เรื่องที่ 1 ชื่อเรื่อง เด็กชายที่ยังเลวไม่พอ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อคลาวด์ เขาเป็นเด็กซึ่งเลวมากจนผู้คนที่อยู่ไกลและใกล้ได้ยินถึง ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 2 ชื่อหนังสือ สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ มีคน 2 คนเป็นเพื่อนรักกันมาก ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง เกิดมีปากเสียงกันรุนแรงทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่งระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนข้อความลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า” ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน บางทีที่เราทะเลาะกันทำให้มองข้ามเรื่องดีๆที่เคยทำให้กันและกันไป เรื่องร้ายไม่อาจสำคัญและมีอิทธิพลได้หากเราจดจำและให้ความสำคัญแก่เรื่องดีๆ เรื่องที่ 3 ชื่อเรื่อง ยกตัวเองขึ้นโดยไม่ยกคนอื่นลง อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์ไปเดินเล่นที่ชายหาด ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน การอยากทำให้ตัวเองดีขึ้นแต่ต้องไปเหยียบหัวคนอื่นหรือว่าร้ายคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เราเองอาจจะรู้สึกสบายใจชั่วครา แต่คนอื่นอาจจะทรมาณเพราะเราไปอีกนานซ้ำยังเกลียดเราอีกด้วย เรื่องที่ 4 ชื่อหนังสือ นก วัว และแมว เช้าวันนั้นอากาศหนาวเย็นจัด เสียงลมพัดแรงข้ามท้องทุ่งโล่งกว้าง พัดเอาเปลือกและใบข้าวโพด หมุนเคว้งคว้างไปมา ในขณะที่ลมพัดแรงกระแทกประตูโรงนาดัง..กึงกัง..กึงกัง..นกน้อยตัวหนึ่ง กำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวัง ที่จะบินข้ามทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
และหมดแรงตกลงใกล้ๆโรงนานั้น ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน ผู้ที่นำความยากลำบากมาให้ อาจไม่ใช่เพื่อทำร้ายเรา ส่วนผู้ที่นำเราออกจากความยากลำบากก็อาจไม่ใช่ เพื่อที่จะช่วยเรา เรื่องที่ 5 ชื่อหนังสือ
คิดแบบผึ้งหรือแมลงวัน สมมุติว่าเราจับผึ้งจำนวน 6 ตัว ใส่ในขวด และจับแมลงวัน 6 ตัว ใส่ในอีกขวด จากนั้นวางขวดนอนลง โดยหันก้นขวดไปยังหน้าต่างที่มีแสงสว่างกว่า เราจะพบว่า…กลุ่มผึ้งจะพยายามบินออกทางก้นขวด จนกระทั่งมันตายจากการขาดอาหารหรือว่าหมดแรง ในขณะที่แมลงวัน จะบินวนอยู่ในขวดชนไปชนมา แต่ก็จะค่อยๆทยอยบินหาทางออกมาจากขวดได้ จากฝั่งคอขวด ที่อยู่ตรงกันข้ามกับก้นขวดซึ่งหันไปทางหน้าต่าง ทำไมผลการทดลองจึงออกมาแบบนี้…. ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน คนฉลาดก็สามารถที่จะพลาดพลั้งล้มเหลวได้ หากมีความรู้แต่ยึดติดกรอบเดิมๆ ในขณะที่ผู้ไม่รู้ หากทำในสิ่งที่แตกต่าง ก็อาจประสบความสำเร็จได้เช่นกัน เรื่องที่ 6 ชื่อหนังสือ กาน้ำชาสอนใจ (เรื่องสั้น) มีบ้านหลังหนึ่งที่บ้านมีกาน้ำชาสูงค่า เพราะเป็นกาที่ปั้นมาจากดินชนิดพิเศษสุดของประเทศจีน เลยวางไว้หัวเตียงอย่างทะนุถนอม มีอยู่คืนหนึ่ง ด้วยความไม่ระวัง มือไปปัดโดนฝากาน้ำชากระเด็นตกสู่พื้น ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ เมื่อคิดว่าทำฝาแตกแล้ว จะเก็บกาไว้ให้ดูเจ็บใจเล่นทำไม คิดได้ดังนั้นเลยหยิบกาน้ำชาขว้างออกไปนอกหน้าต่าง รุ่งเช้าตื่นมาลุกลงจากเตียง เห็นฝากาน้ำชาหล่นอยู่บนรองเท้านุ่นที่ข้างเตียง ไม่มีอะไรแตกเสียหาย กาน้ำชาก็ขว้างทิ้งไปแล้ว ยิ่งเจ็บใจ เลยกระทืบฝาจนแตกละเอียด พอตอนสายเดินออกไปนอกบ้าน ปรากฏว่ากาน้ำชาที่ขว้างออกไปเมื่อคืนนั้น ยังคาอยู่บนต้นไม้ไม่มีอะไรบุบสลาย ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน บางเรื่องบางเรื่องรอสักนิด ดูสักหน่อย ตรองสักพัก
เพราะเรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเราเข้าใจ เรื่องที่ 7 ชื่อหนังสือ อยากให้บ้านนี้มีแต่รัก (เรื่องสั้น) อรวีเป็นสาวน้อยร่างโปร่งผิวขาวและเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังเธอ เกิดในครอบครัวที่มีฐานะความเป็นอยู่ดีแต่เธอไม่มีความสุขสบายดังฐานะของเธอ เลย ชีวิตของอรวีจึงเป็นชีวิตแบบหนึ่งในสังคมปัจจุบัน ตอนนี้อรวีเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เขาน้อยอกน้อยใจตลอดเวลาถ้าคิดถึงเรื่องภายในครอบครัวของเขาเพราะพ่อแม่ ของอรวีไม่เคยมีเวลาให้เขาเลยแม้แต่วันหยุดเรียนก็ยังต้องออกไปพบปะสังคมภาย นอกปล่อยให้เธออยู่บ้านตามลำพังคนเดียวไม่มีคนที่จะปรึกษาไม่มีคนคอยถามข่าว การเรียนของเขาเลย อรวีตื่นแต่เช้าออกจากบ้านเพื่อจะไปเรียนหนังสือดดยที่แม่กับพ่อของเขายัง ไม่ตื่นนอนเลยพอกลับมาถึงบ้านก็ไม่มีใครอยู่มีแต่คนใช้เพราะพ่อกับแม่ไปทำ งานกว่าจะกลับอรวีก็เขานอนแล้วชีวิตของอรวีเป็นอย่างนี้ทุกวันจนบางครั้งทำ ให้อรวีไม่อยากกลับบ้านเลยเขาไม่เคยมีความสุขเขาอยากมีชีวิตเหมือนคนปกติถึง แม้จะมีฐานะไม่ร่ำรวยแต่เขาขอแค่พ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้ากินข้าวด้วยกันแค่ นี้ก็พอใจแล้ววันหนึ่งเขาไปเรียนตามปกติก็มีเพื่อนของเขาคนหนึ่งมาคุยกับอร วีบอกว่าเขาเสียตัวให้กับผู้ชายที่พึ่งรู้จักจากการไปเที่ยวพับกลางคืนอรวี ตกใจมากจากเรี่องที่ได้ฟังทำให้อรวีคิดได้ว่าไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยและอบอุ่น เท่าบ้านของเขาเองไม่มีใครที่จะให้ความรักกับเราเท่าพ่อกับแม่ ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน ครอบครัวจะเป็นสุขได้ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันรู้จักให้อภัยกัน และเป็นกระจกเงาให้กันและกันภายในบ้านก็จะอบอุ่นด้วยไอรัก เรื่องที่ 8 ชื่อเรื่อง ครอบครัวอบอุ่น คำว่า ครอบครัว เป็น คำที่มีความหมายมาก คือ หมายถึงความรักความอบอุ่น ความเป็นอันเดียวกัน สมัยลูกเป็นเด็กๆ เราอยู่รวมกันเป็นครอบครัว มีเสียงหัวเราะสนุกสนาน มี เสียงวิ่งเล่นวิ่งไล่กัน ได้ทานอาหารรวมกัน ได้อะไรด้วยกัน ดูมันมีชีวิตชีวา