ทำไมความรับผิดชอบต่อสังคมจึงสำคัญยิ่งกว่าเดิมในยุค New Normal คำตอบคือ เมื่อเทคโนโลยีเจริญรุดหน้า สังคมของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในชุมชนหรือประเทศเท่านั้น แต่เชื่อมต่อกันจนเป็นสังคมโลก จากการระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นว่า โรคติดต่อนี้เดินทางไปพร้อมๆ กับผู้คน สู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก จากเอเชีย สู่ ยุโรป จากยุโรป สู่ อเมริกา ผู้คนสัญจรไปมาหาสู่กันจำนวนมาก จนเราไม่อาจหาที่มาของโรคนี้ได้อย่างแน่ชัด Show จากเหตุการณ์นี้ทำให้โลกต้องปรับเปลี่ยน ผู้คนต้องปรับวิถีชีวิตใหม่ จนเกิดเป็นคำว่า New Normal ขึ้นมา แต่คำๆ นี้จะไม่มีประโยชน์เลย หากคนๆ หนึ่งขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ในขณะที่ประเทศของเราเริ่มควบคุมการระบาดของโรคได้ดีขึ้นแล้ว สมมติว่ามีคนๆ หนึ่ง เกิดติดเชื้อ Covid-19 ขึ้นมาแต่ปกปิด เพราะคิดว่าจะหายได้เอง ไม่ระมัดระวังป้องกัน ยังคงไปเที่ยว กินอาหาร ใช้ชีวิตปกติ เพราะเขาคิดว่าใครจะติดก็ไม่เห็นเป็นไร สุดท้ายก็หายได้เองทุกคน จนทำให้เกิดการระบาดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะคำว่า ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม คำเดียว ไม่เพียงเท่านั้น โลกที่เชื่อมโยงกันผ่านระบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโซเชียล มีเดีย ต่างๆ การส่งข้อความหรือแสดงความคิดเห็น ทำได้อย่างรวดเร็วเพียงปลายนิ้วคลิ๊ก จะเกิดอะไร หากคนๆ หนึ่งขาดความรับผิดชอบต่อสังคม และนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ ใช้สื่อออนไลน์ที่ทำให้เกิดผลเสียต่อคนส่วนใหญ่ เราในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครอง คงไม่อยากให้ลูกของเรา เป็นคนๆ นั้น คนที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม…จนทำให้สังคมเดือดร้อน ใช่ไหมคะ? สอน New Normal ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบต่อสังคม สอนความเห็นอกเห็นใจ เริ่มจากรับผิดชอบตัวเอง มองภาพรวมของสิ่งต่างๆ ตัวอย่างที่ดี…มีความสำคัญ
การกระทำหรือการแสดงพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นไปตามความคาดหวังตามตำแหน่งในอาชีพหรือตำแหน่งที่สังคมกำหนดขึ้น ซึ่งโครงสร้างของบทบาทประกอบด้วย ลักษณะที่เฉพาะของแต่ละบุคคล การแสดงพฤติกรรมและตำแหน่งที่ครองอยู่ หรือพฤติกรรมที่คนในสังคมต้องทำตามสถานภาพในกลุ่มหรือสังคม หน้าที่ (DUTY) หมายถึง ภาระรับผิดชอบของบุคคลที่จะต้องปฏิบัติ เช่น หน้าที่ของบิดาที่มีต่อบุตร เป็นต้นความสอดคล้องของสถานภาพและบทบาทของบุคคลที่มาของหน้าที่ ก. บุตรธิดาพึงบำรุงมารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า ดังนี้ 1) ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ 2) ช่วยทำการงานของท่าน 3) ดำรงวงศ์สกุล 4) ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท 5) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ข. บิดามารดาย่อมอนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้ 1) ห้ามปรามจากความชั่ว 2) ให้ตั้งอยู่ในความดี 3) ให้ศึกษาศิลปวิทยา 4) หาคู่ครองที่สมควรให้ 5) มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันสมควร2. ทักขิณทิศ (ทิศเบื้องขวา คือ ทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์ เพราะเป็นทักขิไณยบุคคล ควรแก่การบูชาคุณ ก. ศิษย์พึงบำรุงครูอาจารย์ ผู้เป็นทิศเบื้องขวา ดังนี้ 1) ลุกต้อนรับ 2) เข้าไปหา (เพื่อบำรุง คอยรับใช้ ปรึกษา และรับคำแนะนำ เป็นต้น) 3) ใฝ่ใจเรียน (คือ มีใจรัก เรียนด้วยศรัทธา และรู้จักฟังให้เกิดปัญญา) 4) ปรนนิบัติ ช่วยบริการ 5) เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ (คือ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ) ข. ครูอาจารย์ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้ 1) ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี 2) สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง 3) สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง 4) ยกย่องให้ปรากฏในหมู่คณะ 5) สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ (สอนฝึกให้รู้จักเลี้ยงตัวรักษาตนในอันที่จะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยดี)3. ปัจฉิมทิศ (ทิศเบื้องหลัง ทิศตะวันตก ได้แก่ บุตรภรรยา เพราะติดตามเป็นกำลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ก. สามีบำรุงภรรยา ผู้เป็นทิศเบื้องหลัง ดังนี้ 