนเหยียดตรง ทิ้งน้ำหนักลงบนแขน
การกดหน้าอกต้องกดหน้าอกติดต่อกันเป็นเวลาเท่าใด จึงจะประเมินผู้ป่วยอีกรอบเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้งสลับกับกดหน้าอก 15 ครั้งไปอย่างน้อยสี่รอบแล้วหยุดประเมินผู้หมดสติอีกครั้ง ถ้ายังไม่รู้ตัว ไม่หายใจ ไม่เคลื่อนไหว ก็เป่าลมเข้าปอดสลับกับกดหน้าอกต่อไปอีกคราวละ 4 รอบ จนกว่าผู้หมดสติจะรู้ตัว หรือ จนกว่าความช่วยเหลือที่เรียกไปจะมาถึง
|