ตัวแปรสตริง (String) ตัวแปร string หรือแถวตารางอาเรย์ของตัวหนังสือนั้น ภาษา C ไม่มีกลไกที่จะสนับสนุนได้โดยตรง ถ้าต้องการให้ภาษา C สามารถรองรับข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือแล้ว จะต้องมีการเตรียมพื้นที่หน่วยความจำให่เหมาะสมหรือการใช้สตริงค่าคงที่ (strong constant) ซึ่งจะทำให้โปรแกรมภาษา C เข้าถึงข้อมูลสตริงซึ่งจะเป็นทั้งข้อมูลที่เข้ามาในโปรแกรมและเปป็นข้อมูลที่ออกจากโปรแกรมได้ Show โดยทั่วไปแล้วโปรแกรมภาษา C จะสนับสนุนข้อมูลที่เป็นอักษรโดยกำหนดให้อักษรแต่ละตัว ในรูปแบบตัวแปรประเภท char และข้อมูลสตริงนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา C จะถือว่าเป็นชุดข้อมูลตัวหนังสือที่เรียงกันตามลำดับ ขณะที่โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา C++ จะถือว่าสตริงเป็นตารางอาเรย์ข้อมูลประเภทตัวหนังสือ (Array of char) โดยตัวหนังสือจะอยู่ในตารางแต่ละช่อง และ ณ ตำแหน่งสิ้นสุดของตารางอาเรย์ที่เก็บตัวแปรสตริงนั้นจะมีสัญลักษณ์ “{PBODY}” (ตัวสิ้นสุดสตริง หรือ ตัว NULL) บรรจุอยู่ ดังนั้น ในการเตรียมเนื้อที่สำหรับตัวแปรสตริงที่ประกอบด้วยตัวหนังสือ n ตัวนั้นจะต้องเตรียมตารางไดนามิกขนาด n+1 ช่องเสมอ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 1) ตัวหนังสือ ‘a’ เป็นตัวแปร char จะใช้เนื้อที่ 1 ไบต์ แต่ “a” เป็นตัวแปร string แล้ว จะต้องใช้เนื้อที่ขนาด 2 ไบต์เพื่อจุตัวอักษร ‘a’ และ ตัวสิ้นสุดสตริง ({PBODY}) ถ้าต้องการทำอะไรกับตัวแปรสตริงแล้วให้เรียกใช้เฮดเดอร์ไฟล์ string.h ซึ่งเป็นไลบรารีไฟล์มาตรฐานสำหรับจัดการกับตัวแปรสตริง เราสามารถตั้งค่าเริ่มต้นให้ตัวแปรสตริงได้ 2 วิธีหลักคือ S1 |E|x|a|m|p|l|e|{PBODY}| ทั้งนี้เนื่องจากการเตรียมพื้นที่ขนาด 8 ช่องตาราง โดย 7 ช่องตารางแรกเก็บตัวหนังสือ และ ข้อมูลช่องสุดท้ายเก็บตัวสิ้นสุดสตริง char S2[20] = “Another Example”; ซึ่งภายในตัวแปรประกอบด้วย S2 |A|n|o|t|h|e|r| |E|x|a|m|p|l|e|{PBODY}||?|?|?|?| ทั้งนี้เนื่องจากการเตรียมพื้นที่ขนาด 20 ช่องตาราง แต่ใช้จริง 16 ช่อง คือตัวหนังสือ 15 ช่องและ ช่องที่ 16 เก็บตัวสิ้นสุดสตริง การตั้งต้นตัวแปรสตริง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ถือว่าเป็นการตั้งต้นตัวแปรสตริงที่ถูกต้อง ดังนั้น สิ่งที่เกี่ยวข้องสตริงสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้ ตัวอย่างการใช้ตัวแปรสตริงจะแสดงให้เห็นดังนี้ #include ผลที่ได้การเขียนโปรแกรมเติมชื่อและนามสกุลจะแสดงให้เห็นในภาพที่ 7.1 การใช้งานตัวแปรสตริงนั้นมีหลักการดังนี้ char str1[6] = “Hello”; ตัวแปรสตริงแต่ละตัวถือว่าเป็นตัวแปรคงที่ ดังนั้นจึง Assign ค่าแทนกันเช่นตัวอย่างต่อไปนี้ไม่ได้ Str1 = Str2; // ห้ามทำเช่นนี้กับตัวแปรสตริง เพราะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็น วิธี Assign ตัวแปรสตริงโดยใช้ตัวแปรพอยเตอร์ เข้าช่วย char *S1 = “Hello”, *S2 = “Goodbye”; // ตัวแปร S1 และ S2 แก่ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อีกตัวอย่างในการ Assign ตัวแปรสตริงสามารถแสดงให้เห็นดังนี้ อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลสตริงในตารางมีเงื่อนไขว่า - ตารางอาเรย์ที่ทำหน้าที่เป็นสตริงจะต้องปิดท้ายด้วย ‘{PBODY}’ เสมอ มิฉะนั้นตัวแปรอาเรย์ที่ทำหน้าที่เป็นสตริงจะไม่มีจุดสิ้นสุดสตริง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวแปรสตริงโดยใช้ไดนามิกอาเรย์นั้นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะตารางไดนามิกส์นั้นต้องเตรียมพื้นที่ให้ ตัวสิ้นสุดสตริง (NULL) มิฉะนั้นโปรแกรมจะพิมพ์ข้อมูลสตริงออกมาผิดไปจากที่ต้องการ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ char *s; กรณีที่ใช้คำสั่ง strlen เพื่อหา ขนาดอาเรย์ก่อนทำ Dynamic allocation (malloc) นั้น พึงรับทราบว่า คำสั่ง strlen จะมีขนาดเพียงพอสำหรับตัวจำนวนอักษรที่ใช้ในตัวแปรสตริงเท่านั้น แต่ไม่ได้นับตัวแปร NULL ที่ใช้กำหนดจุดสิ้นสุดของสตริงด้วย โดยที่รายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่ง strlen จะกล่าวถึงในตอนต่อไป การกำหนดค่าให้ตัวแปรสตริง (String Assignment) ตัวอย่างการกำหนดค่าให้ตัวแปรสตริง char s[5]="SIIT"; // ใช้ได้, กำหนดค่าตัวแปรสตริงให้ตัวแปรอาเรย์ ข้อควรจำคือ: ต้องเตรียมพื้นที่หน่วยความจำไว้ให้พร้อมก่อนการกำหนดค่าให้ตัวแปรสตริงมิฉะนั้นอักษรบางตัวก็จะแหว่งหายไป ตัวแปรสตริงนั้นจะใช้ %s เป็นตัว place holder ขณะที่ใช้คำสั่ง sscanf ในการอ่านข้อมูลจำพวกสตริงแล้วจัดการแปลงข้อมูลให้อยู่รูปตามที่กำหนด ดังตัวอย่างต่อไปนี้ int sscanf( const char *buffer, const char *format [, argument ] ... ); char ch, int inum, float fnum; char buffer[100] = “A10 50.0”; sscanf(buffer,”%c%d%f”,&ch,&inum,&fnum);/* puts ‘A’ in ch, 10 in inum and 50.0 in fnum */ sscanf(" 85 96.2 hello","%d%.3lf%s",&num,&val,word); // results: num=85, val = 96.2, word = "hello" int sprintf( char *buffer, const char *format [, argument] ... ); ถ้าต้องการแปลงตัวเลขให้เป็นข้อมูลสตริงให้ใช้ฟังก์ชัน sprintf และ ตัวแปรดัชนี้ char ทำตามคำสั่งต่อไปนี้ int sscanf(char *buffer, const char *format [, argument ] ... ); ต่อไปนี้คือตัวอย่างการใช้ sprintf กับ sscanf เมื่อเปรียบเทียบกับ printf #include ข้อทบทวน: ภาษาซี มีฟังก์ชันที่ใช้ดัดแปลงแก้ไขตัวแปรสตริง หลายแบบตามความต้องการของผู้ใช้ได้แก่: strlen(str) – คำนวณความยาวสตริง ซึ่งจะมีการนับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบตัวแปร NULL ถึงจะหยุดโดยไม่มีการนับตัวแปร NULL ที่สิ้นสุดประโยคเข้าไปด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้ char str1 = “hello”;strlen(str1) จะคืนค่าออกเป็น 5 เพราะ มีอักษร 5 ตัว strcpy(dst,src) – ก็อปปี้ข้อมูลจากตัวแปรสตริง src พร้อมตัวสิ้นสุดสตริง NULL ไปที่ตัวแปรสตริง dst แต่มีเงื่อนไขว่าตัวแปร des ต้องได้รับการเตรียมพื้นที่ให้ใหญ่พอๆกับตัวแปร src และการเตรียมพื้นที่ ให้ ตัวแปร src และ ตัวแปร dst ต้องไม่ทับซ้อนกันมิฉะนั้นจะให้ผลที่คาดเดาไม่ได้ การประกาศใช้ฟังก์ชัน strcpy จะทำได้ดังนี้ char *strcpy(char *dst, char *src) strncpy(dst,src,n) – ก็อปปี้ข้อมูลจากตัวแปรสตริง src โดยไม่ก๊อปปี้ตัวสิ้นสุดสตริง NULL ไปที่ตัวแปรสตริง dst เนื่องจากมีจำนวนตัวอักษร n เป็นตัวจำกัดไว้ แต่มีเงื่อนไขว่าตัวแปร des ต้องได้รับการเตรียมพื้นที่ให้ใหญ่พอๆกับตัวแปร src และการเตรียมพื้นที่ ให้ ตัวแปร src และ ตัวแปร dst ต้องไม่ทับซ้อนกันมิฉะนั้นจะให้ผลที่คาดเดาไม่ได้ การประกาศใช้ฟังก์ชัน strncpy จะทำได้ดังนี้ char *strncpy(char *dst, char *src, int n) strcmp(str1,str2) – เปรียบเทียบข้อมูลในตัวแปร str1 กับข้อมูลในตัวแปรสตริง str2 โดยใช้อักษรตัวแรกที่เริ่มต่างกันเป็นหลักซึ่งให้ผลดังนี้ น้อยกว่า 0 -- ถ้าค่า ASCII ที่เริ่มแตกต่างใน str1 มีขนาดเล็กกว่า str2 หรือ str1 เริ่มต้นเหมือนกับ str2 แต่ str2 นั้นมีตัวอักษรมากกว่า การประกาศใช้ฟังก์ชัน strcmp จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ int strcmp(char *str1, char *str2) strncmp(str1,str2,n) – เปรียบเทียบข้อมูลในตัวแปร str1 กับข้อมูลในตัวแปรสตริง str2 เป็นจำนวนอักษร n ตัวโดยใช้อักษรตัวแรกที่เริ่มต่างกันเป็นหลัก และ จะมีการเปรียบเทียบในกรณีที่อักษรในตัวแปรมีจำนวนน้อยกว่า n การประกาศใช้ฟังก์ชัน strncmp จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ int strncmp(char *str1, char *str2,int n) ความแตกต่างระหว่าง strcmp และ strncmp จะแสดงให้เห็นดังตัวอย่างต่อไปนี้ strcmp(“some diff”,”some DIFF”) strcat(str1,str2) – ใช้ในการนำข้อมูลในตัวแปร str2 ไปต่อท้ายตัวแปร str1 ซึ่งจะคืนค่าเป็น str1 ที่ได้รับการต่อให้ยาวขึ้น ตัวอย่างเช่น char *s1 = “C. “, *s3 = strcat(s1,“Sinthanayothin”); การประกาศใช้ฟังก์ชัน strcat จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ char* strcat(char *s1, const char* s2); char s1[10] = "IT "; การประกาศใช้ฟังก์ชัน strncat จะทำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ char* strncat(char *s1, const char* s2ม int n); ฟังก์ชันเหล่านี้มีอยู่ในไลบรารีเฮดเดอร์ไฟล์ string.h ซึ่งต้องใช้คำสั่ง #include ถึงจะเรียกใช้ได้ เราสามารถสร้างตารางอาเรย์ให้ตัวแปรสตริง (Array of string) ดังตัวอย่างต่อไปนี้ char month[12][10] = {“January”, “February”, “March”, “April”, “May”, “June”, “July”, “August”, “September”, “October”, “November”, “December” }; แต่ถ้าต้องการให้ตารางอาเรย์สำหรับตัวแปรสตริง สามารถรองรับข้อมูลสตริงที่มีความยาวต่างกัน (Ragged array of string) ให้ดังนี้ ตัวอย่างตารางอาเรย์ให้ตัวแปรสตริงแสดงวันทั้ง 7 แบบ Ragged array of string จะแสดงให้เห็นในตัวอย่างต่อไปนี้ Char กับ String ต่างกันยังไง Java1. ตัวแปร char เก็บข้อมูลตัวอักษร 1 ตัว ส่วน string เก็บตัวอักษรมากกว่า 1 ตัวรวมกันเป็นข้อความ 2. ตัวแปร char ใช้ single quote ( ' ' ) คลุมตัวอักษร เช่น 'D' ส่วน string ใช้ double quote ( “ ” ) คลุมข้อความ เช่น “Hello World”
Char กับ character ต่างกันอย่างไรJava Character Class ในการประกาศตัวแปรชนิด char หรือ Character เราสามารถใช้ได้ทั้งตัวแปรพื้นฐานที่ประกาศด้วย char หรือจะเป็นตัวแปร Object ที่อยู่ใน Class ของ Character โดยทั้ง 2 ตัวนี้มีรูปแบบจัดเก็บที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ Character เป็น Object และสามารถนำตัวแปรนั้น ๆ ไปทำอย่างอื่นได้อีก เช่น การเรียกใช้ ...
String หรือ สายอักขระ คือข้อใดในการเขียนโปรแกรม สายอักขระ หรือ ข้อความ หรือ สตริง (อังกฤษ: string) คือลำดับของอักขระที่อาจจะเป็น literal หรือตัวแปรก็ได้ สำหรับในกรณีที่เป็นตัวแปร ส่วนใหญ่สายอักขระก็จะสามารถเปลี่ยนอักขระในตัวของมันได้ ในบางภาษาโปรแกรมสายอักขระสามารถเปลี่ยนความยาวของสายอักขระได้ด้วย ในขณะที่บางภาษาจะกำหนดให้ความยาวของสายอักขระคงที่ ...
String คือค่าอะไร6. ข้อมูลชนิดข้อความ (String) เป็นข้อมูลแบบตัวอักษรที่มีความยาวมากกว่า 1 ตัวอักษร มาเรียงต่อกันเป็นข้อความ โดยที่ข้อความนั้นจะต้องถูกเขียนไว้ในเครื่องหมาย " " (Double Quote) ตัวอย่างเช่น "Phitsanulok", "Welcome" เป็นต้น
|