1) ยกย่องให้เกียรติสมกับฐานะที่เป็นภรรยา 2) ไม่ดูหมิ่น 3) ไม่นอกใจ 4) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้ 5) หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส ข. ภรรยาย่อมอนุเคราะห์สามี ดังนี้ 1) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย 2) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี 3) ไม่นอกใจ 4) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้ 5) ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง4. อุตตรทิศ (ทิศเบื้องซ้าย ทิศเหนือ ได้แก่ มิตรสหาย เพราะเป็นผู้ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรคภัยอันตราย และเป็นกำลังสนับสนุน ให้บรรลุความสำเร็จ ก. บุคคลพึงบำรุงมิตรสหาย ผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย ดังนี้ 1) เผื่อแผ่แบ่งปัน 2) พูดจามีน้ำใจ 3) ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 4) มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน 5) ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน ข. มิตรสหายย่อมอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้ 1) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน 2) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน 3) ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้ 4) ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก 5) นับถือตลอดถึงวงศ์ญาติของมิตร5. เหฏฐิมทิศ (ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน เพราะเป็นผู้ช่วยทำการงานต่างๆ เป็นฐานกำลังให้ ก. นายพึงบำรุงคนรับใช้และคนงาน ผู้เป็นทิศเบื้องล่าง ดังนี้ 1) จัดการงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังความสามารถ 2) ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่ 3) จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลให้ยามเจ็บไข้ เป็นต้น 4) ได้ของแปลกๆ พิเศษมา ก็แบ่งปันให้ 5) ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาสอันควร ข. คนรับใช้และคนงานย่อมอนุเคราะห์นาย ดังนี้ 1) เริ่มทำการงานก่อนนาย 2) เลิกงานทีหลังนาย 3) ถือเอาแต่ของที่นายให้ 4) ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น 5) นำเกียรติคุณของนายไปเผยแพร่6. อุปริมทิศ (ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ เพราะเป็นผู้สูงด้วยคุณธรรม และเป็นผู้นำทางจิตใจ ก. คฤหัสถ์ย่อมบำรุงพระสงฆ์ ผู้เป็นทิศเบื้องบน ดังนี้ 1) จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา 2) จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา 3) จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา 4) ต้อนรับด้วยความเต็มใจ 5) อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย 4 ความรับผิดชอบต่อตัวเองมีอะไรบ้างคือ 1. ความรับผิดชอบต่อตนเอง ได้แก่ 1.1 ความรับผิดชอบในการรักษาสุขภาพอนามัย 1.2 ความรับผิดชอบในการจัดหาเครื่องอุปโภค บริโภค 1.3 ความรับผิดชอบด้านสติปัญญาและความสามารถ 1.4 ความรับผิดชอบในด้านความประพฤติ 1.5 ความรับผิดชอบด้านมนุษยสัมพันธ์ 1.6 ความรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจส่วนตัว 1.7 ความรับผิดชอบด้านการงานที่ได้รับมอบหมาย
หน้าที่รับผิดชอบ มีอะไรบ้าง1. หน้าที่และความรับผิดชอบต่อตนเอง. 1.1 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้อื่น. 1.2 ยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงาน. 1.3 ให้เกียรติผู้รู้ทั้งผู้ที่อาวุโสกว่า ผู้ที่เท่าเทียมกัน. 1.4 รักษาจรรยาบรรณวิชาชีพ. 2.1 มีความซื่อสัตย์ต่อผู้บังคับบัญชา. 2.2 รายงานผลการปฏิบัติงานต่อผู้บังคับบัญชาตามความเหมาะสม. การรับผิดชอบต่อตนเอง ทำอย่างไร7 วิธีที่จะทำให้คุณเป็นคนที่ “ รับผิดชอบ “ มากขึ้น. 1 . รับผิดชอบคำพูด อารมณ์ และพฤติกรรมของตัวเอง ... . 2 . หยุดกล่าวโทษคนอื่น ... . 3 . หยุดบ่น ... . 4 . จัดการให้ตัวเองมีความสุข ... . 5 . ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ... . 6 . หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง ... . 7 . มีวินัยกับตาราง. มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม มีอะไรบ้าง2. ความรับผิดชอบต่อสังคมหรือส่วนรวม หมายถึง รู้จักฐานะหน้าที่ความ รับผิดชอบของตนเองที่มีต่อสังคม อันได้แก่ ความรับผิดชอบต่อครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ประเทศชาติและบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม เกิดประโยชน์แก่สังคม ส่วนรวม 16.
|