แม้พ่อแม่จะทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมา พอเห็นหน้าลูกๆ มาคอยต้อนรับหน้าประตู ถามว่าเหนื่อยไหมแล้วช่วยถือกระเป๋าถือของให้ เท่านี้ก็หายเหนื่อยแล้ว เห็นลูกกินได้นอนหลับ พ่อกับแม่ก็สบายใจนี่แหละลูกเอ่ยที่เขาว่าครอบครัวที่อบอุ่น ตอนนี้ลูกก็โตกันแล้ว หากสามารถเสบเป่าได้ พ่อกับแม่ก็อยากจะเสบเป่าให้ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่อบอุ่น พร้อม หน้าพร้อมตากัน เหมือนตอนเป็นเด็กทานข้าวด้วยกัน ถามไถ่สุขของกันและกัน ได้อุ่มหลานตัวน้อยๆ เท่านี้ก็ยืนอายุให้พ่อกับแม่ได้อีกหลายปีแล้วลูกเอ่ย ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 9 ชื่อเรื่อง ศิษย์ที่ครูไม่ต้องการ เด็กชายเดช เดชากุล เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นลูกคนเดียวของผู้มีอันจะกินคนหนึ่งถูกพ่อแม่ตามใจมากเกินไป เดชเป็นเด็กฉลาดแต่เขาไม่สนใจต่อการเรียนขาดเรียนบ่อย เอาแต่ใจตนเอง วันหนึ่งเดชมาเรียนตามปกติครูพรทิพย์จึงเรียกเดชมาพบที่โต๊ะหน้าห้องแต่เดช ไม่ยอมออกมาทำเป็นไม่สนใจต่อคำพูดของคุณครูและมีการโต้ตอบทำให้ครูไม่สามารถ ข่มใจได้อีกจึงพูดสั่งสอนเดชอย่างโมโห วันรุ่งขึ้นเดชมาเรียนเพียงครึ่งวันแล้วก็หิ้วกระเป๋าเดินคอตกกลับบ้าน ครูพรทิพย์สังเกตุว่าช่วงนี้เดชมาเรียนทุกวันแต่งกายเรียบร้อยแต่ซึมเศร้า ครูพรทิพย์ทำเป็นไม่สนใจเดชไม่ใยดีจนกระทั่งถึงวันสอบอ่านวิชาภาษาไทยเดชก็ เข้ามาจะสอบแต่ครูไม่สนใจไม่พูดด้วยเขาก็เดินออกไปแล้วเดินกลับบ้านน้ำตาซึม วันรุ่งขึ้นเดชไม่มาเรียนหลายวันและครูได้ข่าวว่าเดชไม่สบายครูจึงไปเยี่ยม ที่บ้านเดชขอโทษคุณครู คุณครูพรทิพย์ให้อภัยเดชทุกอย่างเพราะเดชได้ปรับปรุงตัวเองจนกลายเป็นคนละคน คุณครูพรทิพย์มีความสุขสุดที่จะกล่าว ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 10 ชื่อเรื่่อง เกือบสายไปแล้ว ช่วงวัยของชีวิตไม่มีใครปฏิเสธิได้เลยว่าวัยรุ่นวัยเรียนนั้นน่าสนุกที่สุด เพราะเมื่อเราจากไกลบ้านแล้วนั้นเท่ากับว่าไม่มีผู้ใหญ่คอยขีดขวางอีกแล้ว กับการมีชีวิตตามลำพังมีบททดสอบมากมายให้ลองผิดลองถูกทุกอย่างขึ้นอยู่กับ เราตัดสินเลือกหนทางเดินเองทั้งสิ้นดั้งนั้นคนคนหน่งที่เรารู้จักโดยบังเอิญ ชีวิตวัยเด็กเขาเป็นเด็กดีมากถูกเลี้ยงมาอย่างดีเขาเป็นลูกคนเดียวจึงุถูก ตามใจในทุกๆเรื่องหลังจบชั้นประถมก็ต่อชั้นมัธยมเมื่อออกสู่โลกภายนอกทำให้ เขาหลงระเริงกับสภาพบรรยากาศใหม่ๆเรียนได้ไม่กีปีชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างทางที่ไม่ดีไม่ใส่ใจการเรียนติดยานานวันก็ยิ่งหนักขึ้นเป็นตัวปัญหา ที่ว่าสังคมไม่ต้องการทางบ้านจึงได้ส่งตัวไปเมืองนอกเผื่อส่าจะดีขึ้นแต่ กลับรุนแรงเข้าไปอีกเมื่อทางบ้านทราบข่าวสิ่งที่หวังจึงหมดหนทางสุดท้ายเขา ถูกส่งตัวกลับบ้านหลังจากนั้นเขาทำอะไรก็ไม่มีใครสนใจจนเขาเองก็รู้สึกกเเ ปลกใจวันหนึ่งเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เขาเกือบ ตายในขณะที่เขาอาการโคม่าเขาได้สำนึกถึงการกระทำอันเลวร้ายที่ผ่านมาเขาได้ สัญญากับตัวเองว่าหากเขาหายจากอาการแล้วคนแรกที่จะขอโทษคือพ่อแม่และจะเป็น คนดีตลอดชีวิตถ้ามีชีวิตกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 11 ชื่อเรื่อง ความจริงที่ต้องการ เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึก โดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆมีป้ายเขียนไว้ข้างตัวว่า"ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย" มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋า แล้วหย่อนลงในหมวก เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ข้างหลัง แล้ววางไว้ที่เดิม เพื่อให้คนเดินผ่านแล้วได้เห็นข้อความใหม่บนป้ายในไม่ช้า....หมวกก็เต็ม
ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 12 ชื่อเรื่อง อย่าสู้กับมะเร็งคนเดียว วันนี้ฉันเป็นนักศึกษาพยาบาลและได้ฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลมะเร็งแห่งหนึ่ง ในวันๆหนึ่งฉันต้องเจอแต่ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง ไม่มีคนไข้คนไหนยิ้มแม้แต่คนญาติคนไข้เองก็เช่นกัน ทุกๆวันต้องมีคนมารักษาด้วยคีโมและเคมีบำบัด ถึงแม้มันทำให้หายจากโรคแต่ผลข้างเคียงของยาก็ต้องทำให้พวกเขาทรมาน คนไข้ทุกๆคนต่างก็มีร่างกายที่ซูบผอม ฉันได้เจอกับคุณตาคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้เตียงหนึ่งเป็นเตียงที่อยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์พยาบาลคุณตานอนอยู่บนเตียงคนเดียว ฉันพยายามมองหาญาติของคุณตา แต่ก็ไม่มีใครเลย แต่ในวันต่อมา ฉันเห็นคุณยายยืนอยู่ข้างๆเตียง ในตอนที่พี่พยาบาลทำแผลให้คุณตาคุณตาร้องด้วยความเจ็บปวดแต่ข้างกันนั้นเองก็มีมือของคุณยายที่กุมมือปลอบคุณตาอยู่จะเสร็จแล้ว... ตลอดเวลาที่คุณตาร้องไม่มีใครควรสู้กับมะเร็งเพียงคนเดียวฉันและเพื่อนๆต่างหันไปยิ้มให้กันมันเป็นภาพที่น่ารักมาก บ่ายสองของวันหนึ่งชีพจรของคุณตาเต้นเร็วซึ่งมันไม่ปกติเพื่อนจึงรีบเรียกอาจารย์ให้มาดูในขณะที่เพื่อนและอาจารย์กำลังวัดสัญญาณชีพคุณตาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจฉันก็เหลือบไปมองคุณยายคุณยายกุมมือคุณตาไว้ตลอดเวลาปากก็บอกคุณตาซ้ำไปซ้ำมาว่าไม่เป็นไรแล้ว...พูดวนไปวนมาพร้อมกับลูบมือคุณตาเบาแววตาของคุณยายที่มองคุณตาเหมือนอยากจะบอกกับคุณตาว่าฉันอยู่ตรงนี้นะ..ฉันยังอยู่ข้างๆเธอนะ.. ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 13 ชื่อเรื่อง โลกนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ? มาลองเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ในแต่ละวันกันเถอะ มีใครเคยรู้สึกบ้างไหมว่า วันนี้มันช่างเลวร้ายเหลือเกิน ทำไมชีวิตนี้มันช่างโหดร้าย ไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเราบ้างเลย แล้วความเศร้าหมองนั้นมันก็ตกตะกอนในใจเรา ทับถมเป็นก้อนใหญ่มาเรื่อยๆ ตื่นเช้ามาวันถัดมาก็พบกับวันแย่ๆ เหมือนเดิม คนอื่นๆ ก็บอกให้เรามองโลกในแง่ดี หัดมีความสุขซะบ้าง แต่เราทำไม่ได้นี่ ก็เราไม่มีความสุขจริงๆ และโลกนี้ก็ไม่สวยงามสักหน่อย...เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเช่นนั้นมาตลอด และรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกความรู้สึกแง่ลบนั้นบดขยี้ตัวเองจนแทบจะทำอะไรไม่ได้อีก จนกระทั่งได้พบกับคลิปจาก TED เรื่องหนึ่ง ที่พูดถึงการสร้างความสุขในการทำงาน ซึ่งเป็นแค่ช่วงสั้นๆที่พูดถึงในนั้น ว่าด้วยวิธีการปรับระบบสมองให้มองโลกในแง่ดีขึ้นเราต้องเขียนสิ่งที่เรารู้สึกซาบซึ้งขอบคุณจากใจจริงทุกวัน วันละ 3 สิ่งใหม่ๆ ติดต่อกันเป็นเวลา 21 วันในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่า การทำเช่นนี้ทุกวัน จะช่วยทำให้สมองของเราเรียนรู้รูปแบบการมองหาสิ่งดีๆ แทนที่จะมองหาสิ่งที่ไม่ดี และการพยายามทบทวนสิ่งดีๆ นั้นได้อีกครั้ง พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ฝึกทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ชินกับการมองหาแต่สิ่งดีๆ ในชีวิตไปเอง เขียนสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณทุกๆ วัน ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้เราทำสำเร็จแล้วและจะทำต่อไปเรื่อยๆ มาลองทำกันดู เราขอเอาใจช่วยให้ทุกคนทำสำเร็จ ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 14 ชื่อเรื่อง รักพอดีๆ ปริมาณความรักคงไม่สามารถวัดด้วยหน่วยวัดน้ำหนักได้ เพราะความรักเป็นเรื่องนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่สามารถสัมผัสรับรู้ความรู้สึกได้ รักแค่ไหนถึงเรียกว่าพอดี จึงไม่สามารถกะเกณฑ์เป็นตัวเลขได้ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่จะรู้ดีว่ารักแค่ไหนถึงจะพอดี รักแบบพอดีมันต้องอาศัยองค์ประกอบของความรักและเหตุผล รักแบบพอดีของคนๆหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเท่ากับของอีกคนเสมอไปและไม่มีใครสามารถกำหนดแทนกันได้ เพราะอย่างนี้คนที่รักในวัยเรียนต้องเป็นผู้กำหนดเอง โดยดูจากปัจจัยต่างๆเช่น ความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ผลการเรียนอยู่ระดับไหน ควาสัมพันธ์ของคนรอบข้างเป้นอย่างไร และอื่นๆ ถ้าปัจจัยเหล่านี้อยู่ในขั้นตอนพอใจ มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ การเรียนอยู่ในขั้นดี ก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง ความรักแบบพอดีของคนเหล่านี้จึงสามารถเลยครึ่งแก้ว(น้ำ)มาได้ ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เรื่องที่ 15 ชื่อเรื่อง วาวแสงแห่งศรัทธา ชื่อผู้แต่ง วัชระ สัจจะสารสิน รถไฟเปิดหวูดลั่นสถานี สักครู่ขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลา พงศ์จันทร์ใจขึ้นระทึกชั่วขณะ นานมากทีเดียวที่ไม่ได้กลับบ้านโดยรถไฟ กลับจากบ้านคราวนี้ เขาต้องเปิดคอร์สวิชาที่สอน การเป็นอาจารย์ใหม่ในมหาวิทยาลัยกดดันเขามิใช่น้อย
เขารู้สึกว่าตัวเองยังหน้าใหม่ในแวดวงวิชาการ เมื่อนึกถึงอาชีพการงานของตัวเอง ภาพของพ่อเหมือนจะวาบแทรกขึ้นทันใด และก็พ่ออีกนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องกลับบ้านในตอนนี้ ทางบ้านแจ้งว่าเป็นวันเลือกตั้ง เขาต้องเคลียร์การสอนและกิจกรรมทุกอย่างเพื่อให้วันนี้ว่างให้ได้ แม้จะเป็นการเลือกตั้งในท้องถิ่นเล็กๆ แต่เมื่อพ่อเขาลงสมัครด้วย จึงจำเป็นที่เขาต้องลงไปช่วยเลือกพ่อให้มีเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียง จำได้ว่าเขาฟอร์มทีมกับเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกันสิบกว่าคน เพื่อลงไปช่วยพ่อหาเสียงเลือกตั้ง
คืนสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งทางทีมงานได้นัดกันมาประเมินสถานการณ์เป็นครั้งสุดท้าย และเห็นว่าโอกาสที่พ่อจะเป็นฝ่ายชนะค่อนข้างสูง พงศ์จันทร์ถึงกับอึ้งกับผลการเลือกตั้งมือไม้อ่อนไปหมด เพื่อนๆของเขาก็เช่นกันเหมือนไม่เชื่อสายตา ส่วนพ่อหลบเข้าบ้าน เขาไม่เชื่อว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาในลักษณะที่พ่อแพ้หลุดลุ่ย พ่อโกรธจัดไม่ยอมเข้ามาคุยหรือรับฟังเหตุผลใดๆจากทีมงาน ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน การเลือกตั้ง ไม่ใช่การแข็งขันว่าใครจะแพ้หรือชนะ แต่เป็นการเลือกคนที่ดีที่สุดหรือคนที่ประชาชนไว้ใจมากที่สุด จากเรื่องสั้นเรื่องนี้บ่งบอกถึงบรรยากาศการเลือกตั้งของคนในสมัยนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะแข็งขันว่าใครจะแพ้หรือชนะมากกว่าการพยายามคิดค้นนโยบายในการพัฒนาชุมชนที่ตนอาศัย เรื่องที่ 16 ชื่อเรื่อง ในวันที่วัวชนยังชนอยู่ ผู้แต่ง วัชระ สัจจะสารสิน วัวชนสองตัวโรมรันพันตูอย่างเมามันเห็นแต่ไกล กลุ่มคนแตกฮือวิ่งหลบวุ่นวาย บ้างถลาตกคันนาพาขบขันยิ่ง เสียงโห่ลั่นตามจังหวะกระแทกกระทั้นของแต่ละฝ่าย
แม่กับน้องชายหอบสำรับกับข้าวไปร่วมพิธีสงฆ์ที่ศาลาใกล้ๆ ผมกับพ่อไม่สนใจพิธีสงฆ์นัก ใจจดจ่ออยู่กับวัวชนคู่นั้น เสียงโห่ลั่นขึ้นอีก นักเลงวัวเดินกลับมาใต้โคนไม้ ฝ่ายแพ้ควักเงินให้อย่างรู้งาน ฝ่ายชนะยิ้มกว้างรับเงินแล้วเคาะบุหรี่ยื่นให้ ตะโกนเรียกเด็กขายน้ำอ้อยเหมาแจกคนละขวด ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน เมื่อทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้จิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย มนุษย์เปลี่ยนไปตามโลกโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว จากความละเมียดละไมไปสู่ความหยาบกระด้าง จากคนที่มีน้ำใจไมตรีไปสู่คนเพิกเฉยเย็นชา จากคนสังคมเรียบง่ายไปสู่สังคมที่ซับซ้อนขึ้น และที่สำคัญมนุษย์ได้ทิ้งวัฒนธรรมที่ตนเคยปฏิบัติกันมาช้านาน เปลี่ยนมาใช้วัฒนธรรมจากชาติอื่น ในสภาพดังกล่าวมนุษย์จึงตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน แปลกแยกและหวาดระแวง |